ที่โม่เป่ยยังคงสงบสุขอยู่เบื้องหลัง แต่เซียวเยวี่ยเหอที่อยู่แนวหน้าเปรียบเสมือนคนมีโชค เขาสามารถบุกยึดพื้นที่กว่าสิบเมืองในคราวเดียวด้วยการร่วมมือกับจิ้งอ๋อง
เผ่าหนานอี๋ถูกโจมตีจนไม่สามารถฟื้นกำลังกลับคืนมาได้ และไม่กล้าประจันหน้ากับกองกำลังรักษาการณ์ของต้าฉินอีก
หลังจากสองพ่อลูกสกุลเซียวรักษาแนวหน้าให้มั่นคงได้ พวกเขาก็เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังโม่เป่ยเพื่อรับฮ่องเต้วัยเยาว์แล้วเดินทางไปยังลั่วหยางเมืองหลวงชั่วคราว
ฮ่องเต้วัยเยาว์ในตอนนี้ยังมิได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน แต่ใครก็ตามที่สามารถควบคุมราชสำนักย่อยได้ย่อมใช้อำนาจของฮ่องเต้บงการเหล่าขุนนางได้
เมื่อครั้งเกิดศึกสงครามอย่างกะทันหัน สกุลเซียวก็ไม่กล้าปล่อยให้ฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงภัย จึงให้พวกเขาล่าถอยไปเรื่อยๆ แต่เมื่อได้รู้ว่าฮ่องเต้วัยเยาว์เสด็จไปยังโม่เป่ยด้วยการแนะนำของเสี่ยนเหรินไทเฮา คิดจะหยุดยั้งพวกเขาไว้ก็สายเกินไปเสียแล้ว จึงต้องให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวและเซินหยางจวิ้นจู่ที่หลบไปอยู่แนวหลังหนีไปยังโม่เป่ยพร้อมกัน
ตอนนี้เซียวเยวี่ยเหอรักษาสถานการณ์ที่แนวหน้าได้แล้ว และได้รับจดหมายจากท่านปู่ของเขา สั่งให้เขาเตรียมการต้อนรับฮ่องเต้วัยเยาว์กลับสู่เมืองหลวงชั่วคราว
เซียวเยวี่ยเหอเข้าใจเจตนาของท่านปู่ อีกฝ่ายกลัวว่าฮั่วสุยเฟิงจะขึ้นเป็นใหญ่ที่โม่เป่ย กักตัวฮ่องเต้วัยเยาว์ไว้ และฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงการปกครอง
พึงรู้ว่าฮั่วสุยเฟิงเป็นเชื้อสายราชวงศ์แห่งต้าฉิน หากเขามีความทะเยอทะยานจริงๆ ย่อมมีประเด็นที่สามารถนำมาสร้างเรื่องราวได้
แต่สิ่งที่ทำให้คนสกุลเซียวคาดไม่ถึงคือเมื่อพวกเขาเสนอเรื่องการย้ายราชสำนักไปยังลั่วหยาง ฮั่วสุยเฟิงกลับไม่แสดงท่าทีสงสัยหรือขัดขวางแม้แต่น้อย กลับเป็นเสี่ยนเหรินไทเฮาที่กล่าวว่าความปลอดภัยของฮ่องเต้วัยเยาว์เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง ไม่เหมาะที่จะเดินทางอย่างระหกระเหินจนเกินไป รอให้กอบกู้เมืองหลวงได้แล้วค่อยหารือเรื่องการย้ายกลับเมืองหลวงก็ยังไม่สาย
หลังสงครามสกุลเซียวได้หาทางเอาชนะใจขุนนางอาวุโสจำนวนมากแล้วดึงมาเป็นพวก ทั้งยังกุมอำนาจทางการทหาร นำข้อแนะนำจากขุนนางเก่าแก่มาบีบบังคับให้เสี่ยนเหรินไทเฮายอมตกลงเรื่องกลับไปยังลั่วหยาง
เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่ได้แสดงจุดยืนใดๆ แต่ลับหลังกลับเชิญฉู่เซิ่นมาปรึกษาหารือ
เนื่องจากเสี่ยนเหรินไทเฮาเป็นหญิงม่าย จึงไม่สะดวกที่จะพบขุนนางเพียงลำพัง จึงเชิญหูซื่อและโม่เซี่ยวเหนียงมาพร้อมกันโดยจัดงานเลี้ยงในครอบครัวบังหน้า
เสี่ยนเหรินไทเฮามีเมตตาจัดงานเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ นางจึงติดตามบิดามารดาไปร่วมงานเลี้ยงด้วย
เมื่อครั้งที่เสี่ยนเหรินไทเฮายังดำรงตำแหน่งเป็นชายารัชทายาท นางสง่างามและสูงส่งเพียงใด แต่หลังจากเผชิญเหตุการณ์กบฏในวังและเหตุโกลาหลอย่างฉับพลันของเผ่าหนานอี๋ หน้าผากจึงมีริ้วรอยราวน้ำค้างแข็งแห้งแตก หางตาและริมฝีปากก็มีร่องเล็กๆ
หลังจากที่เหล่าข้าราชบริพารจัดเตรียมงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เสี่ยนเหรินไทเฮาก็สั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป ก่อนจะพูดกับฉู่เซิ่น
“เมื่อครั้งที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพ พระองค์เคยตรัสกับข้าและฝ่าบาทว่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักล้วนมีแผนการในใจของตนเอง เว้นเสียแต่ฉู่เซิ่นที่เป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา พระดำรัสของอดีตฮ่องเต้ยังก้องอยู่ในหูข้าและฝ่าบาท ทั้งยังจดจำติดตรึงอยู่ในใจ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุวุ่นวายหนานอี๋ครั้งนี้ ข้าจึงยืนหยัดคัดค้านเสียงส่วนมาก และพาฝ่าบาทเดินทางมายังโม่เป่ยเพื่อพึ่งพาฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง แต่แท้จริงแล้วก็มาพึ่งพาท่าน ฉู่เซิ่น!”
ฉู่เซิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงทันทีและกล่าวว่า “ทั้งอดีตฮ่องเต้และรัชทายาทผู้ล่วงลับล้วนทรงมีเมตตาต่อกระหม่อมอย่างยิ่ง กระหม่อมจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจเสมอพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยนเหรินไทเฮาแย้มยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยต่อไปว่า “สกุลเซียวถือเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและแม่ทัพที่เก่งกล้า แต่ในลั่วหยางมีคหบดีผู้ทรงอำนาจอยู่มากมาย อำนาจซับซ้อนหลายฝ่าย แต่ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์ไร้ซึ่งอำนาจ หากฝ่าบาทเสด็จไปที่นั่น ข้าเกรงว่าพระองค์จะกลายเป็นเครื่องมือของใครบางคน…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้โม่เซี่ยวเหนียงที่อยู่ด้านข้างก็เข้าใจความหมายทันที