โม่เซี่ยวเหนียงเงียบไป นางไม่อาจพูดตรงๆ ได้ว่านี่คือโอกาสสำคัญที่เขาจะได้สร้างผลงานเช่นกัน! ในนิยายต้นฉบับเซียวเยวี่ยเหอและฮั่วสุยเฟิงต่างยกหุ่นเชิดขึ้นเป็นฮ่องเต้ ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในบ้านเมือง ต่างคนต่างต่อสู้เพื่อให้ได้ครองแผ่นดิน สุดท้ายทั้งสองก็เผชิญหน้ากัน ฮั่วสุยเฟิงที่เหนือชั้นกว่าได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในคราวเดียว
แผนแย่งชิงอำนาจตลอดเส้นทางนี้ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน บทบาทตัวละครพลิกผันได้อย่างน่าดู แต่ฮั่วสุยเฟิงในตอนนี้กลับเหมือนต้องการเป็นเพียงท่านอ๋องท้องถิ่นอยู่ที่โม่เป่ย เฉยชาต่อความขัดแย้งของจงหยวนถึงขั้นสุด ไม่มีแม้กระทั่งความทะเยอทะยานที่จะประกาศตั้งตนเป็นฮ่องเต้
แล้วโม่เซี่ยวเหนียงจะพูดอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่ได้ใฝ่ฝันจะเป็นฮองเฮาเช่นกัน ตอนที่นางเพิ่งมาถึงโลกนี้ สิ่งที่หวังเพียงอย่างเดียวคือต้องการหลีกเลี่ยงจุดจบที่น่าอนาถ ตอนนี้นางแค่ต้องการทำความฝันที่จะเป็นมารดาให้สำเร็จ จากนั้นก็เอาศีรษะมุดเข้าไปในกองทราย แสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นต่อเรื่องที่อยู่รอบกาย
พูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียวก็คือแค่ใช้ชีวิตเล็กๆ ของตนเองให้ดีก็พอ
ดังนั้นในเมื่อฮั่วสุยเฟิงไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ของจงหยวน นางก็ไม่ต้องการโบกธงผลักดันให้กำลังใจเขาเช่นกัน แต่หากสกุลเซียวได้รับชะตาของฮั่วสุยเฟิงไปแทนจริงๆ และได้ครอบครองจงหยวนในภายหน้า ด้วยความทะเยอทะยานของเซียวเยวี่ยเหอแล้ว เขาจะปล่อยให้ฮั่วสุยเฟิงมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือ
ฮั่วสุยเฟิงเหมือนจะอ่านความกังวลของโม่เซี่ยวเหนียงออก เขาวางป้านชาลง ก่อนเริ่มปอกส้มให้นางแล้วเอ่ยขึ้น
“วางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าต้องทำอะไร เจ้าทำในสิ่งที่ชอบไปก็พอ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องอยู่อย่างลำบากแน่นอน…”
จากนั้นฮั่วสุยเฟิงก็บอกความตั้งใจนี้แก่พ่อตาฉู่เซิ่น ซึ่งฉู่เซิ่นผู้ที่รีบร้อนจะกลับบ้านเกิดไปเลี้ยงหมูอยู่แล้วก็รู้สึกชื่นชมบุตรเขยที่ยังคงสงบนิ่ง แม้จะมีกลยุทธ์และอำนาจอยู่ในมือก็ตาม
ตามหลักแล้วฮั่วสุยเฟิงมีโอกาสที่จะใช้อำนาจฮ่องเต้สั่งการขุนนาง แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะขัดขวางการจากไปของฮ่องเต้วัยเยาว์ ยังคงยึดมั่นในหน้าที่ขุนนางอย่างน่าชื่นชมสรรเสริญ
ในทางกลับกันสกุลเซียวที่เร่งเร้าให้ฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงจุดยืนกลับดูรีบร้อนจนเกินงาม
ในบรรดาขุนนางอาวุโสในราชสำนักยามนี้ ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณธรรมประจำตน ดังนั้นขุนนางเหล่านี้จึงมีแนวทางการปฏิบัติที่ยึดมั่นในจริยธรรม ใครเล่าจะโง่เง่าหรือมองไม่ออกว่าการที่สกุลเซียวรีบร้อนอยากให้ราชสำนักย้ายไปลั่วหยางนั้นเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
หลังจากเสี่ยนเหรินไทเฮาพาฮ่องเต้วัยเยาว์ไปคร่ำครวญหน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ก็มีคนในกลุ่มขุนนางอาวุโสอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษสกุลเซียวในท้องพระโรงว่าเป็นพวกใจโหดเหี้ยมทะเยอทะยาน
ว่ากันว่าเมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธก็ยิ่งหลุดปากพูดโดยไม่ทันไตร่ตรอง วันนั้นในท้องพระโรงจึงทะเลาะกันวุ่นวายใหญ่โต ด่าทอหยาบคายราวกับอยู่ในตลาด สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ลงไม้ลงมือกัน ชาติกำเนิดการอบรมใดๆ ล้วนถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้าง เซียวเยวี่ยเหอใช้ไม้เท้าของเขาฟาดศีรษะขุนนางอาวุโสจนเลือดอาบ
ฮ่องเต้วัยเยาว์ไม่สามารถข่มขวัญและควบคุมขุนนางได้ นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอาแต่ถอยหลัง ขณะที่เสี่ยนเหรินไทเฮาซึ่งเป็นสตรีเพียงคนเดียวในที่นั้นก็ตะโกนสั่งหยุดจากหลังม่าน แต่กลับไม่มีใครยอมฟัง
ขุนนางที่วางตัวเป็นกลางอย่างฉู่เซิ่นจำเป็นต้องก้าวออกมาห้ามปราม รองเท้าขุนนางและหมวกขุนนางกระจัดกระจายไปทั่ว