ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 133-134
การวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังของเหล่าขุนนางในตอนนี้ ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้แสดงจุดยืนในเหตุการณ์ใดๆ กลับได้รับเสียงชื่นชมในหมู่ขุนนางเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แม้จวิ้นอ๋องผู้นี้จะตระหนี่ถี่เหนียวไปสักหน่อย ทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักต้องกินหัวไช้เท้ากันมานานกว่าหนึ่งเดือน แต่ในเรื่องสำคัญเขายังยึดมั่นในขอบเขตที่ขุนนางพึงมี ไม่เหมือนคนสกุลเซียวที่เพิ่งกุมอำนาจทางการทหารก็เพ้อฝันอยากควบคุมราชวงศ์ บีบบังคับจนเสี่ยนเหรินไทเฮาต้องไปร้องไห้หน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮ่องเต้
หลังจากลงไม้ลงมือกันในท้องพระโรง คืนนั้นนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวก็เรียกบุตรชายและหลานชายมาตำหนิ
โดยเฉพาะเซียวเยวี่ยเหอ เขาว่ากล่าวอย่างรุนแรงว่า “บิดาเจ้ามองการณ์ตื้นเขินมาโดยตลอด แล้วเหตุใดเจ้าถึงโง่เง่าตามเขาไปด้วย แม้ตอนนี้อำนาจทางการทหารจะอยู่ในมือสกุลเซียวเรา แต่แนวหน้าก็เสียหายอย่างหนัก แม้จะขับไล่ชนเผ่าป่าเถื่อนออกไปได้ในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาแผ่นดินให้มั่นคงได้ ในเมื่อไทเฮาไม่ทรงยินยอมก็ปล่อยให้นางและฮ่องเต้ประทับอยู่ที่โม่เป่ยไป เหตุใดต้องรีบร้อนจนเปิดโอกาสให้คนครหาได้”
ยามนี้เซียวเซิงมีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะศึกในท้องพระโรงวันนี้เขาถูกชกเบ้าตา ใบหน้าก็ฟกช้ำไปครึ่งหนึ่ง จึงประคบถุงน้ำแข็งไปพลางพูดไปพลาง
“ข้าคิดว่าหากพาฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จกลับลั่วหยางได้ ฮั่วสุยเฟิงจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน เขาต้อนรับเสด็จอย่างหยิ่งยโสเหลือเกิน ชื่อเสียงย่ำแย่ในหมู่ขุนนางอยู่แล้ว หากเขาขัดพระราชประสงค์ของฝ่าบาทจะต้องถูกเหล่าขุนนางตักเตือน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเรารับเสด็จกลับลั่วหยางก็จะเป็นการขจัดความทะเยอทะยานของข้าราชบริพารภายนอกอย่างฮั่วสุยเฟิง แต่ใครจะไปคิดว่า…”
เซียวเหยี่ยนรู้ดีว่าคำพูดที่บุตรชายไม่ได้กล่าวออกมานั้นหมายถึงอะไร ใครจะไปคิดว่าฮั่วสุยเฟิงจะคล้ายพ่อตาของเขา ไม่มีความปรารถนาและไม่ต้องการสิ่งใด อีกทั้งไม่มีท่าทีจะขัดขวางเรื่องที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินได้
กระทั่งยังมีบางคนเดินทางไปที่จวนโม่เป่ยอ๋องด้วยตนเอง ตอนที่เกลี้ยกล่อมให้จวิ้นอ๋องน้อยรั้งราชวงศ์ไว้ เขากลับพาผู้ที่มาไปชมคอกหมูที่พ่อตาของเขาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในจวนโม่เป่ยอ๋อง ทั้งยังสัญญาว่าในช่วงปีใหม่จะนำเนื้อหมูมาแบ่งปันให้เหล่าสหายร่วมงานทุกคนชิมกัน
ท่านอ๋องที่เดิมทีควรต่อต้านสกุลเซียวกลับใช้ชีวิตเรียบเรื่อยเช่นคนในชนบท เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้สกุลเซียวดูรีบร้อนขึ้นหรือ
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะบุตรชายและหลานชายของตนมองการณ์ตื้นเขิน แต่เป็นเพราะฮั่วสุยเฟิงช่างเกินความคาดหมาย แม้จะมีอำนาจฮ่องเต้อยู่ในมือ แต่กลับไม่รู้จักใช้ประโยชน์ ทำให้ผู้คนคาดเดาความคิดเขาไม่ถูก
ในสถานการณ์ที่ขี่อยู่บนหลังเสือเช่นในยามนี้ ในเมื่อสกุลเซียวลงมือแล้วก็ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป มิฉะนั้นเหล่าขุนนางที่พึ่งพาสกุลเซียวอาจมองว่าสกุลเซียวอ่อนแอ ไม่คู่ควรแก่การติดตามก็เป็นได้
หลังจากที่มีการถกเถียงในท้องพระโรงมาหลายครั้ง เซียวเหยี่ยนก็ใช้ไม้เท้ายาวหัวนกที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานมาเข้าเฝ้าด้วยตนเองและขอคำแนะนำจากเสี่ยนเหรินไทเฮา กล่าวถึงบุตรหลานสกุลเซียวที่สร้างผลงานเพื่อแว่นแคว้นมาทุกยุคสมัยด้วยน้ำตานองหน้า แสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างสุดซึ้ง ขณะเดียวกันก็อธิบายถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นซึ่งอาจทำให้จิตใจของราษฎรสั่นคลอนหากราชวงศ์ไม่ได้อยู่ที่จงหยวนนาน
สุดท้ายขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงอ่อน คำกล่าวของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวทำให้ผู้ฟังน้ำตาซึม
และท้ายที่สุดฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องผู้ไม่แสดงจุดยืนมาโดยตลอดก็รู้สึกซาบซึ้งจนเอ่ยปาก สั่งให้นำแผนที่มาให้เสี่ยนเหรินไทเฮาและเหล่าขุนนางดู พร้อมกล่าวว่าคำพูดของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวถูกต้องอย่างยิ่ง และฮ่องเต้วัยเยาว์ควรกลับจงหยวนเพื่อสร้างความมั่นคงให้ขวัญกำลังใจของทหาร
อย่างไรก็ตามรอบด้านลั่วหยางนั้นว่างเปล่าเกินไป หากสงครามมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อใดที่ถูกโจมตีเกรงว่าคงยากที่จะตั้งรับได้ มิสู้ย้ายไปยังเมืองเฟิ่งจะปลอดภัยกว่า
เมืองเฟิ่งนั้นเป็นบ้านเกิดของโม่เซี่ยวเหนียง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าด่านก่อน และมีภูเขาหลายลูกกั้นขวางจากโม่เป่ย
พูดตามตรงหากตอนที่สกุลเซียวเริ่มเสนอเรื่องการย้ายราชสำนักแล้วฮั่วสุยเฟิงยื่นข้อเสนอนี้ออกมาในเวลานั้น เขาคงถูกโยนความผิดให้พร้อมถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าไม่ยอมปล่อยให้ราชสำนักไปอยู่ไกล มีใจคิดร้ายทะเยอทะยานและมีเจตนาแอบแฝง
แต่ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างถกเถียงกันไปแล้ว สู้ก็สู้กันไปแล้ว ไม่มีใครเหลือเรี่ยวแรงแล้ว
จิตใจที่บริสุทธิ์และมีความปรารถนาเพียงน้อยนิด อีกทั้งไม่แยแสต่ออำนาจของท่านอ๋องผู้นี้เป็นที่ประจักษ์ของเหล่าขุนนางเช่นกัน ช่างยากเย็นยิ่งนักกว่าจวิ้นอ๋องจะเลิกพูดเรื่องเลี้ยงหมูเชือดหมูแล้วพูดเรื่องจริงจังเสียที เหล่าขุนนางทั้งหลายจึงพากันใคร่ครวญถึงคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจและพยักหน้าเห็นด้วย
แต่เซียวเยวี่ยเหอกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองแผนที่
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดีว่าฮั่วสุยเฟิงทำอะไรไว้บ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในโม่เป่ย อ้างว่าเปิดเส้นทางน้ำให้กับศิษย์พี่หญิงของเขา แต่แท้จริงแล้วขุดแม่น้ำที่เชื่อมกับเส้นทางทะเลในพื้นที่ของโม่เป่ยที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล
แม้เมืองเฟิ่งจะไม่ได้อยู่ในโม่เป่ย แต่หากกองทัพของฮั่วสุยเฟิงใช้แม่น้ำภายในที่ขุดเชื่อมจากโม่เป่ยก็จะเดินทางอ้อมผ่านทางทะเลและไปถึงเมืองเฟิ่งได้ภายในวันเดียว
เช่นนี้ราชวงศ์…มิเท่ากับว่ายังอยู่ในกำมือของฮั่วสุยเฟิงหรือ
บุรุษผู้นี้ทำเป็นไม่สนใจโลกภายนอก แต่กลับลอบใช้เล่ห์เหลี่ยมในเวลานี้!
ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ในท้องพระโรงได้ เพราะในช่วงนี้ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องไม่เคยพูดรั้งให้ราชวงศ์อยู่ที่นี่แม้แต่คำเดียว
หากเขาพูดออกไปตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผู้จงรักภักดี และเปิดเผยว่าสกุลเซียวต่างหากที่มีจิตคิดร้ายอยากควบคุมฮ่องเต้วัยเยาว์
ท้ายที่สุดเสี่ยนเหรินไทเฮาก็เอ่ยปากยอมรับคำแนะนำของฮั่วสุยเฟิง ราชสำนักจะย้ายกลับเข้าไปในด่านและตั้งหลักอยู่ที่เมืองเฟิ่งชั่วคราว รอจนกระทั่งสถานการณ์ในจงหยวนสงบลงแล้วค่อยกลับเมืองหลวง
จวิ้นอ๋องน้อยซึ่งทำให้ข้อขัดแย้งในราชสำนักยุติลงในช่วงเวลาสำคัญได้รับคำชื่นชมจากเหล่าขุนนางว่า “สมแล้วที่เป็นท่านอ๋องแห่งชายแดนที่ได้รับการยกย่องจากอดีตฮ่องเต้ ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียง ทั้งยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ สมควรเป็นกระดูกสันหลังของต้าฉิน!”
เพื่อยกย่องสามีผู้เก่งกาจ โม่เซี่ยวเหนียงจึงตั้งใจสั่งให้ครัวทำกระดูกตุ๋นหม้อใหญ่ เพื่อใช้กระดูกบำรุงกระดูก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 68
Comments
