น่าเสียดายที่ฮั่วสุยเฟิงตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้บิดาของตนที่อยู่ในปรโลกได้เห็นภาพของฆาตกรหมอบลงกับพื้นขออภัยต่อหน้าป้ายวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงนำกองทัพใหญ่มาประชิดเมือง โดยอ้างว่าเป็นการ ‘น้อมเชิญ’ ฮั่วเหยียนเหลยไปทำพิธีไว้อาลัยต่อพี่ชายผู้ล่วงลับ
ฮั่วซานไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ฮั่วสุยเฟิงจะกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ พึงรู้ว่าฮ่องเต้วัยเยาว์เพิ่งประกาศพระราชโองการยกย่องว่าโม่เป่ยอ๋องเช่นเขาเป็นขุนนางผู้เปี่ยมคุณธรรมและจงรักภักดีเมื่อไม่นานมานี้!
ผลลัพธ์คือหลังฮ่องเต้วัยเยาว์จากไปได้ไม่นาน บัลลังก์มังกรทองคำยังไม่ทันเย็นดี! ฮั่วสุยเฟิงก็นำกองทัพใหญ่มาประชิดเมืองกดดันเสียแล้ว การทำเช่นนี้มิใช่การก่อกบฏและตบหน้าราชวงศ์หรือ
แต่ฮั่วสุยเฟิงมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แค่ย้ายราชสำนักก็น่าปวดศีรษะมากพอแล้ว มีหรือจะมาใส่ใจเรื่องภายในของสกุลฮั่วแห่งโม่เป่ย
ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจแตะต้องโม่เป่ยได้เพราะถูกราชสำนักต้าฉินควบคุมอยู่ ทว่าบัดนี้ราชวงศ์ยังเอาตัวไม่รอด หากไม่ใช้โอกาสนี้รวมโม่เป่ยให้เป็นหนึ่งแล้วจะรอเวลาใดอีก
แม้ฮั่วซานจะเป็นเพียงบุตรชายอนุ แต่ก็เป็นบุตรชายของฮั่วเหยียนเหลยเช่นกัน โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายล้วนเป็นโลหิตอสรพิษ หากไม่ถอนรากถอนโคนทิ้งเสียจะสบายใจได้อย่างไร
ดังนั้นการที่ฮั่วซานปฏิเสธไม่ยอมส่งมอบบิดาของตนเองจึงเข้าทางฮั่วสุยเฟิงพอดี เขาสามารถยกทัพมาประชิดเมืองได้โดยมีเหตุผลที่ชอบธรรม
ทว่าฮั่วซานไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมสูงส่งแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในการประเมินสถานการณ์ เมื่อเห็นฮั่วสุยเฟิงหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้ก็รีบยื่นข้อเสนอส่งมอบบิดาของตนเองทันที แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับปฏิเสธ โดยกล่าวเพียงว่าการไปต้อนรับเสด็จอาด้วยความเคารพต้องเข้าเมืองไปด้วยตนเองจึงจะถือว่าแสดงความจริงใจ
พูดง่ายๆ ก็คือฮั่วซานจะส่งตัวบิดาของตนเองตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว!
หลังจากปิดล้อมเมืองเป็นเวลาสามวันสามคืน ประตูเมืองก็เปิดออกในที่สุด ทว่าในกลุ่มคนที่ออกมาต้อนรับฮั่วสุยเฟิงกลับไม่เห็นฮั่วซานและภรรยา
ภายหลังจึงได้รู้ว่าทั้งสองหลบหนีไปตามเส้นทางลับในเมืองที่ถูกบันทึกไว้ในเพลงเซาปิ่ง
ชาติที่แล้วกงซุนฉินเป็นผู้รับผิดชอบจัดการการลาดตระเวนภายในเมือง จึงพบทางลับมากมายที่บรรพชนสกุลฮั่วสร้างไว้ มีหลายเส้นทางที่แม้แต่ฮั่วสุยเฟิงก็ยังไม่รู้ กงซุนฉินวาดแผนที่ทางลับทั้งหมดมอบให้ฮั่วซานและภรรยาเพื่อแสดงความสามารถของตนเอง คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นการช่วยให้ทั้งสองหนีรอดไปได้ในที่สุด
หลังสะสมกำลังมานานหลายปี ฮั่วสุยเฟิงก็สามารถเข้ายึดเมืองหลักได้สำเร็จ ฟื้นฟูตระกูลสายตรงของสกุลฮั่วทันที
คืนนั้นฮั่วเหยียนเหลยถูกฮั่วสุยเฟิงลากลงจากเตียงกับมือ และถูกคุมตัวไปยังศาลบรรพชนสกุลฮั่ว
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ไป ฮั่วสุยเฟิงบอกว่านางตั้งครรภ์ ไม่ควรเห็นภาพโหดร้ายนองเลือด ภายหลังได้ยินเมิ่งขุยเล่าว่าฮั่วสุยเฟิงใช้เนื้อบดหนึ่งถาดทำพิธีเซ่นไหว้บิดาผู้ล่วงลับ
โม่เซี่ยวเหนียงฟังยังไม่ทันจบก็รีบโบกมือไล่เขาออกไปแล้วอาเจียนไม่หยุด นางถึงกับเริ่มสงสัยในความคิดของตนก่อนหน้านี้ที่คาดเดาว่าฮั่วสุยเฟิงอาจเป็นคนที่ทะลุมิติมา
หากเป็น ‘เขา’ ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการปลูกฝังแนวคิดด้านกฎหมายสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง เหตุใดถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้ ราวกับว่าฮั่วเหยียนเหลยคือศัตรูสังหารบิดาของเขาจริงๆ ก็มิปาน!
อย่างไรก็ตามฮั่วสุยเฟิงยังถือว่าคำนึงถึงหน้าตาของสกุลฮั่วอยู่บ้าง จึงประกาศต่อผู้คนว่าฮั่วเหยียนเหลยเสียชีวิตด้วยโรคภัยที่หน้าป้ายวิญญาณบิดา
สถานการณ์ในโม่เป่ยพลิกผันอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องลุกขึ้นมาก่อกบฏโดยไม่สนใจการแต่งตั้งจากราชสำนัก
แต่เสี่ยนเหรินไทเฮาชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว จึงระงับเรื่องที่ขุนนางผู้ตรวจการจำนวนมากยื่นฎีกากล่าวโทษฮั่วสุยเฟิง และให้ฮ่องเต้วัยเยาว์ออกพระราชโองการคืนตำแหน่งโม่เป่ยอ๋องแก่ฮั่วสุยเฟิง
นับแต่นั้นฮั่วสุยเฟิงก็ได้รวบรวมดินแดนเก่าของโม่เป่ยเป็นปึกแผ่นและสามารถหันไปกวาดล้างชนเผ่าที่ก่อความวุ่นวายทางแดนเหนือเพื่อสร้างความมั่นคงให้แนวหลัง
ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงกลายเป็นชายาโม่เป่ยอ๋องแล้ว แต่เนื่องจากใกล้คลอดเต็มที แม้แต่พิธีแต่งตั้งบรรดาศักดิ์โม่เป่ยอ๋องก็ยังถูกเลื่อนออกไป
ฮั่วสุยเฟิงคิดว่ารอให้โม่เซี่ยวเหนียงคลอดเสร็จก่อนแล้วค่อยจัดพิธีก็ยังไม่สาย
แต่ในช่วงเวลานี้เองก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นที่เมืองเฟิ่ง