ตอนย้ายราชสำนักมีการเร่งให้ขุนนางตำแหน่งสูงเดินทางไปก่อน ส่วนบรรดาครอบครัวขุนนางหลายคนยังไม่ได้เดินทางตามไปด้วย
คนสกุลเซียวเองก็ไม่ได้แย่งชิงเดินทางไปในกลุ่มแรกเพื่อแสดงความใจกว้าง
แต่เมื่อขบวนที่สองออกเดินทาง พวกเขากลับถูกโจรดักปล้นกลางทาง คนในครอบครัวหลายคนถูกพวกโจรโจมตีจนกระจัดกระจายกันไป บางคนซ่อนตัวในพุ่มหญ้าหรือกองหินข้างทาง สุดท้ายก็ได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่ตามมาช่วยภายหลัง แต่ก็มีบางคนที่เหมือนจะถูกพวกโจรจับตัวไป หาตัวอย่างไรก็หาไม่พบ
และฉีซืออินภรรยาเอกของเซียวเยวี่ยเหอก็กลายเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้สูญหาย
ตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นใหม่ๆ สกุลเซียวพยายามปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ โดยบอกกับคนนอกว่าฉีซืออินขวัญเสียจนล้มป่วย
แต่ไม่ถึงสองวันข่าวลือกลับแพร่กระจายไปทั่วเมืองเฟิ่ง ว่ากันว่าข่าวนี้ถูกแพร่ออกมาจากบรรดาอนุซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของเซียวเยวี่ยเหอ จะปิดข่าวก็ทำไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าต่อให้ฉีซืออินถูกช่วยกลับมา นางก็ทำได้เพียงจบชีวิตตนเองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์เท่านั้น
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าทั้งสกุลเซียวมีเพียงฉีซืออินผู้เดียวที่มีคุณธรรมสูงส่งและประพฤติตนอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่นางกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ ช่างน่าเศร้าจริงๆ
แม้จะใกล้คลอดเต็มที แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับต้องขยันเดินให้มากขึ้น ถึงอย่างไรก็ต้องคลอดเอง หากกระดูกเชิงกรานไม่แข็งแรงก็จะเป็นอุปสรรคได้
หลังจวนโม่เป่ยอ๋องมีภูเขาลูกเล็กๆ ลูกหนึ่ง บนภูเขาเต็มไปด้วยต้นหม่อน จึงมีการเลี้ยงไหมและมีโรงสาวไหมขนาดเล็ก
โรงเลี้ยงไหมของจวนโม่เป่ยอ๋องเองก็อยู่บนภูเขาลูกนี้เช่นกัน เมื่อว่างไม่มีอะไรทำ ฮั่วสุยเฟิงจึงแต่งกายธรรมดาเรียบง่ายไปเดินเล่นบนภูเขาพร้อมโม่เซี่ยวเหนียง
บริเวณจวนโม่เป่ยอ๋องในเวลานี้สงบเงียบลงมาก หลังราษฎรต้องทนทุกข์จากสงครามมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ได้พบกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่หาได้ยากเสียที
ภูเขาลูกเล็กๆ นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่เหล่าคนร่ำรวยในเมืองชื่นชอบ มีแผงขายของเรียงรายตลอดทาง อีกทั้งมีอาหารเลิศรสนานาชนิดให้กินด้วย
เมื่อได้กลิ่นหอมมาตลอดทาง โม่เซี่ยวเหนียงก็ต้องหยุดเดิน แม้จะไม่กล้ากินมาก แต่เพียงได้ลิ้มรสสักนิดก็ยังดี ดังนั้นถนนอันร่มรื่นด้วยเงาของต้นไม้ที่ทอดขึ้นภูเขาสายนี้จึงมีทิวทัศน์ที่งดงามเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
หญิงงามผุดผาด รูปร่างบอบบาง แต่หน้าท้องนูน สวมกระโปรงยาวหลวมๆ เดินลงจากรถม้าครั้งแล้วครั้งเล่า มองของกินเล่นต่างๆ นานาบนแผงด้วยดวงตาเป็นประกายและลิ้มชิมอาหารไม่หยุด
ข้างกายนางคือบุรุษรูปร่างสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาที่คอยมองหญิงงามท้องโตผู้นี้ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความพะเน้าพะนอ ดูก็รู้ทันทีว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง
โม่เซี่ยวเหนียงรู้จักของกินเล่นบนถนนสายนี้ดีเพราะเคยมาเที่ยวแล้ว นางเอ่ยชมขาแกะพริกไทยของแผงเล็กๆ แผงหนึ่งไม่หยุดปาก
ขาแกะต้มจนเปื่อยนุ่มในน้ำแกงที่เคี่ยวเป็นเวลานาน ถูกตักขึ้นมาแล้วแล่เอ็นและเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับผักหั่นฝอย ต้นหอม และพริกไทย ก่อนสอดไส้เข้าไปในแผ่นแป้งงาบางกรอบ พอกัดเข้าไปคำหนึ่งก็อร่อยจนแทบน้ำตาไหล
คราวก่อนโม่เซี่ยวเหนียงกินไปครั้งหนึ่งแล้วไม่อาจลืมรสชาติได้ คราวนี้จึงตั้งใจชวนฮั่วสุยเฟิงที่มัวแต่ยุ่งกับราชกิจให้มาด้วยกัน เพื่อจะได้ลองชิมแป้งกรอบไส้เอ็นแกะและเนื้อขาแกะ
เห็นนางเล่าอย่างตื่นเต้นมีความสุข ฮั่วสุยเฟิงก็อดเอื้อมมือมาหยิกแก้มนางด้วยความรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าตะกละตะกลามเพียงนี้”
โม่เซี่ยวเหนียงก้มหน้าปอกมะพลับลูกหนึ่ง แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับค่อยๆ จางหายไปเล็กน้อย
ตั้งแต่มาอยู่ในยุคโบราณ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา นางก็ให้ความสำคัญกับการกินเป็นพิเศษ แทบทุกมื้ออาหารจะกินจนรู้สึกเหมือนมีเพลงประกอบที่ปลายลิ้น กินอย่างตั้งใจและดื่มด่ำยิ่ง
คนทั้งจวนต่างรู้ว่านางเป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องการกินดื่ม