ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 135-136
แต่หากย้อนกลับไปในชีวิตของอู๋เซี่ยวเซี่ยวยุคปัจจุบัน นางเป็นคนทำงาน มีจังหวะชีวิตที่เร่งรีบ จึงไม่ค่อยแสวงหาในด้านอาหารการกินและไม่ค่อยพิถีพิถันนัก
บางครั้งตอนที่นางต้องพาศิลปินเดินสายโปรโมตงาน อาหารที่กินก็เป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยเท่านั้น ภายหลังเมื่อกระเพาะอาหารมีปัญหา อาหารหลายๆ อย่างก็กินไม่ได้ ตอนนี้พอคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกเหมือนเวลาที่ผ่านมาเป็นการใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่า และวิ่งไล่ตามโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร
คำพูดของฮั่วสุยเฟิงที่แปลความได้ว่า ‘นางไม่ใช่คนพิถีพิถันเรื่องกินดื่ม’ นั้นไม่รู้ว่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกใด
แต่นางก็เลือกที่จะไม่ถาม เพียงยื่นมะพลับในมือที่ปอกเปลือกแล้วไปจ่อที่ปากเขา ให้เขากัดหนึ่งคำ
ขณะนั้นเองพวกเขาก็มาถึงแผงขายแป้งกรอบไส้เอ็นแกะและเนื้อขาแกะ
เมิ่งขุยเดินนำไปซื้อแป้งกรอบมาสองชุด
ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ไกล เมิ่งขุยจึงสั่งให้เหล่าองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ข้างรถม้า
จากนั้นเขาก็นำคนสองสามคนวิ่งตรงไปยังพื้นที่ด้านล่างของเนินเขา…ปรากฏว่ามีหัวขโมยกำลังลักขโมยเงินจากสตรีผู้หนึ่งอยู่ สาวใช้ผู้กล้าหาญของสตรีผู้นั้นรีบโผเข้ากอดขาของหัวขโมยไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มันหนีไปได้
หัวขโมยอับอายจนโกรธ ยกขาขึ้นถีบสาวใช้ สตรีที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็คว้าก้อนหินขึ้นมาปาใส่หัวขโมย
เมิ่งขุยตรงเข้าไปจับกุมหัวขโมยที่ล้วงมีดจากอกเสื้อได้ทันเวลา จากนั้นก็สั่งให้คนจับมัดไว้และหันไปถามความเป็นมาจากสตรีผู้นั้น
วันนี้แดดไม่แรงเท่าใดนัก แต่สตรีผู้นั้นสวมหมวกคลุมศีรษะและก้มหน้าต่ำ ปล่อยให้สาวใช้เป็นคนพูดแทน จนกระทั่งค้นตัวหัวขโมยและได้กระเป๋าเงินคืน นางจึงเอื้อมมือมารับพลางกล่าวขอบคุณเสียงเบาแล้วทำท่าจะจากไป
ตอนนี้เองโม่เซี่ยวเหนียงที่นั่งอยู่บนรถม้าก็มองมาทางด้านล่างของเนินเขาจากหน้าต่าง พอเห็นรูปร่างของสตรีผู้นั้น นางก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
ลมพัดผ่านมาพอดี ทำให้หมวกคลุมศีรษะของสตรีผู้นั้นปลิวหล่น โม่เซี่ยวเหนียงเห็นใบหน้าด้านข้างของสตรีผู้นั้นชัดเจนทันที จึงอดร้องเรียกอีกฝ่ายไม่ได้
“ฉีซื่อ?”
แม้สตรีผู้นั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าสีครามเรียบง่ายเช่นหญิงชาวบ้านธรรมดา ไร้ซึ่งเครื่องประดับหรูหรา แต่ท่วงท่าที่สง่างามสูงส่งดังดอกกล้วยไม้ป่านั้นบ่งบอกว่านางคือฉีซืออินสตรีมากความสามารถในวันวานของเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นว่าโม่เซี่ยวเหนียงจำนางได้ ฉีซืออินก็เร่งฝีเท้า อยากออกไปจากถนนหลัก ทว่าเมิ่งขุยเข้ามาขวางทางไว้ ไม่ยอมปล่อยให้นางไป
โม่เซี่ยวเหนียงเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่อยากยอมรับว่ารู้จักกัน จึงเอ่ยขึ้น “ที่เมืองเฟิ่งใครๆ ก็ตามหาฮูหยินกันแทบพลิกแผ่นดิน เหตุใดฮูหยินถึงไม่ยอมแสดงตัวว่ารู้จักสหายเก่าเล่า”
ฉีซืออินรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังร่องรอยของตนเองได้อีก ใบหน้าของนางพลันซีดขาว ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
ขณะที่เพ่ยฉินสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ทรุดลงคุกเข่าพร้อมกล่าวขอร้องว่า “ใครๆ ต่างก็เล่าลือว่าเซี่ยนจู่มีเมตตา ขอท่านโปรดทำเหมือนว่ามิได้พบเห็นพวกเราสองคนได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนูของบ่าวถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสี ทำลายชื่อเสียงอันดีงาม หากกลับไปตอนนี้มีเพียงหนทางเดียวคือต้องปลิดชีวิตตนเองเพื่อรักษาหน้าตาของสกุลเซียวเท่านั้น สวรรค์มีเมตตาปกป้องทุกสรรพสิ่ง ขอเซี่ยนจู่โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
แท้จริงแล้วต้นตอของข่าวลือที่ว่าฉีซืออินถูกโจรจับตัวไปเป็นฝีมือของโม่อิ๋งหลันคุณหนูจากบ้านรองของสกุลโม่ที่แต่งเข้าสกุลเซียว
ตอนนั้นเนื่องจากโม่อิ๋งหลันมีรูปโฉมคล้ายโม่เซี่ยวเหนียงอยู่บ้าง จึงได้รับความโปรดปรานจากเซียวเยวี่ยเหอจนตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว แต่ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายของนาง ทำให้ถูกเซียวเยวี่ยเหอทอดทิ้ง กระทั่งบุตรสาวที่คลอดออกมาก็ไม่สามารถเลี้ยงดูเองได้ ถูกนำไปให้ฉีซืออินเป็นผู้เลี้ยงดูแทน
แต่ต่อมาเซียวเยวี่ยเหอต้องออกรบต่อกรกับเผ่าหนานอี๋ เนื่องจากสถานการณ์การรบนั้นอันตรายยิ่ง อนุทั้งจวนไม่มีใครยอมติดตามกองทัพไปด้วย มีเพียงโม่อิ๋งหลันที่ได้รับคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ผู้เป็นท่านปู่ ทำให้นางกัดฟันอาสาติดตามไปยังค่ายแนวหน้าด้วย
พอเซียวเยวี่ยเหอกลับมาพร้อมชัยชนะ โม่อิ๋งหลันก็ตั้งครรภ์อีกครั้งและให้กำเนิดบุตรชายอีกหนึ่งคน
บุตรสาวถูกฉีซื่อรับไปเลี้ยงดูก็แล้วไป แต่บุตรชายจะปล่อยให้ผู้อื่นมาอุ้มไปอีกได้อย่างไร
นอกจากนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสกุลโม่มีฐานะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ โม่อิ๋งหลันจึงไม่ยอมอยู่ในฐานะอนุอีกต่อไป นางจึงใช้ความคิดวางแผนไปไม่น้อย
ครั้งนั้นตอนที่ถูกพวกโจรดักปล้นกลางทาง ฉีซืออินต้องการปกป้องบุตรที่เกิดจากอนุในจวน จึงสั่งให้พวกอนุพาบุตรหลบเข้าไปในพุ่มไม้ ส่วนตนเองพร้อมสาวใช้ก็พากันผลักหีบสมบัติไปที่เนินเขาเพื่อเตรียมเทลงไปล่อความสนใจพวกโจร
ขณะที่นางกำลังผลักหีบสมบัติอยู่นั้น จู่ๆ นางและสาวใช้ก็ถูกคนผลักจากด้านหลังจนกลิ้งตกลงไปจากเนินเขาแล้วตกลงไปในน้ำ ขณะนั้นเพ่ยฉินหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนที่ผลักนางคือสาวใช้ข้างกายโม่อิ๋งหลัน
โชคดีที่ฉีซืออินและเพ่ยฉินเคยถูกเลี้ยงดูอยู่ในชนบทเมื่อหลายปีก่อน ทั้งยังว่ายน้ำเป็น จึงรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้มาได้
อย่างไรก็ตามหลังจากนางและเพ่ยฉินพยายามขึ้นฝั่งแล้วตามหาคนอื่นมาตลอดทาง นางก็ได้รู้ว่าเรื่องที่นางถูกโจรลักพาตัวแพร่กระจายไปทั่วแล้ว
ฉีซืออินไตร่ตรองเงียบๆ แล้วตัดสินใจนำเครื่องประดับติดตัวออกขาย ก่อนจะเดินทางโดยไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อหาสถานที่ซ่อนตัว
แต่นึกไม่ถึงว่านางจะได้พบกับโม่เป่ยอ๋องและชายา
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)
Comments
