พักข่าวซุบซิบอันร้อนแรงในหอสุราไว้ก่อน มาเล่าถึงสกุลฉู่ที่วันนี้กำลังจะกินอาหารร่วมกันในครอบครัว
ฉู่เฉียวอีที่แต่งงานออกไปแล้วพาซั่นเหวินจวี่สามีของนางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม
เพียงแต่นิสัยอิจฉาของฉู่เฉียวอีกำเริบอีกแล้ว หลายวันมานี้นางมักถูกสหายสนิทซักถามว่าเหตุใดพี่สาวไม่แท้ของนางถึงได้รับบรรดาศักดิ์ ส่วนนางที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ กลับไม่ได้ นางจึงยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
เมื่อเข้าจวนมานางก็กล่าวกระทบกระเทียบพี่สาวหลายคำจนสามีที่สุภาพเรียบร้อยของนางต้องดึงแขนเสื้อนางหลายที
แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่าฉู่เฉียวอีเป็นคนมองอะไรตื้นเขิน ถูกคนอื่นยุยงง่ายมาตั้งแต่เด็ก หากเป็นเรื่องเล็กน้อยนางก็มักจะไม่ใส่ใจคำพูดเหน็บแนมของฉู่เฉียวอี ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไป
โชคดีที่ฉู่เซิ่นถูกหูซื่อประคองออกมาจากด้านหลังพอดี ฉู่เฉียวอีจึงหยุดพูด นั่งลงข้างบิดาแล้วถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
ไม่นานนักฮั่วสุยเฟิงก็กลับมาจากหอสุรา หลังจากคารวะบิดามารดาบุญธรรมเสร็จแล้วเขาก็เริ่มทักทายซั่นเหวินจวี่
หลังจากพักฟื้นร่างกายมาหลายเดือน ในที่สุดฉู่เซิ่นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นได้ แต่ตอนอยู่ที่ซีเป่ยปราบปรามโจรร้ายทั้งวัน ร่างกายเสื่อมโทรมลงอย่างยิ่ง และตอนนี้ก็อายุมากแล้ว แม้พักฟื้นแล้ว ทว่าร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่
หูซื่อจึงอยู่ในโลกของอาหารยาตามตำรับโบราณ เอาแต่ค้นคว้าตำรับอาหารบำรุงสุขภาพทั้งวัน ลำพังแค่เกี๊ยวหมูป่าเห็ดหอมในวันนี้ก็ยังผสมสมุนไพรบำรุงเลือด เอายกขึ้นโต๊ะร้อนๆ ให้ทุกคนได้กินบำรุงเลือดลม
เซิ่งเกอตอนนี้อายุเก้าขวบกว่าแล้ว ได้รบกวนอาจารย์ช่วยตั้งชื่อให้ใหม่ว่าฉู่อวิ๋นเซิ่ง ส่วนน้องสาวคนเล็กก็ได้ชื่อใหม่เช่นกันว่าฉู่เฉียวซิน
นอกจากนี้แม้กระทั่งโม่เซี่ยวเหนียงก็ได้รับชื่อใหม่ด้วยว่าฉู่เฉียวเสี่ยว ซึ่งมีเสียงคล้ายกับคำว่า ‘เซี่ยว’ ชื่อเดิมของนางพอดี
โม่เซี่ยวเหนียงจึงกล่าวว่า ‘ท่านพ่อท่านแม่ ชื่อนี้ออกเสียงยาก เอาไว้บันทึกให้สง่างามอยู่ในผังวงศ์ตระกูลก็พอแล้ว ยามปกติก็เรียกข้าว่าเซี่ยวเหนียงเช่นเดิมเถิด’
เรื่องที่โม่เซี่ยวเหนียงพูดถึงนี้คือเรื่องที่สกุลฉู่กำลังจะสร้างศาลบรรพชนและรวบรวมเรียบเรียงชื่อในผังวงศ์ตระกูลใหม่
เนื่องจากหมู่นี้ฮ่องเต้บรรทมไม่หลับกลางดึกอีกแล้ว จึงส่งคนมาถามเรื่องศาลบรรพชนของสกุลฉู่และตรัสว่าจะทรงเขียนป้ายลายพระหัตถ์ของตนเองเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ทัพฉู่
แต่สกุลฉู่ไม่ได้เป็นตระกูลสูงศักดิ์มาก่อน ผังวงศ์ตระกูลก็บันทึกแบบขาดๆ หายๆ นับประสาอะไรกับศาลบรรพชน แต่ก็ไม่อาจขัดความปรารถนาดีของฮ่องเต้ได้ พวกเขาจึงต้องรีบเร่งจัดการ
ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่ฉู่เซิ่นยังไม่หายบาดเจ็บและไม่ต้องเข้าประชุมราชสำนัก เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมด้วยตนเอง และก่อนหน้านั้นก็ต้องสลัดกลิ่นอายบ้านนอกในชื่อของบรรดาบุตรที่บ้านไปก่อน จะได้เหมาะแก่การบันทึกลงผังวงศ์ตระกูล
แต่เรื่องปกติธรรมดาเช่นนี้ฉู่เฉียวอีกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก นางหลุบตาเอ่ยขึ้น “ทุกคนเปลี่ยนเป็นชื่อที่สง่างามกันหมด แต่เหตุใดชื่อข้าถึงไม่ได้เปลี่ยนบ้างเล่า”
ฉู่เซิ่นที่ตอนนี้โทสะไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนสมัยหนุ่มๆ พอได้ยินคำพูดของฉู่เฉียวอีแล้วกลับมีท่าทางอ่อนโยนและไม่ได้โยนตะเกียบทิ้ง เพียงบอกนางเสียงเรียบ
“ที่บ้านมีเจ้าคนเดียวที่แต่งออกไปแล้ว ตอนนี้ถือว่าเจ้าเป็นคนของสกุลซั่น แล้วจะให้ข้าเปลี่ยนชื่อเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าคิดว่าชื่อไม่ดีก็เอาพู่กันไปแก้เองในผังวงศ์ตระกูลเถิด แก้เป็นบรรพบุรุษของสกุลฉู่ จะได้สูงส่งมากพอ!”