บทที่ 92
แม้จะไม่ทราบเรื่องราวภายในของเรื่องอื้อฉาวในราชวงศ์เรื่องนี้ แต่เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินว่าองค์หญิงเสาหวาและบุตรสาวต้องออกจากเมืองหลวงไปไกล นางก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ
ส่วนฉู่เฉียวอี หลังจากที่หมอตรวจดูแล้ว แค่บอกว่าการแท้งบุตรครั้งก่อนไม่ได้พักฟื้นให้ดี มีปัญหาระดูมาไม่ปกติ กินยาสมุนไพรปรับสมดุลสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
พอได้ยินเช่นนั้นฉู่เฉียวอีก็ถอนหายใจยาว อารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องบรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่และเรื่องเปลี่ยนชื่ออีก
ไม่กี่วันต่อมา ซั่นเหวินจวี่ก็กลับมารับฉู่เฉียวอี สองสามีภรรยากลับบ้านกันไปอย่างรักใคร่กลมเกลียว
ตอนนี้เรื่องสำคัญของสกุลฉู่คือกลับไปสร้างศาลบรรพชนที่บ้านเกิด
เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้พระราชทานป้ายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของตนเอง กระเบื้องหลังคาของศาลจึงยิ่งไม่ควรดูซอมซ่อ
ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงในฐานะนายหญิงผู้ดูแลบ้านจึงต้องว่าจ้างช่างก่อสร้างชื่อดังในเมืองมาวาดภาพแบบร่าง ทั้งยังจ้างพวกช่างปูนช่างกระเบื้องในราคาสูง พร้อมทั้งเลือกซื้อวัสดุดีๆ กลับบ้านเกิด
การสร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลและกลับบ้านอย่างผู้มีเกียรติถือเป็นความปรารถนาในใจของบุรุษผู้มีปณิธานทุกคน ฉู่เซิ่นเองก็ไม่ต่างกัน จึงอาศัยช่วงที่จะสร้างศาลบรรพชนพาครอบครัวกลับไปด้วยกัน
เนื่องจากต้าฉินให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม ในราชวงศ์นี้จึงมีการอนุญาตให้ลาหยุดช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ให้ขุนนางที่มีภูมหลังมาจากชนบทกลับบ้านเกิดไปช่วยเหลือชาวนา สังเกตขนบธรรมเนียมของผู้คน และสัมผัสวิถีชีวิตของราษฎรได้
ฉู่เฉียวอีเองก็ไม่อยากพลาดโอกาสอวดบารมีต่อหน้าชาวบ้าน จึงให้สามีลาหยุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วเดินทางกลับบ้านพร้อมกัน
น่าเสียดายที่ฮั่วสุยเฟิงมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ได้ยินว่าเสด็จอาที่โม่เป่ยของเขาหาเรื่องมาให้อีกแล้ว เขาจึงต้องรีบเดินทางกลับไปจัดการ
แต่ก่อนจะจากไปฮั่วสุยเฟิงได้ปรึกษาฉู่เซิ่นเรื่องการแต่งงานกับโม่เซี่ยวเหนียงอย่างจริงจัง
ตอนนี้ช่วงไว้ทุกข์ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งทาง เหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่า ความตั้งใจของฮั่วสุยเฟิงคือรอให้ศาลบรรพชนของสกุลฉู่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาอีกเดือนกว่าๆ จากนั้นพอคำนวณเวลาเดินทางไปกลับก็ใกล้ถึงเวลาแต่งงานพอดี เทียบกับการเดินทางไปกลับที่ลำบาก มิสู้ครั้งนี้เขารับโม่เซี่ยวเหนียงกลับโม่เป่ยไปด้วยกันดีกว่า รอให้หมดช่วงไว้ทุกข์แล้วก็จัดพิธีแต่งงานที่จวนจวิ้นอ๋องที่โม่เป่ย
ฉู่เซิ่นได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วทันที คิดว่าในเรื่องนี้มีความใจร้อนแบบเด็กหนุ่มแฝงอยู่ จึงตอบกลับไปว่า “ข้ากับมารดาบุญธรรมเจ้ายังแข็งแรงดีอยู่ทั้งคู่ แล้วจะส่งบุตรสาวไปให้เจ้าโดยที่ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินบิดาบุญธรรมถามขึ้นมา ฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ได้แสดงอาการรีบร้อน เพียงตอบว่าในพระราชโองการระบุชัดเจนว่าเมื่อการไว้ทุกข์สิ้นสุดลงต้องจัดพิธีแต่งงานทันที เขาไม่ได้รีบร้อน แค่กลัวว่าจะล่าช้าออกไปแล้วจะเป็นการขัดพระราชโองการ
ฉู่เซิ่นผ่านการหล่อหลอมจากบรรดาบุตรที่บ้านจนแผ่ความสงบเยือกเย็นออกมาราวกับพระพุทธองค์ ตอบบุตรชายบุญธรรมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
“หากเจ้ารีบก็คำนวณเวลากลับมาจัดพิธีแต่งงานที่เมืองหลวงให้แม่นยำ ส่วนที่ว่ากลัวจะล่าช้าออกไปแล้วจะถูกฝ่าบาทตำหนิ ข้าสามารถเข้าวังไปขออภัยโทษจากฝ่าบาทได้ ขอให้ทรงถอนพระราชโองการแล้วพระราชทานหญิงที่มีเรือนอยู่ที่โม่เป่ยให้จวิ้นอ๋อง เพื่อไม่ให้จวิ้นอ๋องแต่งงานกับคู่ครองที่เหมาะสมกันล่าช้า…”
ฮั่วสุยเฟิงประสานมือคารวะแล้วตอบว่า “นี่จะไม่เท่ากับว่าทำให้ข้ากลายเป็นคนอกตัญญูหรือ จะปล่อยให้ท่านพ่อไปบังคับให้ฝ่าบาททรงถอนพระราชโองการที่ล้ำค่าดั่งทองคำจนได้รับความโกรธเกรี้ยวดั่งสายฟ้าฟาดได้อย่างไรกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าค่อยกลับมารับเซี่ยวเหนียงที่เมืองหลวงอีกครั้งก็ได้”
ความคิดของฮั่วสุยเฟิงที่จะพาโม่เซี่ยวเหนียงกลับไปโม่เป่ยด้วยจึงยุติลงแต่เพียงเท่านี้