บ่าวรับใช้สกุลฉู่ทั้งหมดเก็บสัมภาระ เตรียมรถม้าและเรือ อีกไม่กี่วันก็จะออกเดินทางกลับบ้านเกิดไปสร้างศาลบรรพชนแล้ว
ก่อนออกเดินทางฮั่วสุยเฟิงได้ชวนโม่เซี่ยวเหนียงไปล่องเรือชมทะเลสาบ นางจึงพาเซิ่งเกอกับน้องสาวคนเล็กไปด้วย
สองพี่น้องตัวเล็กเล่นซุกซนกันไม่หยุดหย่อน
ฮั่วสุยเฟิงเห็นโม่เซี่ยวเหนียงเล่นกับเด็กทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ก่อนหาโอกาสเข้าไปถามนางใกล้ๆ
“กลัวว่าข้าจะดึงเจ้าไปยืนใต้กำแพงอีกหรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงทัดผมไว้หลังใบหู ไม่สนใจเขา เฝ้าหยอกเย้าน้องสาวคนเล็กที่เขาอุ้มอยู่เล่น
ฮั่วสุยเฟิงจึงไปซื้อขนมถั่วหวานจากร้านเล็กๆ ริมทะเลสาบ เกลี้ยกล่อมให้เด็กสองคนไปกินขนมและจับตั๊กแตนที่สนามหญ้าข้างๆ จากนั้นหาหินก้อนใหญ่เรียบๆ ให้โม่เซี่ยวเหนียงนั่ง
พวกสาวใช้และบ่าวรับใช้ต่างยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองจึงมีเวลาคุยกันเป็นส่วนตัว
“ข้ากลับไปจัดการเรื่องทางโม่เป่ยเสร็จแล้วจะกลับมารับเจ้า เจ้าทำตัวดีๆ อยู่กับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมรอข้าดีๆ เล่า”
โม่เซี่ยวเหนียงยังคงมีคำถามอยู่ในใจมาโดยตลอด นางคิดว่าตนเองปฏิบัติต่อน้องชายน้องสาวไม่ต่างกัน แล้วเหตุใดฮั่วสุยเฟิงที่เดิมทีควรมีสตรีรายล้อมจึงยืนกรานที่จะเลือกนาง นางจึงฉวยโอกาสนี้ถามเขา
“มีสตรีมากมายไม่เลือก เหตุใดถึงมาตามตอแยข้า เจ้าก็รู้แก่ใจดีว่าเราอายุห่างกันเท่าไร ความเป็นพี่สาวน้องชายที่มีต่อกันในตอนแรกไม่ดีหรือ ไยต้องทำให้กลายเป็นคู่แต่งงานที่ไม่ลงรอยกันด้วย”
ฮั่วสุยเฟิงกำลังแกะห่อกระดาษน้ำมันของขนมถั่วเขียวให้นาง พอได้ยินนางถามเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง
“เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังจะพูดขึ้นมาอีก หากเจ้ารักและเคารพข้าในฐานะสามีของเจ้า แล้วเราจะเป็นคู่แต่งงานที่ไม่ลงรอยกันได้อย่างไร”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกว่าการพูดคุยเรื่องความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งและเรื่องช่องว่างระหว่างวัยกับเด็กหนุ่มในยุคโบราณคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป นางจึงถามต่ออย่างตรงไปตรงมา
“หากข้าอายุสี่สิบปีแล้วเจ้าก็เพิ่งจะอยู่ในวัยสามสิบปี กำลังเป็นช่วงเวลาที่ดี เจ้าลองคิดดูเถิด ท่านป้าอายุสี่สิบกว่าปี เจ้ายังจะรักอยู่อีกหรือ”
ฮั่วสุยเฟิงแกล้งดึงเปียยาวของนางที่รวบไว้ที่บ่าเบาๆ “เจ้าคงไม่รู้ว่าในตรอกคณิกาที่เมืองหลวงมีคนชอบหาแต่หญิงวัยกลางคนโดยเฉพาะ บอกว่าเอาใจเก่งกว่าเด็กสาว ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีคุณชายอายุสิบแปดปีคนหนึ่งโวยวายอยากรับสตรีวัยสี่สิบปีเป็นอนุอยู่เลย ทำเอามารดาของเขาร่ำไห้ทุกวัน บอกว่านี่ไม่ใช่รับอนุแล้ว แต่เป็นการรับมารดากลับมาอย่างเห็นได้ชัด เทียบกับคู่ของเขาแล้ว อายุของเราสองคนเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ห่างกันเพียงสามปีเท่านั้น…”
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเขาเอาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในตรอกคณิกามาเปรียบเทียบก็หงุดหงิดจนเอามือฟาดหลังเขา
“นี่มันเรื่องน่ารังเกียจอะไรกัน เจ้าเคยไปที่นั่นหรือ แล้วอีกอย่างเราสองคนอายุห่างสามปีเมื่อไรกัน เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่ คำนวณอายุไม่เป็นหรือ”
ฮั่วสุยเฟิงชอบมองท่าทางโกรธของนางเป็นที่สุด พอเห็นพี่สาวสกุลฉู่ทำแก้มป่อง เขาก็หัวเราะออกมา “ข้าจะมีเวลาเพียงนั้นได้อย่างไร เวลากลับจวนมาหาเจ้ายังมีไม่พอด้วยซ้ำ แค่ได้ยินสหายร่วมงานคุยกันในกรมทหารเท่านั้นเอง”
หลังล่องเรือชมทะเลสาบเสร็จแล้ว ฮั่วสุยเฟิงก็กำชับโม่เซี่ยวเหนียงว่าอย่าลืมเขียนจดหมายถึงเขาและต้องเย็บเสื้อชั้นในให้เขาด้วย
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ตอบอะไร พาน้องชายน้องสาวทั้งสองกลับจวนโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงนั่งอยู่บนเรือ ตอนที่มองคลื่นน้ำสีเขียวมรกตและต้นเฟิง สีแดงหนาทึบริมฝั่งทั้งสองด้าน ความรู้สึกอึดอัดในใจที่มีมานานหลังจากการพระราชทานสมรสก็บรรเทาลงในทันตา