เมื่อออกจากเมืองหลวง ห่างไกลจากการชิงไหวชิงพริบ ได้สูดกลิ่นหอมของทุ่งนาและผลไมก็นับว่าได้กลับมาในชนบทท้องทุ่งที่โม่เซี่ยวเหนียงชื่นชอบที่สุดเสียที ส่วนฉู่เฉียวอีเองก็ดูมีความสุขเต็มที่ เรียกโม่เซี่ยวเหนียงให้เอาแหมาดักปลาตัวใหญ่ในน้ำด้วยกัน ขณะที่น้องสาวคนเล็กกับเซิ่งเกอก็หัวเราะอย่างร่าเริง ร้องให้พี่สาวทั้งสองช่วยจับปลาให้พวกเขากิน
แต่สุดท้ายการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดอย่างเรียบง่ายก็สร้างความตื่นตระหนกให้คนท้องที่ ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งแห่งราชสำนักกลับบ้านเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งในหมู่บ้าน
เจ้าเมืองและผู้ช่วยนายอำเภอในท้องที่ต่างออกมารอคอยท่านแม่ทัพและครอบครัวกลับมาด้วยความเคารพ ขณะที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านเป็นระยะทางหลายสิบหลี่
ฉู่เซิ่นจึงต้องโอภาปราศรัยกับเหล่าขุนนางท้องถิ่นเล็กน้อย
อาจเพราะตอนนั้นเรื่องชาติกำเนิดของหูซื่อเกือบถูกเปิดเผย ฉู่เซิ่นจึงเตรียมพร้อมนานแล้วที่จะกลับมาอยู่บ้านเกิดทำนาเก็บค่าเช่า
เขาซื้อที่ดินกว้างใหญ่ที่บ้านเกิดและซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งใกล้ทะเลสาบอี้ ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปซ่อมแซมมิได้ขาด เปลี่ยนโฉมคฤหาสน์ให้ดูใหม่เอี่ยมแต่เนิ่นๆ แล้ว
ชาวบ้านรู้เพียงว่ามีขุนนางจากเมืองหลวงถูกใจคฤหาสน์หลังนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร
จนเมื่อเร็วๆ นี้มีผู้ดูแลจากสกุลฉู่ที่กลับมาจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ และสั่งการให้บ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ จึงมักจะเห็นบ่าวรับใช้ใส่ชุดใหม่ที่สะอาดเรียบร้อยขนย้ายเครื่องเรือนใหม่เอี่ยมทาสีจนมันวาวหรูหราโอ่อ่าเข้ามาในคฤหาสน์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ชาวบ้านที่ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวก็พยายามสืบข่าวจากหลายทาง จนได้ยินจากบ่าวไพร่ที่ได้รับการว่าจ้างมาว่าที่แท้คนที่ซื้อคฤหาสน์หลังนี้คือฉู่เซิ่นที่จากบ้านไปเป็นขุนนางในเมืองหลวง!
พึงรู้ว่าสำหรับชนบทที่ห่างไกล ในปีหนึ่งพ่อค้าที่เข้าไปค้าขายในเมืองหลวงนั้นมีเพียงไม่กี่คน ต่อให้ไปบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่ได้คิดจะสืบข่าวว่าฉู่เซิ่นดำรงตำแหน่งขุนนางเป็นอย่างไร
และทางบ้านใหญ่สกุลฉู่ แม้ฉู่เซิ่นจะให้คนมาส่งของทุกปี ทว่าของขวัญมาถึงแต่คนไม่มา ดังนั้นฉู่จิ่นในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ฉู่เซิ่นเจริญรุ่งเรืองไปถึงขั้นไหนแล้ว
เมื่อข่าวว่าเจ้าของคฤหาสน์คือแม่ทัพฉู่เซิ่นขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนักถูกแพร่ออกไป ชาวบ้านในท้องที่ก็ตกใจจนเบิกตากว้าง
เมื่อกลับมาจากการส่งของที่คฤหาสน์สกุลฉู่ก็ยังตั้งใจอ้อมรอบหนึ่ง ดูกำแพงดินมูลที่เคยใช้แยกเรือนของสกุลฉู่อีกครา
เวลานี้เรือนเก่าที่แบ่งให้ฉู่เซิ่นหลังนั้นมีหญ้าขึ้นรก แม้แต่ประตูหน้าต่างก็พังลงมาหมดแล้ว
ชาวบ้านที่เคยออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้ฉู่เซิ่นในอดีต เวลานี้เมื่อพูดถึงบุตรชายคนโตสกุลฉู่กับภรรยาใจร้ายและบุตรชายคนรองสกุลฉู่ก็มีแต่จะหัวเราะเยาะที่สองสามีภรรยามองอะไรตื้นเขิน
เพื่อเรือนหลังคากระเบื้องไม่กี่ห้อง ถึงกับยอมเสียความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ช่างน่าไม่อายจริงๆ
ตอนนี้เหยาซื่อไม่ออกจากเรือนแล้ว หลายวันก่อนเรื่องของน้องสามีเพิ่งลือสะพัดมา พวกเพื่อนบ้านต่างพากันพูดชมเชยความเก่งกาจของน้องสามีต่อหน้านาง บางคนบอกว่ารู้แต่แรกแล้วว่าฉู่เซิ่นไม่ใช่คนธรรมดา นางรู้ดีว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะตน จึงย่อมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เหตุใดตอนนั้นตนถึงได้เลอะเลือน นึกถึงตอนที่นางไปช่วยดูแลหูซื่ออยู่เดือนอย่างน่าไม่อาย อีกทั้งพูดจาล่วงเกินน้องสามี จนแม้แต่จดหมายที่ส่งไปมาหาสู่กันก็เหลือเพียงไม่กี่ฉบับแล้ว
นับตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านก็เริ่มเย็นชาต่อกันเช่นนี้
อันที่จริงในภายหลังฉู่จิ่นก็เคยส่งคนไปสืบดูความเป็นไปของฉู่เซิ่นในช่วงนี้ แต่ได้ยินเพียงว่าเขาถูกส่งไปประจำการยังดินแดนทุรกันดารอย่างซีเป่ยซึ่งมีโจรร้ายชุกชุม คนที่ไปเป็นขุนนางที่นั่นล้วนไม่มีชีวิตรอดกลับมา
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกส่งไปที่นั่นล้วนเป็นคนที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย จึงถูกลดขั้นส่งไปซีเป่ย
เหยาซื่อได้ยินแล้วก็หวาดกลัวอย่างยิ่ง เกรงว่าต่อไปหากครอบครัวน้องสามีก่อเรื่องแล้วจะทำให้ครอบครัวของตนเดือดร้อนไปด้วย จึงอดยินดีไม่ได้ที่ทั้งสองครอบครัวแยกเรือนกันแต่เนิ่นๆ
และในเมื่อน้องสามีไปซีเป่ยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงเขาอีก
นางรีบให้ฉู่จิ่นเขียนจดหมายถึงฉู่เซิ่นแล้วฝากคนที่มาส่งของส่งกลับไป เนื้อความบอกฉู่เซิ่นว่าต่อไปไม่ต้องส่งของมาให้อีก ที่เรือนไม่ได้ขาดเหลืออะไร ในเมื่อแยกเรือนไปแล้วต่างคนต่างอยู่ก็พอ
ฉู่เซิ่นได้รับจดหมายแล้วก็ปฏิบัติตามที่พี่ชายบอกในจดหมายจริงๆ นับแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยส่งของกลับไปให้บ้านเกิดอีก เพียงแต่บอกในจดหมายฉบับสุดท้ายว่าเงินของตนเอาไปสำรองจ่ายเบี้ยหวัดทหารแล้ว ต่อไปคงต้องขายที่นาที่บ้านเกิด
เหยาซื่อคิดว่าฉู่เซิ่นช่างโง่เขลาสิ้นดี ถึงกับยอมควักเงินตนเองเอาไปสำรองจ่ายเบี้ยหวัดทหาร ต่อให้มีภูเขาทองคำก็คงไม่พอใช้เป็นแน่!
ดูเหมือนบ้านรองจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวอีกแล้ว
ลองใคร่ครวญดูแล้ว อันที่จริงทั้งสองบ้านไม่ได้เขียนจดหมายติดต่อกันมาปีกว่าแล้ว
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ ฉู่เซิ่นจะกลับบ้านเกิดอย่างมีเกียรติ อีกทั้งกลายเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งของราชสำนักอีกด้วย!