เดิมทีเหยาซื่อนึกว่าพวกเขาจะจัดห้องนอนเจ้าของบ้านภายในคฤหาสน์ให้ นึกไม่ถึงว่าผู้ดูแลคนนั้นบอกว่ายังไม่ได้เก็บกวาด ต้องลำบากพวกนางให้พักห้องคนงานที่ลานด้านนอกไปก่อน
ห้องเล็กไม่ต้องพูดถึง ทว่าในห้องใหม่นี้ถึงกับได้ยินเสียงหนูขบฟันตอนกลางดึกแว่วๆ ทำเอาเฉียนซื่อลูกสะใภ้ที่มีนิสัยขลาดกลัวไม่ได้นอนทั้งคืน ให้ฉู่เฉวียนไล่ตีหนูไปทั่วห้อง
กว่าฟ้าจะสว่างได้ก็แทบแย่ พวกหนูเลิกก่อกวนแล้ว พวกเขากำลังจะหลับตานอน พวกคนงานในคฤหาสน์ก็เริ่มลุกขึ้นมาจัดสวนและตัดแต่งต้นไม้
เสียงตักน้ำล้างหน้า เสียงกินโจ๊ก และเสียงพูดคุยกันดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แต่ละคนยังตะโกนโหวกเหวกเสียงดังด้วย
ฉู่เฉวียนอยู่ที่เรือนถูกเหยาซื่อตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่เคยต้องทนอะไรเช่นนี้ จึงตะโกนไปทางในเรือนเสียงดังลั่น
“นี่พวกเจ้าจะให้คนอื่นหลับนอนหรือไม่! หุบปากกันให้หมดเดี๋ยวนี้!”
แต่น่าเสียดายที่พวกคนงานต่างกำลังรีบทำงานกันอยู่ หากไม่หาจอบก็ไปรับงานจากผู้ดูแล ทุกคนงานยุ่งกันจนไม่มีเวลาเงยหน้ามองฉู่เฉวียน
กว่าคนงานจะไปกันหมด ความง่วงงุนก็หายไปจนหมดสิ้นเพราะเสียงดังรบกวนจากคนงานพวกนั้น
ยามเที่ยง ฉู่จิ่นมีนิสัยชอบนอนกลางวัน หลังกินอาหารเสร็จเพิ่งนอนหลับไปได้พักหนึ่ง คนงานพวกนั้นก็มาพักผ่อน เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกพักหนึ่ง การนอนกลางวันจึงไม่เป็นไปตามที่หวัง
เหตุการณ์วนเวียนเช่นนี้อยู่สองวัน บิดาและบุตรชายสกุลฉู่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องว่าจะกลับบ้าน พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งหมื่นแปดพันหลี่สักหน่อย เอาไว้ฉู่เซิ่นกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วค่อยมาก็ยังไม่สาย
เหยาซื่อจึงจำเป็นต้องยอมกลับบ้านไปพร้อมสามี บุตรชาย และลูกสะใภ้ของนาง
พวกเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อไปเช่นนี้ ในที่สุดห้าวันต่อมาก็มีข่าวมาว่ารถม้าของแม่ทัพฉู่มาถึงหมู่บ้านแล้ว
เหยาซื่อจึงเตรียมเป็ดไก่อีกครั้ง และคราวนี้ได้พาบุตรสาวกับบุตรเขยไปด้วย ทั้งครอบครัวเดินทางไปที่คฤหาสน์อย่างเอิกเกริก
แต่เมื่อพวกเขามาถึง คราวนี้กลับพบว่ามีรถม้าจอดเรียงกันยาวเหยียดหน้าประตู คหบดีท้องถิ่นและขุนนางที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต่างพากันมาคารวะฉู่เซิ่นเพื่อสร้างความคุ้นเคย
นอกจากนี้พวกบ่าวไพร่ที่ฉู่เซิ่นพามาด้วยก็ส่งเสียงดังจนครึกครื้นไปทั่วคฤหาสน์
ถึงแม้ครั้งนี้ฉู่จิ่นจะได้พบกับฉู่เซิ่น แต่พี่น้องยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็เห็นกลุ่มขุนนางพากันมาทักทายฉู่เซิ่นแล้ว
ฉู่เซิ่นแบ่งเวลาหันมากล่าวทักทายพี่ชายแล้วก็ไม่มีเวลาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีก ตามขุนนางเหล่านั้นไปดื่มชาเสวนากันที่ห้องโถงด้านหน้า
ฉู่จิ่นที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเห็นพวกขุนนางท้องถิ่นแล้วก็หวาดหวั่นสั่นกลัว ไม่กล้าเข้าไปใกล้พวกเขาอีก
ส่วนเหยาซื่อเมื่อสบโอกาสก็รีบจูงลูกสะใภ้และบุตรสาวฉู่หม่านเอ๋อร์ไปทักทายหูซื่อที่เพิ่งลงจากรถม้า
บอกตามตรงแม้หูซื่อจะเป็นคนนิสัยอ่อนโยน แต่นางก็โกรธบ้านใหญ่อยู่เช่นกัน
ตอนนั้นสามีตนถูกลดขั้นไปอยู่ซีเป่ย ทั้งครอบครัวต้องประหยัดกินประหยัดใช้เพื่อเอาเงินไปจ่ายเบี้ยหวัดทหาร แม้จะเป็นเช่นนั้นฉู่เซิ่นยังคิดว่าใกล้ถึงวันคล้ายวันเกิดพี่ชายแล้ว จึงเตรียมของให้ทุกคนที่บ้านใหญ่สกุลฉู่ แต่พอสิ่งของหลายคันรถใหญ่ส่งไปที่บ้านเกิดแล้ว กลับถูกเหยาซื่อกลอกตาใส่และพูดเป็นนัยว่าตอนนี้บ้านรองล่วงเกินฮ่องเต้ อย่าลากบ้านใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด ในเมื่อแยกเรือนกันแล้ว ต่อไปหากไม่ต้องติดต่อกันได้ก็อย่าติดต่อกันจะดีกว่า