ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 92-93
ผู้ดูแลที่ส่งของให้ครอบครัวฉู่จิ่นในตอนนั้นก็ไม่ค่อยเชื่อหูตนเองเช่นกัน จึงถามนายท่านใหญ่สกุลฉู่โดยตรง แต่นายท่านใหญ่สกุลฉู่มอบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตนเองหนึ่งฉบับให้เขาส่งไปให้แม่ทัพฉู่
เมื่อฉู่เซิ่นได้รับจดหมาย แค่อ่านเนื้อหาคราเดียวก็เข้าใจทุกอย่างทันที บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจเหล็ก ในค่ำคืนที่ไม่มีใครอยู่ ถึงกับเดินออกมาจากห้องนอน นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใต้ต้นไม้ในเรือนด้านใน
เขาพลิกกายไปมานอนไม่หลับ หูซื่อย่อมไม่ได้นอนเช่นกัน ด้วยกลัวว่าเขาจะหนาว ตอนที่หยิบผ้าคลุมกันลมมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่แว่วอยู่ในสายลมของสามีพอดี
นางรู้สึกใจสลายเพราะเสียงร้องไห้นั้น แต่ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปหาเขา จึงปล่อยให้เขาระบายความผิดหวังในตัวพี่ชายออกมา
เวลานี้เมื่อเห็นบ้านใหญ่อีกครั้ง หัวใจที่แตกสลายเพราะสามีร้องไห้ในตอนนั้นจึงกลายเป็นเย็นชาขึ้นมา หูซื่อที่ไม่เคยแม้แต่จะโกรธเคืองบ่าวรับใช้ เมื่อเห็นเหยาซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง นางเพียงเรียกผู้ดูแลที่เคยส่งของไปให้ครอบครัวฉู่จิ่นในตอนนั้นมาแล้วสั่งให้เขาทวนคำพูดของเหยาซื่อต่อหน้านางอีกครั้ง
ผู้ดูแลจดจำทุกคำได้อย่างแม่นยำและพูดทุกรายละเอียดออกมาอีกรอบหนึ่ง ทำให้เหยาซื่อรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หูซื่อได้รับคำแนะนำจากโม่เซี่ยวเหนียงแบบตัวต่อตัวมาก่อนว่ากลับมาครั้งนี้บ้านใหญ่ที่เห็นแก่ผลประโยชน์อาจเข้ามาตีสนิทอีก หากใจดีกับพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็คงจะเกาะอยู่ด้วยไม่ยอมไปไหนอีก ตอนนี้บิดาก็เพิ่งหายดี กำลังอยู่ในช่วงบำรุงร่างกายภายใน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับญาติพี่น้องที่ไร้น้ำใจพรรค์นี้ แค่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจจนจากไปเองก็พอ
หูซื่อทำหน้าบึ้งตึง พูดต่อหน้าบ่าวไพร่ว่า “ตอนที่สามีข้าถูกลดขั้นย้ายไปซีเป่ย พวกท่านกลัวว่าท่านพี่ทำให้เบื้องบนไม่พอใจแล้วจะเดือดร้อนไปด้วย ทั้งฝากวาจามาบอกและเขียนจดหมายมาเองว่าอย่าได้ติดต่อกันอีก ตอนนี้พวกเราเพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน พวกท่านก็มาหาทันที ไม่กลัวบ้างหรือว่าจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
แต่ก่อนเหยาซื่อคิดว่าหูซื่อเป็นคนอ่อนแอรังแกง่าย นึกไม่ถึงว่าวันนี้คนที่แสดงอำนาจข่มขู่บ้านใหญ่จะเป็นหูซื่อคนที่พูดคุยด้วยง่ายผู้นี้ นางจึงรับมือไม่ทัน ได้แต่เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
“น้องสะใภ้อย่าถือโทษโกรธเคือง ข้ามองอะไรตื้นเขิน ย่อมคิดผิดไปบ้าง แต่สามีข้าเฝ้าคิดถึงน้องรองของเขาอยู่เสมอและตำหนิข้าไม่ใช่น้อย ช่วงที่ผ่านมานี้เขาก็คิดถึงน้องชายจนป่วยหนัก ต่อมาพอได้ยินว่าน้องรองจะกลับมาเขาถึงอาการดีขึ้น บอกว่าอยากจะมาพบน้องรอง…”
ในเวลานี้เองโม่เซี่ยวเหนียงที่กำลังส่งผ้าคลุมให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเสริม “พวกท่านได้พบท่านพ่อแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาถึง ต้องพบปะผู้คนที่จวนมากมาย ขุนนางใหญ่จากทุกแห่งหนก็เดินทางมาไกล คงไม่ดีหากจะให้พวกเขาท้องว่างกลับไป แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จัดงานเลี้ยงไม่ได้ คงต้องกินอาหารง่ายๆ สักมื้อ ดื่มชาและของว่างสักหน่อย พูดคุยเรื่องการบริหารงานท้องถิ่น เรื่องพวกนี้ท่านลุงคงไม่มีโอกาสได้พูดแทรก หากพวกท่านอยู่ต่อ พวกบ่าวรับใช้ก็ไม่ว่างมาดูแลเช่นกัน อาจทำให้เราถูกตำหนิว่าดูแลญาติไม่ดี ดังนั้นท่านป้าสะใภ้กับคนอื่นๆ กลับไปเสียดีกว่า หากมีเวลาว่างแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้”
นางเอ่ยปากไล่คนตรงๆ เช่นนี้ หากพวกเขายังไม่ไปอีกจะต้องไร้ยางอายเพียงใดกัน
แต่เหยาซื่อรู้สึกเหมือนตนถูกขับไล่โดยคนต่างสกุลสองคน จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “คุณหนูใหญ่ช่างปากเก่งเสียจริง คนสกุลฉู่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกเจ้าก็มาไล่คนก่อนเสียแล้ว!”
ในขณะนั้นเองประทัดสองเปรี้ยง* ของสกุลฉู่ก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นกัน ตอนฉู่เฉียวอีนั่งเรือมักจะอาเจียน ตลอดการเดินทางจึงไม่ราบรื่นนัก พาลทำให้นางอารมณ์ไม่ดี พอเห็นท่านป้าสะใภ้พูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนมโม่เซี่ยวเหนียง นางจึงเป็นคนแรกที่ทนฟังไม่ได้
แม้ว่านางชอบเปรียบเทียบตนเองกับโม่เซี่ยวเหนียง แต่ทั้งครอบครัวก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันหลายปี หูซื่อกับโม่เซี่ยวเหนียงเป็นคนเช่นไรนางย่อมรู้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ท่านลุงทำให้บิดาโมโหจนร้องไห้ หูซื่อได้มาเล่าให้นางกับโม่เซี่ยวเหนียงฟังเป็นการส่วนตัว ทั้งยังกำชับไม่ให้พวกนางพูดถึงบ้านใหญ่ต่อหน้าบิดา บิดาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจ
คุณหนูรองสกุลฉู่ได้ยินคำพูดเหยาซื่อแล้วก็โกรธจัด ถลึงตาอย่างดุดันแล้วโต้ตอบทันที “เซี่ยวเหนียงเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของข้า ท่านอาหูเป็นภรรยาผู้ดูแลบ้าน จะกลายเป็นคนนอกอย่างที่ปากคนนอกกำแพงดินมูลอย่างท่านพูดได้อย่างไร พวกนางอยู่ข้างกายท่านพ่อ ดูแลครอบครัวเรามาโดยตลอด ไม่เคยร้องจะแยกเรือนหรือเอาเปรียบท่านพ่อของข้าเพียงเพราะความยากลำบาก…ท่านป้าสะใภ้ คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มีใครไม่รู้เรื่องไร้สาระพวกนั้นของบ้านใหญ่บ้าง หากไม่มีธุระก็เชิญท่านกลับไปดีกว่า บ้านเราไม่มีลมฤดูสารทให้ครอบครัวท่านมารับ**!”
ตอนนี้ฉู่จิ่นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เพียงแค่ทำหน้าบึ้งตึงตำหนิเหยาซื่อ “ยังไม่รีบไปอีก! ปล่อยให้เด็กมาอบรมสั่งสอนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เฉียนซื่อก็นึกไม่ถึงว่าบ้านรองจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายจนต้องดึงฉู่เฉวียนให้กลับบ้าน
ส่วนฉู่เฉวียนกับฉู่หม่านเอ๋อร์พอเห็นบิดามารดาเสียเปรียบก็โกรธจนอ้าปากเตรียมจะโต้กลับ แต่ถูกองครักษ์ร่างกำยำหลายคนที่เดินเข้ามาปิดปากแล้วลากตัวออกไปข้างนอก
หูซื่อเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงหันไปถามโม่เซี่ยวเหนียง “ทะ…ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน ลากออกไปเช่นนี้จะดีหรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงยิ้มพร้อมกับประคองมารดา จงใจพูดเสียงดังให้เหยาซื่อที่ทำตัวเกรี้ยวกราดได้ยิน “เพราะเห็นว่าเป็นญาติจึงไม่ให้โบยพวกเขา ตอนนี้ข้าเป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง จะปล่อยให้ชาวบ้านมาด่าทอได้อย่างไร ถึงตอนนั้นข้าจะโบยหรือไม่โบยดีเล่า หากโบยก็เท่ากับทำลายความสัมพันธ์อันดีในหมู่ญาติ หากไม่โบยก็เท่ากับทำตำแหน่งที่ฝ่าบาทพระราชทานต้องมัวหมอง ดังนั้นปิดปากพวกเขาไว้ตั้งแต่ต้นจะดีกว่าเจ้าค่ะ…”
เหยาซื่อได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยในใจว่า เหตุใดลูกเลี้ยงอย่างเซี่ยวเหนียงถึงได้รับถูกแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ก.ค. 68
Comments
