แม้รู้ว่าฉู่เฉียวอีไม่ชอบฟัง แต่เห็นแก่บิดาเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงจึงต้องอธิบายอย่างชัดเจน “ตอนนั้นที่เจ้าตั้งครรภ์ เยวี่ยซื่อก็ไปสร้างปัญหาให้บ้านสามีเจ้าพักใหญ่ แม้นางเป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าและหวังดีต่อเจ้าอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตในชนบทมานาน ความคิดหลายอย่างอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เจ้าเป็นคุณหนูในห้องหอที่เคยเข้าสำนักศึกษาสตรีมา ตอนนี้อยู่ในสกุลซั่นก็เป็นตระกูลบัณฑิตแห่งยุค เจ้าลองคิดดูให้ดีว่าบิดามารดาสามีเจ้าประพฤติตนและจัดการเรื่องราวอย่างไร เทียบกันแล้วอยู่บนเส้นทางเดียวกับมารดาเจ้าหรือไม่ การไปเยี่ยมมารดาเจ้าเพื่อแสดงความกตัญญูใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากฟังคำพูดของมารดาเจ้า กลับมาแล้วทะเลาะกับสามี ข้าคิดว่าการเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวงของเจ้าก็คงเสียเปล่าแล้ว มิสู้กลับมาเลี้ยงหมูอยู่ที่บ้านนอก ด่าทอพวกสตรีที่ขัดตาสองสามคนผ่านกำแพงเรือนทุกวันให้สาแก่ใจยังจะดีกว่า…”
คำพูดนี้จี้ใจดำฉู่เฉียวอีอย่างยิ่ง ถึงแม้นางจะหูเบาเพียงใด แต่ก็ฟังเข้าใจว่าความจริงแล้วหากคิดให้ดี ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ามารดาชอบคิดอะไรตื้นเขิน มิฉะนั้นก็คงไม่ทอดทิ้งบิดาไปเช่นนั้น และไปแต่งงานใหม่กับชายชราเจ้าของที่ดินในหมู่บ้าน
ดังนั้นพอนึกว่าตนฟังคำมารดาแล้วจะไปอาละวาด ทำให้ทะเลาะกับบิดามารดาสามีจนเกิดรอยร้าว ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะบิดาเลื่อนขั้น เกรงว่าสามีนางคงจะเห็นด้วยกับความตั้งใจของมารดาเขา รับอนุเข้ามาแล้ว
แม้โม่เซี่ยวเหนียงจะพูดอย่างไม่ไว้หน้า แต่เพราะพูดจี้ปมในใจของฉู่เฉียวอี อีกฝ่ายจึงเถียงกลับได้ยาก
ฉู่เฉียวอีฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะปรึกษาโม่เซี่ยวเหนียงอย่างลังเล “แต่ว่ามารดาข้าส่งจดหมายมาบอกว่าให้ข้าพาสามีกลับไปเยี่ยมนาง นางจะได้มีหน้ามีตาบ้าง…จะไม่ไปพบมารดาก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “หากเจ้ายอมฟังข้าก็บอกนางว่าเจ้าต้องอยู่ดูแลครรภ์ จะส่งของกับเงินไปให้แทนก็ได้ นางอยู่ในครอบครัวคนสกุลวัง เงินทองคงไม่พอใช้ หากเจ้าส่งเงินไปจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าเจ้าไปเองเสียอีก ส่วนการพาน้องเขยซั่นไปนั้น…เจ้าอย่าพาไปจะดีกว่า สามีเจ้ากับมารดาเจ้าไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว ไยต้องพาไปให้เกิดปัญหาด้วยเล่า”
ฉู่เฉียวอีที่เคยสูญเสียบุตรมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็กังวลกับครรภ์ของตนเช่นกัน นานๆ ทีจะฟังคำพูดของโม่เซี่ยวเหนียงอย่างว่าง่าย จึงไปจัดการให้คนส่งเงินไปให้สกุลเยวี่ยแทน
แม้ฉู่เฉียวอีจะออกไปจากคฤหาสน์ไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความคิดที่จะกลับบ้านอย่างมีเกียรติของนาง
หลังจากนั้นบรรดาคุณหนูจากสำนักศึกษาสตรีในตอนนั้นล้วนได้รับเทียบเชิญมาเที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจที่คฤหาสน์ริมทะเลสาบ
แต่เหล่าสหายร่วมเรียนในตอนนั้น เวลานี้แต่งงานมีบุตรกันหมดแล้ว ไม่ใช่เด็กสาววัยแรกแย้มที่หัวเราะเล่นกันเหมือนเมื่อก่อน แต่พอนึกถึงเรื่องสนุกสนานที่เคยร่ำเรียนด้วยกันในตอนนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างเพลิดเพลิน
เหล่าสหายร่วมเรียนมารวมตัวกัน แต่กลับขาดคุณหนูเซิ่งเหยียนเสวี่ยจากสกุลเซิ่งไปเพียงคนเดียว
ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็รู้สาเหตุที่นางไม่มา คงเพราะสกุลเซิ่งกับสกุลฉู่ยกเลิกการหมั้นหมาย การพบกันอีกครั้งคงน่าอึดอัด ทุกคนรู้ดีแก่ใจจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้
ฉู่เฉียวอีสงสัยใคร่รู้ จึงฉวยโอกาสตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าถามความเป็นไปของเซิ่งเซวียนในช่วงนี้จากสหายที่สนิทสนมกัน
คุณหนูคนหนึ่งเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “คุณชายเซิ่งรูปงามดุจพานอัน และมากความสามารถ อยู่ที่นี่นับว่าเป็นคนที่สูงส่งและมีคุณธรรมดีงาม ภายหลังเขาไปเมืองหลวง หมั้นหมายกับพี่สาวเจ้า ทุกคนยังพูดกันว่าคราวนี้เขามีอนาคตไกลไร้ที่สิ้นสุดแน่ นึกไม่ถึงว่าตอนเขากลับมาไม่เพียงสอบไม่ผ่าน แต่ยังพาอนุที่ชื่อปี้หวนกลับมาด้วย พวกเราถึงได้รู้ว่าเขายกเลิกการหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ฉู่แล้ว”
ฉู่เฉียวอีฟังแล้วหัวเราะเยาะ “คนอย่างคุณชายเซิ่ง พี่สาวของข้าไม่อาจเอื้อม เป็นคุณชายดีๆ กลับไม่แต่งภรรยา ทว่ารับอนุก่อน ช่างเป็นคนที่ภายนอกงดงาม แต่ภายในเละเทะสิ้นดี…”
อันที่จริงจะว่าไปแล้วคุณหนูพวกนี้ต่างรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉู่อายุยี่สิบสามปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานสักที อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่ามีการหมั้นหมายกับใครหรือไม่ พวกนางจึงคอยเอาใจใส่เรื่องนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถามเท่านั้น
ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงไม่อยู่ มีคนระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหว จึงถามฉู่เฉียวอีว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ได้หมั้นหมายกับใครแล้วหรือยัง
ทุกวันนี้ฉู่เฉียวอีที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้ขัดเกลาตนเองเสียเปล่า นางไม่ใช่เด็กสาวที่โอ้อวดอาภรณ์และเครื่องประดับอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้คิดจะโอ้อวดอยู่บ้าง แต่ก็แสร้งทำเป็นเล่าถึงอย่างเรียบง่าย ประคองถ้วยชาไปพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจไปพลาง