“ท่านพ่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ข้าแต่งงานเร็วจึงไม่ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท แต่พี่สาวกลับได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง ฝ่าบาทตรัสกับท่านพ่อว่าไม่ควรรีบร้อนให้พี่สาวแต่งงาน สุดท้ายฝ่าบาทก็ทรงมีพระราชโองการพระราชทานการสมรสแก่ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง ให้พี่สาวแต่งงานกับจวิ้นอ๋อง”
คำพูดที่เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นี้ทำให้บรรดาคุณหนูที่นั่งอยู่พากันร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น ต่างพากันกล่าวว่าฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่ช่างวาสนาดีโดยแท้ ถึงกับได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ อีกทั้งคนที่แต่งงานด้วยยังเป็นชนชั้นสูงสกุลฮั่ว คู่ครองที่ดีเช่นนี้หากให้พวกนางรอไปจนถึงอายุยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปีก็เต็มใจเช่นกัน
ระหว่างนั้นก็มีคนถามขึ้นว่าฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นใคร แต่ฉู่เฉียวอีกลับไม่ตอบคำถาม เปลี่ยนเรื่องอย่างสงบเยือกเย็น
ในสายตาคุณหนูรองสกุลฉู่ แค่โอ้อวดให้พอเหมาะพอควรก็พอ ไม่จำเป็นต้องมากเกินไปนัก เพราะหากใครฟังออกว่าที่จริงแล้วจวิ้นอ๋องสกุลฮั่วผู้นั้นคือฉู่สุยเฟิงที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านพวกนางก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นการจับคู่กันเองจากภายใน ทำให้ไม่อาจสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของสมรสพระราชทานจากราชวงศ์ได้
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเฉียวอีเล่าให้ฟังในภายหลังย่อมเข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี เพียงแค่จิ้มหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น
“ดูเจ้าทำเข้า ต่อไปอย่าพูดถึงสกุลเซิ่งอีก ในเมื่อถอนหมั้นกันไปแล้ว ใครจะแต่งงานกับใครก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หลังจากโม่เซี่ยวเหนียงพูดกับฉู่เฉียวอีได้ไม่นาน นางก็บังเอิญได้พบเซิ่งเซวียนที่ไม่ได้พบกันหลายปี
วันนั้นโม่เซี่ยวเหนียงออกจากจวนไปเลือกสถานที่ตั้งศาลบรรพชน หมอดูภูมิลักษณ์ที่จ้างมาด้วยเงินก้อนโตได้ตรวจสอบแล้วว่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้านนั้นดีที่สุด พลังหยางขึ้นสูง ไม่มีบ้านเรือนหรือไร่นาขวางอยู่ด้านหลัง เหมาะสมอย่างยิ่งในการกดทับพลังหยินของศาลบรรพชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
ฉู่เซิ่นใช้ไม้เท้าค้ำเดินวนดูกับหมอดูภูมิลักษณ์รอบหนึ่งแล้วก็หมดแรง จึงกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ก่อน ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงก็นั่งพักอยู่ในศาลา เฝ้าดูช่างตอกเสา รอตรวจสอบว่าพื้นที่นี้เหมาะสมที่จะวางรากฐานหรือไม่
ในขณะนั้นเองนางก็บังเอิญเหลือบตาขึ้นมาเห็นบุรุษรูปร่างสูงผอมคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงบนเนินเขา กำลังมองมาที่นางอย่างตกตะลึง
ชั่วขณะที่มองกลับไปนั้น โม่เซี่ยวเหนียงแทบจำเขาไม่ได้ บุรุษที่เคยผอมบางและสง่างามในความทรงจำ บัดนี้กลับกลายเป็นผู้มีแววตาลึกซึ้งและมีรอยประทับลึกตรงหว่างคิ้ว
แต่สายตาที่มองอย่างจดจ่อนั้นยังคงเป็นสายตาเดียวกับตอนที่เขาเคยมองนางอย่างขวยเขินในห้องเรียน
เพียงแต่ในตอนนั้นช่างหอมหวาน ทว่าตอนนี้กลับถูกทิ้งไว้นานจนขึ้นราและกินไม่ได้แล้ว
โม่เซี่ยวเหนียงหันหน้าหนีไปอย่างเงียบๆ ไม่มองเขาอีก
แต่เขาก็ไม่ยอมไปไหน จนกระทั่งโม่เซี่ยวเหนียงลุกขึ้นเตรียมจะขึ้นเกี้ยว เขาถึงเดินเข้ามา ทว่าถูกองครักษ์ขวางไว้จึงเข้ามาใกล้ไม่ได้
เขาพูดอย่างเร่งรีบว่า “คุณหนูใหญ่ฉู่ ขอพูดคุยด้วยสักหน่อยได้หรือไม่”
หานเยียนที่อยู่ข้างๆ โม่เซี่ยวเหนียงกล่าวเสียงเย็นว่า “คุณหนูของบ่าวตอนนี้ได้รับพระราชทานตำแหน่งฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่จากฝ่าบาทแล้ว ท่านควรเคารพตำแหน่งคุณหนูของบ่าวด้วย”
เซิ่งเซวียนเห็นโม่เซี่ยวเหนียงเข้าไปนั่งในเกี้ยวโดยไม่ลังเลก็ยิ่งร้อนรน รีบพูดอีกว่า “ตอนนั้นข้าอ่อนประสบการณ์ ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับเจ้าด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาโดยไม่ได้พูดคำสุดท้ายด้วยซ้ำ เจ้า…คงยังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่ อีกทั้งข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกยกให้แต่งกับสุยเฟิง…นี่…นี่ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย…ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน…”
ในสายตาของเซิ่งเซวียน ฮั่วสุยเฟิงเป็นแค่เด็กน้อยที่เคยร่วมศึกษาเล่าเรียนในห้องเดียวกับเขา แล้วสุดท้ายเหตุใดโม่เซี่ยวเหนียงถึงถูกยกให้แต่งกับฝ่ายนั้นได้
หรือว่าเป็นเพราะเขาทำให้นางเสียเวลาจนแต่งไม่ออก ฮั่วสุยเฟิงถึงได้แต่งกับพี่สาวสกุลฉู่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เมื่อคิดถึงตรงนี้เซิ่งเซวียนก็รู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจบรรยาย
แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับไม่อยากฟังคำพูดของเขา เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ในเมื่อเราได้ถอนสัญญาหมั้นหมายกันไปแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก คุณชายเซิ่งเองก็รับปี้หวนเป็นภรรยาแล้ว ได้ทำตามความปรารถนาในตอนแรกที่ต้องการรับผิดชอบจนถึงที่สุด ดูแลนางตลอดชีวิต ส่วนเรื่องการแต่งงานของข้า มีฝ่าบาทและบิดาข้าเป็นผู้ตัดสินใจ คุณชายเซิ่งไม่ต้องเป็นกังวล นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านทั้งสิ้น”
นางพูดจบแล้วก็สั่งให้คนแบกเกี้ยวจากไปโดยไว