พอปี้หวนพูดซ้ำๆ จนหมดความน่าสนใจ เสียงก็เริ่มแหบแห้ง โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดขึ้นว่า “ขอถามสักคราว่าเจ้าชื่ออะไร และสามีของเจ้าคือใคร”
คำพูดนี้สะท้อนกลับไปเหมือนตบหน้าปี้หวนสองฉาด นี่เป็นการบอกปี้หวนตรงๆ ว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่รู้จักนาง นางมาร้องไห้ด้วยเรื่องอันใดกัน
แต่ปี้หวนไม่ใช่คนธรรมดา สีหน้านางไม่เผยความลำบากใจแม้แต่น้อย เพียงเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “เซี่ยนจู่คงจะเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีนิสัยหลงลืม ข้าคือปี้หวนอนุภรรยาของคุณชายเซิ่งเซวียน ครั้งนั้นข้ายังเคยคุกเข่าขอร้องให้ท่านช่วยเมตตาให้ข้าได้สมหวังกับคุณชายเซิ่ง ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ”
โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง…ไม่พบกันหลายปี เจ้าดูแก่ชราลงมากจนข้าจำไม่ได้…”
สามีหนุ่มปากร้ายผู้นั้นที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่นางพูดเรื่องรอยย่นแทงใจดำนางหลายครั้ง ทำให้นางได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าจุดตายของสตรีอยู่ตรงที่ใด
นางจึงหัดเอามาใช้บ้าง ถือโอกาสแทงมีดใส่สตรีตรงหน้าผู้นี้
นอกจากนี้ยังเป็นการบอกเป็นนัยกับคนรอบข้างด้วยว่าแม้นางจะเกี่ยวข้องกับเซิ่งเซวียนและสตรีผู้นี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สตรีผู้นี้มาร้องไห้กับนางช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
ทันทีที่โม่เซี่ยวเหนียงพูดออกไป ฮูหยินที่อยู่โดยรอบก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
สีหน้าที่นิ่งสงบของปี้หวนพลันเปลี่ยนไป นางกัดฟัน สูดหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนอย่างเซี่ยนจู่ อีกทั้งต้องคอยรับใช้สามีที่ร่ำเรียนทั้งกลางวันกลางคืน และต้องคอยดูแลมารดาสามี ย่อมดูแก่ชราลงเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้ข้าต้องพึ่งพาสามีที่หวังว่าจะประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่ง หวังว่าเซี่ยนจู่จะเมตตาละเว้นสามีของข้า อย่าทำให้สามีของข้าให้ไขว้เขวอีก หลายวันก่อนหลังจากพบท่าน เขากลับมาแล้วก็ไม่กินไม่ดื่ม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงต้องตายแน่…เซี่ยนจู่ ได้โปรดช่วยพูดให้เขากินอะไรสักหน่อยเถิด…”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นความจริงทุกคำ ชวนให้คนฟังคิดไปไกล
หานเยียนที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็โมโห จึงพูดเสียงดังว่า “หลายวันก่อนเห็นได้ชัดว่าเซี่ยนจู่ของเราตามท่านแม่ทัพไปตรวจเลือกที่ตั้งศาลบรรพชน แต่กลับเป็นคุณชายของเจ้าที่วิ่งมาอย่างกระวนกระวายขอร้องให้ได้พูดกับเซี่ยนจู่ของเรา ตอนนั้นเซี่ยนจู่ขึ้นเกี้ยวไปแล้ว ไม่ได้สนใจจะพูดอะไรกับเขา เขาจะกินหรือไม่กิน จะตายหรือไม่ตาย เกี่ยวอะไรกับเซี่ยนจู่ของเราด้วยเล่า เจ้าไม่ไปขอร้องหมอ แต่กลับมาขอร้องเซี่ยนจู่ของเรา คิดจะทำให้เซี่ยนจู่เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
แต่ปี้หวนกลับร้องไห้น้ำตานองหน้า “ข้าหรือจะกล้าทำให้เซี่ยนจู่เสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าเพียงขอร้องให้เซี่ยนจู่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตที่มีกับสามีข้า ช่วยพูดกับเขาสักหน่อย ท่านจะทนดูสามีของข้าหดหู่ซึมเซาจนตายไปเช่นนี้ได้หรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเล่าเรียนมาน้อย และเป็นคนที่เห็นแต่ความผิดของผู้อื่นเสมอ เรื่องบางเรื่องข้าคงอธิบายให้เจ้าฟังไม่เข้าใจ เมื่อครู่ข้าได้ส่งคนไปตามมารดาสามีของเจ้ามาแล้ว เอาไว้นางมาแล้วข้าจะพูดคุยกับนางเอง”
เมื่อปี้หวนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ที่นางมาวันนี้ตั้งใจจะมาก่อกวนให้โม่เซี่ยวเหนียงโกรธ เรียกได้ว่ามีเจตนาแอบแฝง
ในตอนนั้นนางวางแผนกดดันให้เซิ่งเซวียนแต่งนางเป็นภรรยา แต่เซิ่งเซวียนกลับยอมพุ่งชนเสาให้ตายดีกว่าจะแต่งกับนาง
ภายหลังเซิ่งฮูหยินมารดาของเซิ่งเซวียนกลัวว่าปี้หวนจะเปิดเผยเรื่องที่เซิ่งเซวียนมีความสัมพันธ์กับสาวใช้ในช่วงไว้ทุกข์ จึงตัดสินใจให้นางเตรียมตัวเข้าพิธีและยกเข้าเรือนเป็นอนุของบุตรชาย
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเซิ่งเซวียนไม่ยอมพูดกับนางแม้แต่คำเดียวและไม่นอนร่วมห้องด้วย อีกทั้งเซิ่งฮูหยินมารดาสามีก็ไม่ชอบใจนางหลายอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีตั๋วเงินที่ซื่อจื่อให้มาเป็นรางวัลและกุมจุดอ่อนของเซิ่งเซวียนไว้ นอกจากนี้ท่านน้าของนางซึ่งเป็นอันธพาลที่ทำได้ทุกอย่างก็คอยข่มขู่เซิ่งฮูหยินอยู่ มิฉะนั้นนางคงถูกเซิ่งฮูหยินเล่นงานไปแล้ว
แต่ช่วงเวลาของสตรีก็มีเพียงเท่านี้ ความรักที่นางมีต่อเซิ่งเซวียนจืดจางไปหมดแล้วในหลายปีมานี้ที่อยู่ร่วมกันอย่างเย็นชา นางเสียใจที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ตนเองดื้อรั้นอยากแต่งกับเขา
ในใจของหนอนหนังสือผู้นั้นมีสตรีเพียงหนึ่งเดียว หลังจากสูญเสียนางไปเขาก็จ่มจอมกับความหลังจนเสียสติ และเงินที่ปี้หวนมีก็แทบไม่เหลือแล้วเพราะท่านน้าติดพนัน ตอนนี้อยากจะไปไหนก็ไปไม่ได้