ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 96-97
หลังจากกลับถึงจวน โม่เซี่ยวเหนียงก็ไปพบฉู่เซิ่น พร้อมเตือนบิดาเลี้ยงว่าแม้ตอนนี้เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่จวนก็ต้องระวังทิศทางการเมืองในราชสำนักด้วย
นอกจากนี้นางยังถามเขาอย่างอ้อมๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสกุลเซียวเป็นเช่นไร
ฉู่เซิ่นเห็นว่าที่บุตรสาวคนโตมาพูดคุยกับเขาอย่างจริงจังเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน หลายครั้งที่ตนเสี่ยงอันตราย แต่ล้วนเป็นเพราะสายตายาวไกลของลูกเลี้ยงผู้นี้ เขาจึงนำหน้าผู้อื่นไปหนึ่งก้าว ดังนั้นเขาไม่กล้าพูดอย่างไม่ใส่ใจว่าโม่เซี่ยวเหนียงวิตกกังวลเกินเหตุ
เมื่ออยู่ในชนบท การเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเป็นเช่นไรย่อมถูกปิดกั้นอยู่บ้าง ตอนนี้ราชสำนักมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ข่าวก็ส่งมาไม่ถึงหูเขาเช่นกัน
โม่เซี่ยวเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับฉู่เซิ่นว่า “ตอนนี้ที่ดินสำหรับสร้างศาลบรรพชนเลือกไว้เสร็จแล้ว หากท่านพ่อไม่มีธุระอะไรจะกลับไปยังเมืองหลวงก่อนก็ได้ แต่ต้องจำไว้ให้ดีว่าถึงแม้ท่านจะได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ แต่อำนาจสวรรค์ยากจะคาดเดา ทุกอย่างล้วนต้องระมัดระวัง…”
ฉู่เซิ่นย่อมบอกโม่เซี่ยวเหนียงว่าไม่ต้องกังวล และเขาจะรีบเดินทางกลับเมืองหลวงก่อน
ในวันรุ่งขึ้น โม่เซี่ยวเหนียงได้เรียกช่างฝีมือมา จากนั้นก็มีการปรับลดขนาดและงบค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลบรรพชนลงไปมาก
ขณะเดียวกันก็ยังเรียกหัวหน้าคนงานที่ดูแลคฤหาสน์มาและเขียนจดหมายถึงหลงจู๊ร้านค้าในที่ต่างๆ เพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายในบัญชีช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พร้อมกับสั่งว่าหากใครก่อปัญหาให้แจ้งนางทันที นอกจากนี้ยังย้ำเตือนพวกเขาด้วยว่าไม่ให้อ้างกิจการของท่านแม่ทัพไปโอ้อวดบารมีกับชาวบ้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามยอมเสียเปรียบดีกว่าจะให้เกิดปัญหา หากกล้าอ้างชื่อท่านแม่ทัพไปกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน แม้ไม่ถูกลงโทษด้วยกฎหมายก็จะถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูลอย่างแน่นอน
ฉู่เฉียวอีเห็นว่าในแต่ละวันมีจดหมายส่งมาไม่หยุด และมีหลงจู๊ของร้านค้ามารายงานไม่ขาดสาย นางก็รู้สึกว่าทนดูไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อก็ไม่อยู่ แล้วเจ้าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ไปเพื่ออันใด”
ตอนนี้กิจการของสกุลฉู่ใหญ่โตยิ่ง โม่เซี่ยวเหนียงทำงานยุ่งจนแทบไม่ได้เงยหน้าลืมตา พอได้ยินคำพูดแดกดันของฉู่เฉียวอีก็เพียงแต่ใช้พู่กันชี้ไปที่หน้าประตู
ฉู่เฉียวอีเบิกตากว้างร้องถาม “จะทำอะไร จะไล่ข้าออกไปหรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยขึ้น “หากเจ้ามีเวลามาคุยเล่นก็ไปหาท่านอาหูของเจ้าเถิด ตอนนี้ข้ายุ่งจนหน้าแทบไม่ได้เงย คนเดินขวักไขว่ไปมา ระวังจะชนเจ้ากับเด็กในครรภ์ ถึงตอนนั้นจะให้ข้าชดใช้ก็ชดใช้ไม่ไหว”
ฉู่เฉียวอีโมโห จึงสะบัดผ้าเช็ดหน้า “เจ้าอวดดีไปเถิด อวดดีอยู่ที่สกุลฉู่เราได้อีกไม่กี่วันแล้ว เมื่อไปโม่เป่ยเจ้าก็คอยดูเถิดว่าสุยเฟิงเด็กนั่นจะยอมให้เจ้าจัดการงานในจวนหรือไม่!”
ฉู่เฉียวอีเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย คิดแค้นเรื่องฮั่วสุยเฟิงมาตั้งแต่เล็กจนโต ในสายตาคุณหนูรองสกุลฉู่ ฮั่วสุยเฟิงไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งใคร คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ บางครั้งก็ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของบิดานาง มีความคิดชัดเจนและมีหลักการเป็นของตนเอง นางไม่เคยเห็นเขาเกรงกลัวใคร แม้แต่โม่เซี่ยวเหนียงที่วางตัวสง่าผ่าเผยจนเป็นนิสัย บางครั้งก็ยังถูกเขายั่วโมโหจนเต้นเร่าๆ
และโม่เซี่ยวเหนียงก็เป็นคนที่มีนิสัยชอบควบคุมผู้อื่น ไม่รู้ว่าเมื่อแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิงแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยผู้นั้นจะยอมให้นางควบคุมหรือไม่!
น่าเสียดายที่ในสายตาโม่เซี่ยวเหนียง ผู้ที่ทำให้นางทุ่มเทแรงใจถึงเพียงนี้ได้ นอกจากหูซื่อผู้เป็นมารดาแล้วก็มีเพียงฉู่เซิ่นผู้เป็นบิดาเลี้ยงเท่านั้น
อู๋เซี่ยวเซี่ยวจำได้ว่าเจิงฝานอดีตสามีเคยวิจารณ์ว่านางเป็นสาวสวยผู้เย็นชาและต้องใช้เวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์ บางครั้งนึกว่าละลายความเย็นชาของนางได้แล้ว แต่พอเอื้อมมือแตะกลับยังคงเย็นเฉียบ ทำให้ไม่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
ตอนนั้นอู๋เซี่ยวเซี่ยวนึกว่าเขาพูดเล่น จึงไม่ได้โต้แย้งอะไร แต่ในใจนางยอมรับว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง
ในด้านความรักนางเป็นคนที่รอให้คนอื่นเข้าหา อีกทั้งความรู้สึกก็ช้าจริงๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนที่ไม่รู้สึกอะไรกับความเอาใจใส่ของคนอื่น แต่ความอบอุ่นของนางซุกซ่อนอยู่ลึกในใจเสมอมา แสดงออกทางคำพูดไม่เป็น ทำเป็นเพียงใช้การกระทำปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยอย่างเงียบๆ
ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นเจิงฝานที่มักจะพร่ำบ่นว่านางเย็นชาและทำให้คนอื่นรู้สึกถึงระยะห่างจึงถูกนางปั้นและสนับสนุนด้วยมือตนเองจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีผู้ติดตามมากมาย
แต่น่าเสียดายที่บางครั้งการทุ่มเทให้อย่างสุดตัวก็สู้ผู้หญิงที่แสดงความอ่อนแอและพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลไม่ได้ สุดท้ายเจิงฝานก็ยังทรยศความจริงใจของนางและเหยียบย่ำความรักของนาง
ความรักไม่ได้น่าเชื่อถือถึงเพียงนั้น เจิงฝานเป็นเช่นนั้น เซิ่งเซวียนก็เช่นกัน
แต่ความรักของคนในครอบครัวไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ไม่ว่านางจะเป็นอู๋เซี่ยวเซี่ยวหรือโม่เซี่ยวเหนียง พ่อและบิดาเลี้ยงทั้งสองชาติล้วนรักและดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดายที่ในยุคปัจจุบันนางนึกว่าพ่อของนางจะแข็งแกร่งเช่นนั้นตลอดไป ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าธุรกิจของเขาตกอยู่ในความยากลำบากจนทำให้เขาโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วยเหลือ เขายังทำตัวเป็นซูเปอร์แมนที่รบไม่เคยแพ้และแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้านาง แต่กลับจากไปอย่างกะทันหันภายใต้แรงกดดันและความวิตกกังวล
นี่คือความเสียใจมากที่สุดของอู๋เซี่ยวเซี่ยว และตอนนี้นางได้มาเกิดใหม่ในยุคโบราณนี้ สวรรค์มอบพ่อให้นางอีกครั้ง แม้ไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่เขาก็มอบความรักของพ่อให้นางอย่างไม่ด้อยไปกว่ากัน
โม่เซี่ยวเหนียงหวังว่าครั้งนี้นางจะไม่มีสิ่งใดมารบกวนใจ สามารถปกป้องบิดาเลี้ยงผู้นี้ให้ปลอดภัยได้
การแต่งงานในภายภาคหน้าระหว่างนางกับจวิ้นอ๋องน้อยจะเป็นเช่นไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางกังวลเป็นอันดับหนึ่งในใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้เรียนรู้ความไม่น่าเชื่อถือของความรักมาอย่างเต็มที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางกับเด็กแสบฮั่วสุยเฟิงนั่นไม่ได้มีความรักให้พูดถึงแม้แต่น้อยอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ความผูกพันในครอบครัวที่ทะเลาะกันและเติบโตมาด้วยกันเท่านั้นเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ในวันข้างหน้าฮั่วสุยเฟิงจะรังเกียจที่นางแก่ชราและทำไม่ดีต่อนาง นางก็ไม่มีทางไม่พอใจและกังวล แค่ลาจากกันด้วยดี ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปก็พอ
และถ้าฮั่วสุยเฟิงไม่ยอมให้นางจัดการดูแลจวน…นั่นก็ยอดเยี่ยมไม่น้อย! พึงรู้ว่าตอนแรกนางเองก็วางแผนว่าจะใช้ชีวิตในยุคโบราณนี้เหมือนมาเที่ยวพักผ่อนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ที่เหน็ดเหนื่อยราวกับโปรแกรมเมอร์ซึ่งทำงานหนักจนเกือบตายเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะได้ความรักดุจดั่งขุนเขาของบิดาเลี้ยงช่วยประคองไว้ หากวันหน้าแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิงแล้วต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ นางจะประท้วงไม่ยอมทำงานแน่นอน
เขาย่อมมีหญิงงามรอบกายมากมาย และเส้นเรื่องที่จะดำเนินต่อไปในวันหน้ายังมีเทพพยากรณ์จูเก่อ หญิงมาออกโรง ช่วยให้เขารวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้สำเร็จอีก แล้วมือสมัครเล่นอย่างนางจะมีปัญญาไปแย่งบทได้อย่างไร
Comments
