ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 96-97
บทที่ 97
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าการโต้เถียงในท้องพระโรงวันนั้นดุเดือดอย่างยิ่ง
ตลอดชีวิตของฉู่เซิ่นใช้ดาบมากใช้ปากน้อย โชคดีก่อนที่เขาจะไป ลูกเลี้ยงที่จวนได้ช่วยซักซ้อมพูดคำให้การกับเขาอย่างเรียบร้อย กระทั่งเขียนบทให้เขาอย่างมีลำดับขั้นตอนชัดเจนด้วย
เขาเริ่มต้นด้วยการโต้แย้งเรื่องที่ลูกเลี้ยงทำร้ายอนุของผู้อื่น เพียงกล่าวว่าเรื่องนี้ได้รายงานไปยังที่ว่าการท้องถิ่นแล้ว มีพยานและหลักฐานครบถ้วน อนุผู้นั้นมิได้ตั้งครรภ์ ทว่ามัดถุงเลือดไว้เพื่อข่มขู่ผู้อื่น
อีกทั้งเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ถึงครึ่งเดือน เขาเองก็เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง เหตุใดถึงมีคนรายงานเรื่องนี้แล้ว ต่อให้เขียนรายงานก็ต้องเรียบเรียงถ้อยคำสักคืน! ดูเหมือนว่าคนที่บงการวางแผนจะรีบร้อนจนทนไม่ไหว ไม่รอจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดก็คิดจะใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น พยายามทำให้สกุลฉู่เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยเรื่องจริงปนเรื่องเท็จ
คงจะนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเมืองหลวงเร็วผิดคาด ฝ่ายนั้นมีเจตนาอันใดกันแน่
ฉู่เซิ่นเป็นแม่ทัพ จ้องตาเขม็งเค้นถามขุนนางที่เขียนรายงานด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
ขุนนางทัดทานที่ถูกผลักไปเป็นทัพหน้ายังด้านหน้าท้องพระโรงก็ไม่ยอมแพ้ รีบซักถามเรื่องที่คุณธรรมประจำตนของฉู่เซิ่นเสื่อมเสีย แต่งนักแสดงงิ้วเป็นภรรยา ส่วนบุตรนอกสมรสของภรรยาต่ำต้อยก็ได้รับพระเมตตา ทั้งยังขุดเรื่องที่ฉู่เซิ่นร่ำรวยแล้วอ้างว่าขอแยกเรือนเพื่อที่จะไม่แสดงความกตัญญูต่อพี่ชายด้วย
สมัยก่อนฉู่เซิ่นไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับพวกขุนนางบุ๋นมากนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจขุนนางบุ๋นพวกนี้ที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ ทว่ากลับชอบอยู่ที่เรือนเค้นสมองขบคิดว่าจะขุดคุ้ยเรื่องเสียหายของผู้อื่นเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เขารู้สึกชื่นชมความสามารถในการทำให้ชื่อเสียงของผู้อื่นเสียหายของคนพวกนี้อย่างไร้ข้อกังขา
แต่คนที่เขาชื่นชมเลื่อมใสยิ่งกว่าคือโม่เซี่ยวเหนียงลูกเลี้ยงของตน ก่อนออกเดินทางโม่เซี่ยวเหนียงส่งร่างหนังสือที่เตรียมไว้หนาพอๆ กับสมุดบัญชีให้เขา เขาเองยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเซี่ยวเหนียงตื่นตูมกับเรื่องเล็กน้อย ถึงกับเรียบเรียงเรื่องในหลายปีมานี้ที่สกุลฉู่อาจถูกผู้อื่นตำหนิอย่างละเอียด ควรจะโต้แย้งและตอบคำถามอย่างไรล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจนหมด
เนื่องจากกลัวว่าบิดาเลี้ยงจะไม่อ่าน โม่เซี่ยวเหนียงยังบอกเขาในสภาพที่ดวงตานางเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยด้วยว่าสิ่งเหล่านี้นางใช้เวลาเขียนถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน หากเขาไม่อ่านก็คงทำให้ความตั้งใจของนางต้องเสียเปล่าแล้ว
ดังนั้นฉู่เซิ่นจึงอ่านร่างหนังสือนั้นมาตลอดทาง เมื่อได้ยินขุนนางทัดทานโจมตีเรื่องภรรยารักของตนก็โต้กลับอย่างไม่ลังเลทันที
‘หูซื่อผู้เป็นภรรยาเคยเป็นนักแสดงงิ้ว กระหม่อมได้ทูลฝ่าบาทอย่างชัดเจนไปเรียบร้อยแล้ว มิกล้าปิดบังฝ่าบาทแต่อย่างใด ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ส่วนตอนแยกเรือนกับพี่ชาย ตอนนั้นกระหม่อมยังเป็นคนบ้านนอกไร้ชื่อเสียง ทรัพย์สินที่หาได้มาหลายปีก็ยกให้ครอบครัวพี่ชายทั้งหมด มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของที่บ้านก็ได้รับแบ่งมาเพียงเรือนเก่าทรุดโทรมหลังหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อเป็นขุนนางแล้ว แม้งานยุ่งจนไม่ได้กลับบ้านเกิด แต่ของขวัญและเงินทองก็ส่งไปให้พี่ชายมิได้ขาด จะมากล่าวหาว่ากระหม่อมไม่กตัญญูต่อพี่ชายได้อย่างไร’
ขณะที่พูดก็ยังทูลให้ฮ่องเต้อนุญาตให้เขาส่งบ่าวรับใช้ไปนำหนังสือการแบ่งทรัพย์สินในครอบครัวที่เก็บไว้ที่จวนมา ซึ่งในนั้นมีรายละเอียดการแบ่งเงิน ที่ดิน เรือน และของที่ให้ทุกเทศกาลปีใหม่ครบถ้วน เนื่องจากเขาเดินทางโดยแวะที่จุดพักม้าและใช้ม้าของทางการจึงมีบันทึกไว้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจดหมายของพี่ชายที่ไม่ให้เขาติดต่อไปอีกเพราะกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อนด้วย
สุดท้ายใครกันแน่ที่เย็นชาไร้น้ำใจ ใครมีตาก็ต้องเห็นชัดเจนกันทั้งนั้น
ช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงเหนื่อยล้าพระวรกาย ยามค่ำคืนบรรทมไม่สนิท ใครจะคิดว่าจะมีขุนนางทัดทานรวมกำลังเปิดฉากโจมตีขุนนางฉู่ที่รักตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้
ในท้องพระโรงเป็นยุทธจักรที่เต็มไปด้วยแสงดาบเงากระบี่ ความจริงแล้วสถานการณ์ที่ขุนนางทัดทานมารวมตัวกันโจมตีขุนนางผู้โชคร้ายอย่างดุเดือดเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ขุนนางทัดทานล้วนมีฟันเหล็กฟันสำริด เมื่อกัดใครเข้า หากไม่ตายก็หนังถลอก ดังนั้นเพิ่งเริ่มเปิดฉาก ฮ่องเต้ก็รู้สึกสงสารผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนที่ไปหาเรื่องขุนนางทัดทานพวกนี้เข้า
แต่นึกไม่ถึงว่าขุนนางฉู่ที่รักนอกจากจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ฝีปากก็ยังไม่อ่อนด้อยอีกด้วย โต้แย้งอย่างมีเหตุผลและมีหลักฐาน เมื่อไรควรถลึงตาก็ถลึงตา ถึงกับด่าทอจนขุนนางทัดทานผู้เป็นหัวหน้าพูดจาตะกุกตะกักไปแล้ว
และในวันนั้นบนต้นไม้ท่ามกลางเหตุการณ์กบฏในวัง ตอนที่คิดว่าหมดหวังที่จะหนีรอดแล้ว ขุนนางฉู่ที่รักได้คุยเล่นกับฮ่องเต้เพื่อให้เขาผ่อนคลาย เล่าเรื่องทุกอย่างในครอบครัวของตนให้ฮ่องเต้ฟังหมดแล้ว
หลังจากที่ฮ่องเต้ผ่านเหตุการณ์ก่อกบฏแย่งชิงอำนาจขององค์ชายรองมาก็รู้สึกผิดหวังกับความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างยิ่ง
แม้ว่าฉู่เซิ่นจะมั่งคั่งสักเพียงใด เขาก็ไม่ยอมทอดทิ้งภรรยาผู้ต่ำต้อย ทั้งยังเลี้ยงดูลูกเลี้ยงเสมือนบุตรแท้ๆ อย่างใจกว้างและมีคุณธรรม มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ ตลอดชีวิตของฮ่องเต้ไม่ค่อยยกย่องผู้ใดนัก แต่กลับรู้สึกชื่นชมแม่ทัพฉู่ผู้ซึ่งในตอนแรกฮ่องเต้ไม่ได้มองเขาในแง่ดีนัก ทว่าตอนนี้ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าฉู่เซิ่นเป็นบุรุษที่มีความสามารถโดดเด่น มีความเที่ยงธรรมและซื่อตรง เป็นขุนนางและมิตรสหายที่ทำให้รู้สึกสบายใจ
Comments
