ดังนั้นเมื่อขุนนางทัดทานหยิบยกเรื่องภรรยาและลูกเลี้ยงของฉู่เซิ่นมาโจมตี ฮ่องเต้จึงทำหน้าเคร่งขรึมแล้วตรัสว่า ‘ฉู่เซิ่นมิได้มีชาติตระกูลสูงส่งเหมือนพวกท่านที่อยู่ในท้องพระโรงนี้ เขาเป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่ง เขาอยู่ที่ชนบท มีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง เขาเคยบอกเราว่าเขาเป็นเพียงคนยากจนที่มีบุตรสาวหนึ่งคน การได้แต่งงานใหม่ถือเป็นวาสนา เขาย่อมไม่อาจเลือกชาติตระกูลของสตรีที่ยินดีจะแต่งงานกับเขาได้ ขอเพียงเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและดูแลบ้านเรือนได้ก็ถือว่าเป็นภรรยาที่ดี ทั้งยังควรเคารพรักนางไปตลอดชีวิต…’ พอตรัสมาถึงตรงนี้แล้วก็หายใจไม่ค่อยออก ไอเบาๆ แล้วตรัสต่อ ‘ส่วนเราก็ต้องบอกว่าผู้เป็นแม่ทัพสามารถออกรบสังหารศัตรูและรับใช้บ้านเมืองด้วยความจงรักภักดีได้ก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่ดี! แต่พวกท่านกลับปล่อยปละละเลยกิจการบ้านเมือง มัวแต่มาสนใจเรื่องครอบครัวของฉู่เซิ่นโดยไม่หลับไม่นอน ช่างเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี!’
เวลานี้มีขุนนางทัดทานทูลด้วยความไม่พอใจว่า ‘ในเมื่อเป็นขุนนางเช่นกัน จะมีความแตกต่างระหว่างขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ได้อย่างไร หากคุณธรรมประจำตนเสื่อมเสียย่อมต้องถูกประณาม และควรได้รับการลงโทษเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ!’
ฉู่เซิ่นรีบประสานมือคารวะอยู่ข้างๆ และกล่าวว่า ‘กระหม่อมก็เห็นว่าไม่เป็นธรรมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ! ขุนนางทัดทานเหล่านี้ล้วนมาจากการสอบคัดเลือกขุนนาง มีความชำนาญในการโต้เถียงด้วยคำพูดรื่นหู ใช้วาจาโจมตีพวกขุนนางฝ่ายบู๊ แล้วคนหยาบซึ่งไม่ค่อยได้เล่าเรียนหนังสืออย่างพวกกระหม่อมจะรับมือได้อย่างไร หากจะให้เป็นธรรม กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมประลองกับพวกเขาในสนามฝึก หากกระหม่อมถูกพวกเขาแทงหนึ่งแผล กระหม่อมจะไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ!’
เมื่อขุนนางทัดทานผู้เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจ คิดในใจว่าฉู่เซิ่นพูดเช่นนี้ยังบอกว่าตนเองโต้เถียงไม่เก่งอีกหรือ โต้เถียงโดยมีทั้งพยานและหลักฐานครบถ้วนเช่นนี้ แล้วยังจะจับเขาไปที่สนามฝึกอีก เขาจะมีปัญญาไปแทงฉู่เซิ่นหนึ่งแผลได้อย่างไร เห็นกลิ่นอายสังหารยามฉู่เซิ่นถลึงตาแล้ว เขาคงได้ถูกสับจนแหลกเป็นเนื้อบดแน่!
ครั้นเห็นฮ่องเต้ครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังถึงความเป็นไปได้ของการประลองกันของขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แล้ว ในที่สุดก็มีคนออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
เซียวเยวี่ยเหอจากกรมทหารเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกว่าขุนนางทัดทานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง การตรวจสอบความประพฤติของขุนนางทั้งหลายอย่างละเอียดเป็นเรื่องที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ในเมื่อคุณธรรมประจำตนของแม่ทัพฉู่มิได้มีความผิดใหญ่โตก็ควรให้เรื่องจบลงเพียงเท่านี้
ฮ่องเต้เองก็เหนื่อยล้าแล้ว มิได้สนใจว่าขุนนางทัดทานยังอยากหาเรื่องไม่ยอมปล่อยผ่าน เพียงโบกแขนเสื้อประกาศเลิกประชุมทันที
แม้ว่าฉู่เซิ่นจะสามารถโต้เถียงได้อย่างมีคมคายและได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในท้องพระโรง แต่เรื่องชาติกำเนิดของภรรยาและลูกเลี้ยงก็ถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น
คำนินทาของผู้คนช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
เขาไม่กล้าคิดว่าเด็กสาวในห้องหออย่างโม่เซี่ยวเหนียงจะถูกคำนินทาให้ร้ายในเมืองหลวงกลบฝังจนเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงตัดสินใจเขียนจดหมายหาฮั่วสุยเฟิงทันที ให้อีกฝ่ายวกกลับมาในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ พาโม่เซี่ยวเหนียงไปโม่เป่ยด้วย รอให้สิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์แล้วก็จัดพิธีแต่งงานทันที
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงรู้สาเหตุของเรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ขณะที่กำลังจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกก็ได้ยินคำพูดที่ว่าบิดาเลี้ยงจัดการให้นางไปโม่เป่ย นางจึงรีบเอ่ยทันที
“ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น คำนินทาให้ร้ายพวกนั้นทำอะไรข้าไม่ได้”
แต่โชคร้ายที่จวิ้นอ๋องน้อยที่ตากฝนมาตอนนี้ได้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์มารับคุณหนูใหญ่สกุลฉู่อย่างชอบธรรม ดังนั้นเขาจึงฟังเฉพาะสิ่งที่ตนเองอยากฟังเท่านั้น ทำเป็นไม่ได้ยินคำปฏิเสธของโม่เซี่ยวเหนียง หันไปบอกหานเยียนผู้เป็นสาวใช้โดยพลัน
“ทำตามคำสั่งของนายท่านของพวกเจ้า รีบเตรียมข้าวของสำคัญให้คุณหนู ที่เหลือนั้นพอไปถึงโม่เป่ยแล้วค่อยหาซื้อใหม่”
โม่เซี่ยวเหนียงร้อนใจ ถลึงตาใส่เขา “นี่เป็นจวนข้าหรือจวนเจ้า เจ้ามาสั่งการเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”
ฮั่วสุยเฟิงค่อยๆ คลี่ยิ้มให้นาง “แม้แต่เจ้าก็ใกล้จะเป็นของข้าแล้ว ยังจะแบ่งแยกของเจ้าของข้าอะไรอีก…”
ยังไม่ทันขาดขำเขาก็อุ้มโม่เซี่ยวเหนียงพาดบ่า รับร่มเคลือบน้ำมันคันใหญ่จากซิวจู๋บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ มา แล้วพาโม่เซี่ยวเหนียงออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว
ฮั่วสุยเฟิงเติบใหญ่ในจวนนี้มาตั้งแต่เล็ก บ่าวไพร่ทั้งเรือนในและเรือนนอกต่างเห็นเขาเป็นคุณชายของตน ดังนั้นการที่จู่ๆ เขาอุ้มคุณหนูใหญ่ออกไปเช่นนี้ จึงไม่มีใครคิดว่าจะต้องรับมือเช่นไร
อีกทั้งจวิ้นอ๋องน้องก็ขายาวก้าวไว ไม่นานนักก็ออกมาจากเรือนด้านนอก จัดแจงให้โม่เซี่ยวเหนียงอยู่ในรถม้าของตนเรียบร้อย แม้แต่ห่อสัมภาระก็ไม่สนใจแล้ว ตะโกนบอกคนขับรถม้าทันที
“รีบออกเดินทาง!”
รถม้าคันนั้นจึงเปรียบเสมือนถูกขันสายให้ตึง แล่นอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง
แต่ในเสียงพายุฝนราวกับมีใครบางคนตะโกนเรียกชื่อโม่เซี่ยวเหนียงด้วยความเจ็บปวด