นอกจากนี้สามีที่รักของเธอไม่ได้มาคนเดียว ยังมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักท่าทางอ่อนหวานคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเขาด้วย อีกฝ่ายสวมชุดสีขาวไว้ผมยาว แผ่กลิ่นอายความเยาว์วัยออกมาทั่วร่าง
เด็กสาวคนนี้เป็นผู้ช่วยของเจิงฝาน ซึ่งตอนนี้กำลังจะได้รับเกียรติให้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการคนใหม่ของเขา…ไป๋ฉีอวี่
อู๋เซี่ยวเซี่ยวมองชายหญิงตรงหน้าคู่นี้ พยายามข่มโทสะที่ทะลักขึ้นมาในใจไม่หยุด ก่อนจะถอดแว่นตา ลูบสันจมูกพลางเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“เจิงฝาน ถ้าคุณพูดมาตรงๆ ว่าจะหย่ากับฉันและยกเลิกสัญญา ฉันไม่มีทางคัดค้านหรอกนะ ทำไมต้องเล่นตุกติกกับฉัน แอบวางแผนซื้อตัวมือรับจ้างโพสต์ทำสงครามน้ำลายแบบนี้ด้วย”
เจิงฝานมีสีหน้าสงบนิ่ง นั่งบนเก้าอี้หมุนอย่างงามสง่า ขายาวไขว้กัน มองสำรวจภรรยาที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
แม้ช่วงนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะมีเรื่องมากมายรัดตัวจนหัวหมุน แต่เสื้อสีขาวกระโปรงสีเทา ผมสั้นที่ดัดลอนเล็กน้อยช่วยตกแต่งใบหน้าของเธอที่ได้สัดส่วนงดงามมาแต่เดิมได้เป็นอย่างดี ดวงตาโตดำขลับและจมูกโด่งนั้นก็มีเสน่ห์น่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ผู้หญิงวัยสามสิบสี่ปีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเสน่ห์มีสง่าราศีในทุกอิริยาบถนั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวจะเทียบเทียมได้
พูดจากใจจริง ถึงแม้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะแก่กว่าเขาหกปี แต่เธอก็ยังคงงดงามสะกดใจ ตอนนั้นที่เขาตามจีบเธอโดยไม่สนระยะห่างของอายุ นอกเหนือจากที่เธอเป็นเจ้านายของเขาแล้วก็เป็นเพราะเธอดึงดูดใจเขาจริงๆ
แต่ต่อให้ผู้หญิงงามสง่าสักเพียงใด เมื่อกลายเป็นภรรยาของตนแล้ว นานวันเข้าย่อมหมดรสชาติสดใหม่ ทว่าความตื่นเต้นที่จางหายไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เจิงฝานอยากหย่า
ขณะที่เจิงฝานนับวันยิ่งโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองหยุดอยู่ที่เดิม ถูกกักขังอยู่กับการแต่งงาน
ตอนนั้นเขาตัดสินใจแต่งงานอย่างวู่วามเกินไป! มาตอนนี้เขารู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้าของตนยังอีกยาวไกล และอู๋เซี่ยวเซี่ยวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เหมาะจะเดินเคียงคู่ไปกับเขาต่อ
แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวเหมือนไม่เข้าใจว่าช่องว่างที่นับวันยิ่งกว้างขึ้นของพวกเขาทั้งสองได้กลายเป็นช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้แล้ว
เมื่อเผชิญกับการตำหนิของอู๋เซี่ยวเซี่ยว เขานึกว่าเธอจะไม่ยอม จึงเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “เรื่องพวกนี้ที่คุณพูดผมไม่รู้เรื่องเลยนะ อาจถูกพนักงานระดับล่างเอาไปเล่าลือกันผิดๆ ก็ได้…ช่างเถอะ ตอนนี้จะมาสืบหาว่าใครชักนำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ถึงอย่างไรคุณกับผมก็งานยุ่งมาก เจอกันน้อย ห่างกันเยอะ ในเมื่อหมดใจแล้วเราอยู่ด้วยกันไปจะมีความหมายอะไร เซี่ยวเซี่ยว คุณน่าจะหัดมองไปข้างหน้าบ้างนะ…”
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่สะสมพลังงานลบมาทั้งเช้าเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เธอไม่อยากฟังคำพูดสวยหรูพวกนั้นของเขาอีกจึงเอ่ยขึ้น
“เจอกันน้อยห่างกันเยอะหรือคุณตั้งใจออกนอกลู่นอกทางกันแน่ ตอนแรกเห็นแก่ที่คุณเป็นนักแสดงในสังกัดฉัน ฉันตั้งใจว่าจะจัดการอย่างเป็นกลาง พยายามแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานของเราให้ดีที่สุด ปกป้องภาพลักษณ์นักแสดงที่ดีของคุณ…แต่คุณไป๋คนนั้นของคุณใจร้อนเกินไปจริงๆ ดึงดันจะสาดโคลนใส่หัวฉันให้ได้”
ไป๋ฉีอวี่ได้ยินแบบนี้แล้วน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองอู๋เซี่ยวเซี่ยวด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก “พี่อู๋ เรื่องพวกนี้ที่คุณพูด…ฉันไม่รู้เรื่องเลย ฉันไม่ได้…”
เรื่องมาจนถึงป่านนี้ อู๋เซี่ยวเซี่ยวได้ยินเด็กสาวเรียกตนว่า ‘พี่’ แล้วก็รู้สึกขยะแขยงจริงๆ ถึงเธอจะเป็นผู้จัดการของเจิงฝาน แต่เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกเธอขัดขวางไปเสียทุกเรื่องและให้เขาได้มีพื้นที่อิสระ ประกอบกับความยุ่งวุ่นวายของงานตนเอง เธอจึงปล่อยให้เจิงฝานทำอะไรตามสบายมาโดยตลอด
น่าเสียดายที่เจิงฝานแสดงเก่งเหลือเกิน แผนการเองก็ล้ำลึกมากด้วย หากไม่ใช่เพราะเจิงฝานเอ่ยปากว่าจะหย่า เธอก็คงไม่สังเกตเห็นว่าเจิงฝานกับไป๋ฉีอวี่คนนี้แอบกินกันลับๆ มานานแล้ว
และเรื่องที่ไป๋ฉีอวี่แอบซื้อตัวมือรับจ้างโพสต์ก็เป็นสื่ออิสระที่สนิทสนมกับอู๋เซี่ยวเซี่ยวสองสามแห่งส่งวีแชต มาบอกเธอเมื่อวาน
ตอนนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวขี้เกียจจะเล่นละครบริสุทธิ์ใสซื่อกับไป๋ฉีอวี่ เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเรียกพี่ ฉันไม่มีน้องสาวหน้าไม่อายอย่างเธอ เธอบอกว่าเธอไม่รู้เรื่อง แล้วเธอรู้วิธียั่วยวนผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ปีนขึ้นเตียงผู้ชายที่แต่งงานแล้วอย่างไร้ยางอายได้อย่างไร…”
“พอได้แล้ว!”
อู๋เซี่ยวเซี่ยวยังพูดไม่จบ เจิงฝานก็ตัดบทเธอด้วยสีหน้าหมดความอดทน
“ความรู้สึกของคุณกับผมไม่มีทางเอากลับคืนมาได้แล้ว เลิกรากันแต่โดยดีดีกว่านะ ผมไม่อยากให้คุณทำลายอนาคตและอาชีพของตัวเองเพียงเพราะความโกรธล้วนๆ ถึงอย่างไรตอนนี้คุณ…ก็ต้องการเงินมาก”