บทที่ 5
ตามที่บทละครเขียนไว้แขวนโคมแดงคือการเปิดประตูเรือนทำงานเป็นนางคณิกา แม้หูซื่อจะทำเช่นนี้จริงๆ ยามจวนตัว แต่คำพูดนี้พอออกมาจากปากบุตรสาววัยสิบสองปีก็เท่ากับเป็นการอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง
หูซื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เอื้อมมือไปหยิกแก้มตอบของบุตรสาว ตอนแรกคิดจะลงโทษปากนางให้หนักเสียหน่อย เด็กหญิงดีๆ ที่ใดพูดจาส่งเดชแต่งเรื่องว่ามารดาเป็นนางคณิกาได้
แต่เนื้อหนังที่มือหยิกนั้นมีเพียงน้อยนิด มีความอิ่มเอิบอย่างที่เด็กหญิงในวัยนี้ควรมีเสียที่ใดกัน พอนึกมาถึงตรงนี้มือนั้นก็ออกแรงไม่ลง หูซื่อทิ้งบุตรสาวไว้แล้วเข้าไปในห้องด้านใน คลุมผ้าห่มเก่าๆ พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ที่ควรพูดอู๋เซี่ยวเซี่ยวก็พูดหมดแล้ว รอดูเพียงว่าหูซื่อจะคิดตกในเรื่องนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถเอามีดจ่อคอหูซื่อบังคับให้อีกฝ่ายไปหาคนแต่งงานใหม่ได้
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังสะท้อนอยู่ในห้อง อู๋เซี่ยวเซี่ยวลุกขึ้นเก็บชามกับตะเกียบแล้วเดินไปที่ริมบ่อในลานบ้าน ก่อนใช้น้ำในถังไม้ล้างชามกับตะเกียบของพวกนางสองแม่ลูกจนสะอาด
นางไม่กล้าคิดอย่างจริงจังว่าหลังจากที่ตนเองตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม่ของนางจะโศกเศร้าเพียงใด แต่ดูจากนิสัยที่ไม่คิดอะไรมากมาโดยตลอดของคุณหูแม่ของนาง ไม่นานก็น่าจะหลุดพ้นจากความโศกเศร้าได้
หลังจากพ่อเสียชีวิตก็มีคุณอาโสดๆ หลายคนที่ครอบครัวรู้จักมานานส่งสายตาให้แม่บ่อยครั้ง เห็นทีว่าตอนที่แม่ในโลกความเป็นจริงของนางจะแต่งงานใหม่คงไม่ต้องให้ใครมาเกลี้ยกล่อมเช่นนี้…
แต่พอนางตายคราวนี้ เจิงฝานชายโฉดกับหญิงชั่วนั่นก็คงสมใจเป็นแน่
ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งใช้เงินก้อนโตให้คนไปซื้อภาพลักลอบเป็นชู้กันของสองคนนั้นมาและยังไม่ทันได้ระเบิดพลังนิวเคลียร์ที่มีอยู่ อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็กุมข้อมืออีกข้างของตนเองด้วยความอึดอัดขัดใจ
แต่ตอนนี้ท้องที่ว่างเปล่าส่งผลต่อจิตใจที่สุด นางไม่มีเวลาเรียบเรียงเหตุการณ์เล็กน้อยยิบย่อยก่อนที่ตนเองจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้แต่คิดใคร่ครวญว่าจะป้องกันชะตากรรมอันน่าเศร้าที่ต้องตายอย่างอนาถอีกครั้งในโลกที่แปลกประหลาดใบนี้ได้อย่างไร
หลังจากนั้นเสียงร้องไห้ของหูซื่อก็เงียบลงเมื่อถึงกลางดึก
วันรุ่งขึ้นดวงตาคู่นั้นร้องไห้จนบวมแดงเหมือนผลท้อสุกงอม
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเอาผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำให้หูซื่อประคบตา หูซื่อก็รับมาโดยไม่พูดอะไร สองแม่ลูกใจสื่อถึงกัน ไม่มีใครพูดถึงเรื่องยามเย็นของเมื่อวาน
แต่พอถึงยามบ่ายตอนที่จางมามา* ซึ่งเปิดร้านขายของชำที่ถนนมาเอาหน้ารองเท้าปักลาย หูซื่อก็ชวนให้จางมามานั่ง หลังประจบเอาใจบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนกว้างขวาง คบหากับผู้คนมากหน้าหลายตาแล้วก็พูดพึมพำเป็นนัยอย่างลังเลว่าตนอยากหาคนที่พึ่งพิงได้
แม้หูซื่อจะพูดเป็นนัย แต่จางมามาก็เข้าใจทันที
นางมองหูซื่อตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าคราหนึ่ง ตอนนั้นที่ภรรยานอกสมรสผู้นี้มาปักหลักที่ถนนของพวกนาง รูปโฉมอ่อนหวานน่าหลงใหลเช่นนี้ชวนให้บุรุษทั้งถนนชะเง้อคอมอง
แต่น่าเสียดายที่คุณชายรองสกุลโม่พอจากไปแล้วก็ไม่ได้สนใจไยดี บุปผาแม้งดงามหยาดเยิ้มเพียงใด หากไม่ใส่ปุ๋ยย่อมเหี่ยวเฉา สภาพของอีกฝ่ายในเวลานี้ดูผ่ายผอมซูบซีดไปมาก
หากไม่ใช่เพราะสกุลโม่มีชื่อเสียงและมีอำนาจอยู่ที่นี่ อีกทั้งไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าไม่ต้องการสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว พวกบุรุษเสเพลบ้านใกล้เรือนเคียงคงจะปีนกำแพงเรือนภรรยานอกสมรสสกุลหูผู้นี้แล้ว
ทว่าตอนนี้หูซื่อกลับเอ่ยปากขึ้นเองว่าต้องการหมั้นหมายกับตระกูลอื่น แต่จางมามาก็ไม่กล้าตอบรับส่งเดช
นางเอ่ยถาม “เจ้า…มีสัญญาซื้อขายตัวอยู่ที่สกุลโม่ใช่หรือไม่”
หูซื่อรีบตอบ “ตอนนั้นคุณชายรองโม่สงสารข้า ไม่อยากใช้สัญญาซื้อขายตัวมาควบคุมข้า เขาบอกว่าเผาทิ้งไปแล้ว”
แต่จางมามากลอกตาแล้วถามอีกว่าคุณชายรองสกุลโม่นั้นให้ทรัพย์สินของมีค่าอะไรกับหูซื่อบ้าง ถึงอย่างไรหูซื่อก็ให้กำเนิดบุตรแก่เขา เขาก็ควรจะให้ของขวัญอะไรบ้าง
หูซื่อตอบตามตรงว่าแค่ให้เงินค่าใช้จ่ายทุกเดือนเท่านั้น เครื่องประดับที่เหลืออยู่ก็เอาไปจำนำหมดแล้วในปีนี้เพราะไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่าย
หลังสอบถามเรื่องที่สงสัยใคร่รู้จนพอใจ จางมามาก็ตกปากรับคำตามมารยาทว่านางจะดูให้ว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่ยืนฟังอยู่ข้างม่านประตูมาโดยตลอดทอดถอนใจ นางรู้ว่าแม่สื่อแถวนี้หวังพึ่งพาไม่ได้ ต่อให้หูซื่อกระตือรือร้นที่จะแต่งงานใหม่ ทว่าหญิงม่ายลูกติดจะไปฝากชีวิตกับบุรุษที่เหมาะสมได้ที่ใด
อีกทั้งบุรุษผู้นี้ต้องพึ่งพาได้และไม่ถือสาที่จะพาลูกติดอย่างนางไปด้วย