บทที่ 6
พอเด็กชายพูดว่า ‘จะชดใช้ซาลาเปาให้’ ก็ใช้มืออีกข้างล้วงหมั่นโถวลูกใหญ่ที่เริ่มแข็งลูกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้โม่เซี่ยวเหนียงจริงๆ ไม่รู้เช่นกันว่าไปขโมยมาจากที่ใด
“เมื่อครู่พวกเจ้าไม่มีใครยอมกิน เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ข้าเพียงเห็นแล้วรำคาญจึงช่วยกินแทนพวกเจ้า…” เด็กชายอาจจะรู้ว่าของกินที่ตนเองล้วงออกมานั้นไม่เหมาะที่จะเอามาชดใช้คืน จึงแก้ต่างให้ตัวเองเสียงเบา
เด็กชายมีของกินอยู่ในอกเสื้อแต่กลับไม่กิน ทว่าหิวจนหน้ามืดจึงอดแย่งซาลาเปาที่ผู้อื่นกินเหลือครึ่งหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้เช่นกันว่าตั้งใจจะเอาหมั่นโถวลูกใหญ่กลับไปให้ใคร
ล้วนเป็นคนหิวโซในใต้หล้าเช่นเดียวกัน อู๋เซี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าหากตนโมโหโจรน้อยก็จะทำตัวเป็นเด็กไปสักหน่อย พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงคลายมือจะเรียกเขาให้ลุกขึ้น ทว่าโจรน้อยกลับทำหน้ายู่นิ่งอยู่กับที่ งอแขนอีกข้างไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นมา
ที่แท้เมื่อครู่นี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวเผลอใช้แรงมากเกินไป ดึงแขนข้างนั้นของเขาจนกระดูกหลุดออกจากข้อต่อ ทำให้เจ็บมาก ทว่าเด็กชายดูเหมือนจะเป็นคนหัวรั้น ถึงกับเงียบกริบ แต่มีเหงื่อไหลจากขมับ กัดฟันไม่ร้องออกมา
หูซื่อเป็นคนจิตใจดี เด็กชายผู้นี้อายุน้อยและหิวโซด้วย นางย่อมไม่ถือสาหาความเขา และยิ่งไม่อาจปล่อยเขาไว้โดยไม่ไยดี ดังนั้นนางจึงพาเขาไปหาหมอเถื่อนที่ถนน ใช้เงินไปสามอีแปะ* ให้หมอช่วยทำให้แขนของเขากลับเข้าที่ นางคิดว่าต้องบอกให้บิดาของเด็กคนนี้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ภายหลังจะได้ไม่มีเรื่องกวนใจที่พูดไม่กระจ่าง จึงพาเด็กชายไปที่อารามร้างทางทิศตะวันตกของเมือง
ครั้นไปถึงที่นั่นก็เห็นบุรุษฉกรรจ์ร่างสูงกำยำนอนอยู่ในกองหญ้าจริงๆ เขาเหมือนจะป่วยหนัก แก้มเป็นสีแดงก่ำ หูซื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงส่งเสียงเรียกบุรุษผู้นั้น แต่ไม่เห็นเขาฟื้นขึ้นมา
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเห็นว่าในถ้วยกระเบื้องแตกด้านข้างมีน้ำ จึงถือถ้วยกระเบื้องเดินไปพรมน้ำลงบนใบหน้าบุรุษผู้นั้น ถึงทำให้เขาฝืนลืมตาขึ้นมาได้ในที่สุด
หูซื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับบุรุษที่ไม่รู้ว่าสติแจ่มชัดหรือเลอะเลือนผู้นั้นด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา หลังจากเล่าว่าแม้เด็กชายข้อต่อแขนจะเคลื่อน แต่หมอบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว จากนั้นก็จะพาโม่เซี่ยวเหนียงผู้เป็นบุตรสาวออกไปจากที่นั่น
แต่บุรุษผู้นั้นเรียกนางด้วยเสียงแหบแห้ง ขอร้องให้นางไปตามคนสกุลโม่ที่อยู่ในเมือง เขาบอกเพียงว่าเป็นญาติห่างๆ ของสกุลโม่มาขอพึ่งพาอาศัย แต่ระหว่างทางถูกโจรปล้นชิงค่าเดินทางไปหมด อีกทั้งได้รับบาดเจ็บ ขอให้สกุลโม่ส่งคนมาช่วย
พอได้ยินดังนั้นหูซื่อก็ชะงักฝีเท้า แม้สกุลโม่จะปฏิบัติกับนางอย่างใจร้ายใจดำ แต่ถึงอย่างไรคุณชายรองสกุลโม่ก็เป็นบิดาของบุตรสาวนาง เมื่อเห็นว่าญาติห่างๆ ของสกุลโม่เดือดร้อน นางจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร
หูซื่อจึงรีบเอาป้ายคำสั่งที่ทำจากเหล็กหล่อชิ้นหนึ่งที่บุรุษผู้นั้นยื่นส่งให้นางพาโม่เซี่ยวเหนียงไปหาคนที่คฤหาสน์เก่าสกุลโม่
ปรากฏว่าพ่อบ้านผู้นั้นพินิจมองหูซื่อตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พลิกดูป้ายนั้นครู่หนึ่งแล้วก็โยนลงพื้นแล้วแค่นหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้น
“ญาติอะไรกัน ข้าอยู่สกุลโม่มาหลายปียังไม่เคยได้ยินมาก่อน เสี่ยวเหนียง นี่เจ้าสรรหาวิธีมาเล่นงานสกุลโม่อย่างนั้นหรือ ยังไม่รีบไปอีก! นายท่านผู้เฒ่ากำชับไว้ว่าหากเจ้ากล้าเข้าเรือนสกุลโม่ให้ตบปากเจ้าเสีย!”
หูซื่อเห็นสีหน้าของบ่าวไพร่สกุลโม่ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นจนเคยชินก็ได้แต่เก็บป้ายนั้นแล้วก้มหน้าเดินจากไป
ตอนที่หูซื่อกลับมาถึงอารามร้าง นางบอกบุรุษผู้นั้นว่าสกุลโม่ไปไกลถึงไหวซานแล้ว อีกทั้งบ่าวไพร่พวกนั้นก็บอกว่าไม่รู้จักเขา บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าผิดหวัง เขาอดทนตลอดทางมาจนถึงที่นี่ ตอนนี้เห็นทีว่าคงหวังพึ่งพาสกุลโม่ไม่ได้แล้ว
พอเห็นว่าหูซื่อกำลังจะไป เขาจึงได้แต่กล่าวขอบคุณสตรีผู้นี้แล้วเอ่ยว่า “สุยเฟิง เจ้าแย่งอาหารของผู้อื่น ทำตัวไร้เหตุผลยิ่งนัก ยังไม่รีบขออภัยท่านอาผู้นี้อีก”
หูซื่อนั้นไม่เป็นไร แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำว่า ‘สุยเฟิง’ แล้วก็เหมือนถูกสกัดจุดไปครึ่งร่าง มีท่าทางตกตะลึง
เนื่องจากพระเอกในบทละครเรื่อง ‘ฟูมฟักจอมราชัน’ มีชื่อว่าฉู่สุยเฟิง ฉากที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ก็สอดคล้องกับเส้นเรื่องในบทละครนั้น
เดิมทีพระเอกคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์โม่เป่ย น่าเสียดายที่ภายในราชวงศ์เกิดเหตุจลาจล บิดาของเขาเสียชีวิต เสด็จอาก่อกบฏ น้องร่วมสาบานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดา…ฉู่เซิ่นเป็นผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเขาออกมา เด็กชายจึงเปลี่ยนชื่อเป็นฉู่สุยเฟิง ทั้งสองปลอมตัวเป็นสองพ่อลูกตลอดทางหนีเข้ามาภายในด่าน
เพียงแต่หลังจากที่ฉู่เซิ่นถูกมือสังหารโม่เป่ยตามสังหารกลางทางแล้วได้รับบาดเจ็บ บาดแผลติดเชื้อ พอมาถึงในเมืองก็ไข้ขึ้นสูงไม่ฟื้น สุดท้ายก็สิ้นใจในอารามร้าง
นับแต่นั้นพระเอกก็โดดเดี่ยวเดียวดาย เดินทางอ้อมคดเคี้ยวไปยังไหวซาน บังเอิญโม่อิ๋งถิงบุตรสาวที่เกิดกับภรรยาเอกของคุณชายใหญ่สกุลโม่มาไหว้พระพอดี ตอนท้ายไปๆ มาๆ สกุลโม่ก็รับเขาไว้เป็นบุตรชายบุญธรรม ในที่สุดก็ได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่ม