ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 7-8
บทที่ 7
หูซื่อหลังส่งจางมามาไปแล้วก็มีท่าทางเซื่องซึม แต่ตอนที่หันกลับมาเห็นบุตรสาวก็ฝืนทำเป็นยิ้มร่าเริง กระตุ้นให้ตนเองฮึกเหิมแล้วไปล้างปลาต้มน้ำแกงในครัว
ต้องขอบคุณดาบพกเล่มนั้น หลายวันนี้ไม่ว่าหูซื่อกับบุตรสาวหรือฉู่เซิ่นสองพ่อลูกคู่นั้น ในด้านอาหารการกินนั้นค่อนข้างสบายขึ้นมาก ฉู่เซิ่นมีบาดแผล จำเป็นต้องบำรุงพักฟื้น หูซื่อจึงซื้อปลาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว หั่นเป็นสามส่วน แบ่งเอาไปตุ๋นน้ำแกง ผัดน้ำแดง และส่วนสุดท้ายเอาไปหมักเกลือ เก็บไว้สองสามวันค่อยนึ่งกับถั่วเหลืองกิน
นางถูกบิดามารดาขายเข้าคณะงิ้วตั้งแต่เด็ก จะยกมือวางเท้าล้วนมีจริตไปเสียทุกอิริยาบถ ต่อให้เด็ดผักหั่นหัวหอมนิ้วก็กรีดกรายราวกับดอกกล้วยไม้ ดูนุ่มนวลไม่รีบร้อน
เนื่องจากอยู่ในเรือนของตนเอง หูซื่อจึงไม่จำเป็นต้องจงใจทำตัวสกปรกมอมแมม ใบหน้านั้นก็สะอาดสะอ้านขึ้น ผมดำขลับก็มัดด้วยผ้าขาว ผมดำหลายปอยปรกข้างแก้ม ขับเน้นดวงหน้ารูปไข่ให้ยิ่งงดงามผุดผาด
แม้ฉู่เซิ่นจะเป็นชาวจงหยวน แต่อยู่ที่โม่เป่ยมานาน เห็นสตรีโม่เป่ยร่างสูงใหญ่จนชินตา ไม่ได้สัมผัสสตรีร่างแบบบางดุจต้นหลิวมานาน จึงเผลอมองนานไปสักหน่อย
จนกระทั่งหูซื่อเตรียมหอบฟืนไปจุดไฟที่เตา เขาจึงรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “งานหยาบพวกนี้ให้ข้าทำเถิด!”
หูซื่อเองก็รีบเอ่ย “คุณชายฉู่ แผลท่านยังไม่หายดี จะรบกวนท่านได้อย่างไร”
แต่ฉู่เซิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง หอบฟืนไปจุดไฟที่เตาทันที
ฉู่สุยเฟิงเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมาช่วยบิดาบุญธรรมจุดไฟ เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นมาเขาจงใจสะบัดมือจนน้ำแป้งเลอะเทอะทั่วศีรษะของโม่เซี่ยวเหนียง
หลังจากเด็กเหลือขอนั่นล้างหน้าล้างตาจนสะอาดแล้วก็เผยใบหน้าเกลี้ยงเกลาคิ้วหนาตาโต คางแหลมเล็กน้อยออกมา หากอยู่ในยุคปัจจุบันสามารถเดบิวต์เป็นนายแบบเด็ก เปิดร้านขายของในเถาเป่า จนขายดีได้
น่าเสียดายที่รูปโฉมอันยอดเยี่ยมนั้นไม่ได้มาพร้อมกับนิสัยที่ไร้เดียงสาน่ารักแต่อย่างใด
ภารกิจอันดับหนึ่งของผู้ที่เป็นพระเอกก็คือแบ่งแยกบุญคุณกับความแค้นออกจากกันอย่างชัดเจน
ผู้ที่มีบุญคุณคือท่านอาหูซื่อที่มีเมตตาและจิตใจดี ผู้ที่มีความแค้นคือเด็กหยาบคายที่ดึงแขนเขาจนข้อหลุดในตอนนั้น
สรุปก็คือฉู่สุยเฟิงที่อายุเพิ่งครบเจ็ดขวบเห็นโม่เซี่ยวเหนียงขัดตาเสียแล้ว
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงเช็ดแป้งบนใบหน้าเงียบๆ อยากไปถลกหนังหน้าเด็กเหลือขอนั่น แต่พอคิดว่าภายภาคหน้าฉู่สุยเฟิงจะเอาดาบแทงนางแล้วหั่นศพเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ก้มหน้าซักผ้าต่อไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
ตอนนี้พอมาคิดดูอีกที ในยุคปัจจุบันนางแต่งกับสามีที่อายุห่างกับตนเองหกปี ความแตกต่างของอายุนั้นพอๆ กับนางและฉู่สุยเฟิงในตอนนี้ ทันใดนั้นขนพลันลุกเกรียวขึ้นมาทั้งร่าง
ห่างกันหกปีเชียว ไม่ใช่แค่ทางร่างกาย แต่จิตใจก็ด้วย!
บุรุษที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโตจะเข้าใจหรือว่าหน้าที่กับความรับผิดชอบคืออะไร ยิ่งตอนนี้พอมองเด็กบ้าที่แอบหันมายิ้มอย่างเสแสร้งให้ นางก็ถอนใจในความเลอะเลือนของตนที่ถูกบุรุษหนุ่มทำให้ลุ่มหลงในราคะ
นางที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงเตือนตนเองว่า ไม่ง่ายเลยที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ หากข้าสามารถหลบหลีกหนามอันแหลมคมของพระเอกได้อย่างราบรื่นและอยู่อย่างปลอดภัยไปจนถึงวัยออกเรือนได้ ข้าจะต้องเลือกบุรุษที่สุขุมและโตกว่าแน่นอน
ส่วนน้องชายไอดอลวัยรุ่นที่สดใหม่และมีชีวิตชีวา ข้าขอปฏิเสธ!
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้กลิ่นข้าวและกลิ่นหอมของปลาโชยมาเป็นระยะ หูซื่อยกกับข้าวไปที่โต๊ะในห้องโถง จากนั้นก็เรียกฉู่เซิ่นกับเด็กทั้งสองมากิน
ตอนกินอาหารฉู่เซิ่นคีบเนื้อปลาน้ำแดงชิ้นใหญ่ใส่ชามฉู่สุยเฟิง จากนั้นก็ซดน้ำแกงปลาคำใหญ่ ฉู่สุยเฟิงเองก็เอาหน้าก้มลงไปในชามอย่างไม่เกรงใจ
เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งกินอย่างสงบแต่รวดเร็ว พวกเขาคลุกคลีอยู่บริเวณเตาในค่ายทหารโม่เป่ยมานานปี จึงใช้ตะเกียบกินอาหารได้อย่างดุดันและแม่นยำ
แต่สำหรับหูซื่อ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ผักปลาที่ซื้อมาด้วยเงินตนเอง จึงกินอย่างระมัดระวัง ขยับตะเกียบอย่างกระดากอาย ตักเพียงน้ำแกงปลาไม่กี่ช้อนคลุกข้าวฟ่างกินก็พอใจแล้ว
ส่วนอู๋เซี่ยวเซี่ยวผู้ได้รับการศึกษาชั้นสูงมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเข้ามหาวิทยาลัยไม่เคยไปโรงอาหาร มีความเชี่ยวชาญในมารยาทการกินอาหารตะวันตกและตะวันออก อย่างเดียวที่ไม่รู้คือจะแย่งผู้อื่นกินอย่างไร ต่อให้หิวแทบตายก็เคยชินกับการรอให้คนอื่นคีบอาหารเสร็จก่อนถึงจะยื่นตะเกียบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่ชามอาหารพร่องจนเห็นก้นชาม นางจึงกินไปเพียงไม่กี่คำ ก่อนหน้านี้ฉู่เซิ่นนอนซมกินโจ๊กอยู่บนเตียงมาโดยตลอด ไม่ได้ร่วมกินอาหารกับพวกนาง เพิ่งร่วมโต๊ะวันนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นอาหารพร่องจนเห็นก้นชามและโม่เซี่ยวเหนียงกินไปได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาก็รีบลุกขึ้นจะคีบกับข้าวตักน้ำแกงให้โม่เซี่ยวเหนียง
หูซื่อเห็นเขาลุกขึ้นไปเปิดฝาหม้อก็รีบเอ่ยขึ้น “คุณชายฉู่กินไม่อิ่มหรือเจ้าคะ วันนี้ทำกับข้าวน้อยไปสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะทำให้มากกว่านี้…”
ฝ่ามือใหญ่ที่ถือหม้อของฉู่เซิ่นพลันชะงัก ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขากับฉู่สุยเฟิงกินอาหารเที่ยงของวันนี้ไปกว่าครึ่ง แม้แต่น้ำแกงปลาก็ไม่เหลือแม้แต่ครึ่งคำ แต่สองแม่ลูกหูซื่อกลับทำได้เพียงกินข้าวฟ่างเคล้าน้ำลายเท่านั้น
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เพียงกำชับให้ฉู่สุยเฟิงเล่นอยู่ที่ลานบ้านอย่าออกไปที่ใด จากนั้นก็หันกายเข้าไปในห้องข้างใน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกมาแล้วเปิดประตูลานบ้านเดินออกไป
หูซื่อไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เพียงแต่ฉู่เซิ่นออกไปอย่างโจ่งแจ้งในเวลากลางวันแสกๆ คงไม่พ้นต้องถูกพวกเพื่อนบ้านชี้มือชี้ไม้นินทาเป็นแน่
Comments
