ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 7-8
ปรากฏว่าฉู่เซิ่นออกไปได้ครึ่งชั่วยาม ตอนที่กลับมาใหม่ในมือก็หิ้วกล่องอาหารและห่อกระดาษน้ำมันหนึ่งห่อ เขาเอากล่องอาหารวางบนโต๊ะ เปิดห่อกระดาษน้ำมันก่อน แล้วร้องเรียกไปยังเรือนทางทิศตะวันออกยิ้มๆ
“เซี่ยวเหนียง นี่คือเป็ดเค็มรมควันจากถนนข้างหน้า ยังร้อนอยู่ เจ้ากับมารดาเจ้าออกมากินสักหน่อยเถิด”
โม่เซี่ยวเหนียงกับหูซื่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หูซื่อกำลังเย็บงานเย็บปักที่รับเหมามา ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงก็นั่งตั้งใจดูอยู่ข้างๆ อยากเรียนรู้งานเย็บปักง่ายๆ จะได้เป็นลูกมือให้หูซื่อ
พอได้ยินฉู่เซิ่นเรียกเช่นนี้ หูซื่อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ตระหนักขึ้นมาโดยพลันว่าเมื่อครู่นี้ที่ฉู่เซิ่นออกไปคงเอาอะไรไปจำนำอีกเป็นแน่ ถึงซื้อของกินกลับมาได้
จนกระทั่งสองแม่ลูกออกมาจากเรือน ฉู่สุยเฟิงที่เดิมทีนั่งใช้มีดเล็กเหลาตุ๊กตาไม้เล่นอยู่ที่ลานบ้านก็มานั่งตัวตรงข้างโต๊ะแล้ว และไม่ต้องให้ใครเรียก เขากำลังถือน่องเป็ดข้างหนึ่งกินอย่างไม่เกรงใจ
ผู้อื่นไม่รู้ แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่า ‘พ่อลูก’ ในนามคู่นี้แท้จริงแล้วเป็นนายกับบ่าว
เด็กเหลือขอนั่นคือนายน้อย ส่วนฉู่เซิ่นเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปกป้องนายน้อยให้ปลอดภัยเท่านั้น
ดังนั้นฉู่เซิ่นเองก็จะไม่ใส่ใจในเรื่องที่ฉู่สุยเฟิงขาดความรู้เรื่องมารยาท ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วนายน้อยกินอิ่มและเติบโตเป็นอย่างดีต่างหากคือสิ่งที่ถูกต้อง
เคราะห์ดีครั้งนี้ฉู่เซิ่นซื้อมามาก นอกเหนือจากเป็ดเค็มรมควันแล้วก็มีหัวสิงโตน้ำแดง ไก่หมักซีอิ๊ว และหน่อไม้ดองอร่อยสดใหม่อีกหนึ่งจานที่หิ้วกลับมาจากหอสุรา
ตอนที่เป็ดไก่ปลอดสารพิษปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยกรรมวิธีโบราณวางซ้อนกันอย่างประณีต จนกระทั่งรสชาติเก่าๆ ที่เรียบง่ายแผ่ซ่านภายในโพรงปาก อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล ข้างหูเหมือนจะมีเพลงประกอบของสารคดีเรื่อง ‘จีนบนปลายลิ้น’ ดังขึ้น
ความสุขที่แทบอยากกลืนลิ้นของตนลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดมีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในหุบเขากันดารมาหลายเดือนแล้วเพิ่งได้มีโอกาสเข้าร้านอาหารในเมืองเท่านั้นที่จะเข้าใจ!
น่าเสียดายที่ภาพโม่เซี่ยวเหนียงกินไปพลางขอบตาเปียกชื้นไปพลางทำให้เด็กน้อยฉู่สุยเฟิงที่อยู่ข้างๆ แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยัน คิดเพียงว่าเด็กในเมืองตัวแสบผู้นี้ช่างทำตัวน่าอายจริงๆ
หูซื่อเองก็ไม่ได้กินอาหารที่ประณีตเช่นนี้มานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งมาหลายวัน ย่อมรู้ว่าอาหารพวกนี้ห่อกลับมาจากหอจุ้ยเซียนหอสุราที่ดีที่สุดในเมือง รวมกันแล้วคงเป็นเงินมากถึงสี่ตำลึง
แต่เดิมทีพวกเขาสองพ่อลูกสูญเงินค่าเดินทางไปแล้ว ฉู่เซิ่นก็เกือบป่วยตายอยู่ที่อารามร้าง พวกเขาตามหาญาติไม่สำเร็จ วันหน้ามีเรื่องให้ต้องใช้เงินระหว่างทางอีกมาก เหตุใดถึงเอามาใช้จ่ายส่งเดชเช่นนี้
ดังนั้นหูซื่อจึงกินไม่ค่อยลง เอ่ยเตือนฉู่เซิ่นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าต้องใคร่ครวญถึงชีวิตในวันหน้า จะใช้จ่ายตามใจชอบเช่นนี้ไม่ได้
ฉู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก กินเสร็จแล้วก็เชิญหูซื่อไปพูดคุยกับเขาที่ลานบ้านสักเล็กน้อย
ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงหลังกินเสร็จก็ไม่อยากเห็นเด็กเหลือขอฉู่สุยเฟิง นางจึงกลับเรือนไปก่อน ลองไปทำงานเย็บปักเองดูสักหน่อย
บริเวณที่ผู้ใหญ่สองคนพูดคุยกันอยู่ใกล้เรือนมาก เสียงพูดคุยของทั้งสองที่ลานบ้านจึงดังเข้ามาในเรือนโดยไม่ตกหล่นสักคำเดียว
ความคิดของฉู่เซิ่นเรียบง่ายยิ่ง อาการบาดเจ็บของเขาแม้ไม่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว รบกวนอยู่ที่นี่นานก็ควรจากไปได้แล้ว เพียงแต่เขาไปคราวนี้ไม่อาจวางใจลงได้ว่าต่อไปหูซื่อกับบุตรสาวจะใช้ชีวิตกันอย่างไร สกุลโม่ไม่สนใจไยดีพวกนางสองแม่ลูกมาแต่แรกแล้ว ตอนนี้หูซื่อรับเขากลับมาพักฟื้นที่เรือน ถูกเพื่อนบ้านเล่าลือกันไปถึงไหนต่อไหน เกรงว่าชีวิตในวันหน้าของนางจะลำบากยิ่งกว่าเก่า
ฉู่เซิ่นเป็นทหาร ไม่คุ้นชินกับการพูดจาอ้อมค้อม จึงพูดกับหูซื่อว่า “หลายปีก่อนข้าแต่งภรรยาที่บ้านเกิด เพียงแต่วาสนาของข้ากับนางตื้นเขิน หลังนางให้กำเนิดบุตรสาวก็ขอหย่ากับข้าและแต่งงานใหม่แล้ว ภายหลังข้าก็ไปใช้ชีวิตของตนเองที่โม่เป่ย…มีสุยเฟิงที่นั่น แต่ไม่เคยแต่งภรรยาคนที่สอง ไม่ทราบว่าแม่นางหู…ยินดีไปกับข้าหรือไม่”
หูซื่อไม่นึกไม่ฝันว่าฉู่เซิ่นถึงกับเอ่ยปากจะพาตนไปด้วย ความหมายในคำพูดนั้นก็คือ…จะรับนางเป็นภรรยาเช่นนั้นหรือ ทว่าเขาเป็นญาติห่างๆ ของสกุลโม่ที่ตามหาญาติไม่สำเร็จ แต่กลับรับภรรยานอกสมรสของคุณชายรองสกุลโม่เป็นภรรยา มีอย่างที่ใดกัน
ฉู่เซิ่นได้ยินคำพูดของหูซื่อแล้วก็เอ่ยขึ้นราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “เมื่อครั้งยังเยาว์นายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ทำการค้าอยู่ที่โม่เป่ยได้รับ…ความเมตตาจากท่านปู่ของสุยเฟิง ตอนนั้นข้าเผชิญหน้ากับโจรได้รับบาดเจ็บสาหัส พลันนึกขึ้นได้ว่าสกุลโม่อยู่ที่นี่ จึงพยายามพาสุยเฟิงเข้าเมืองมาตามหาคน อยากให้สกุลโม่ช่วยเหลือสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ญาติสนิทอะไร ตอนนี้แม่นางเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกเราสองพ่อลูก ข้าย่อมอยากปกป้องและให้ความปลอดภัยกับแม่นาง เพียงแต่เส้นทางข้างหน้าของข้าจะดีหรือร้ายก็ยังไม่รู้ ไม่ทราบว่าแม่นางยินดีจะไปลำบากกับข้าหรือไม่”
สิ่งที่ฉู่เซิ่นไม่ได้พูดออกไปก็คือการล่อลวงสตรีแล้วทอดทิ้งของคุณชายรองสกุลโม่ทำให้เขาเกิดอคติต่อสกุลโม่จริงๆ หากหูซื่อเป็นสตรีมากรัก จะถูกคุณชายรองสกุลโม่ทอดทิ้งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่เขาเห็นว่าหูซื่อผู้นี้เป็นสตรีบอบบางที่จิตใจดีและบริสุทธิ์ แม้จะเคยเป็นนักแสดงงิ้ว แต่เมื่อสืบไปถึงรากเหง้าก็เป็นเพียงเด็กสาวบริสุทธิ์ของครอบครัวยากจนผู้หนึ่ง
ตอนนี้เขาเป็นคนที่ตายมาแล้วคราหนึ่ง เข้าใจวิถีของโลกอย่างถ่องแท้ขึ้นมาก กอปรกับอยู่ที่โม่เป่ยมานาน สตรีที่นั่นแต่งงานใหม่ก็เป็นเพียงการย้ายไปอยู่มุ้งอื่นเท่านั้น เรื่องระหว่างชายหญิงเปิดกว้างยิ่ง ในสายตาเขาหูซื่อดีกว่าสตรีกล้าได้กล้าเสียที่โม่เป่ยพวกนั้นเสียอีก
เขาได้รับการไหว้วานจากโม่เป่ยอ๋อง จึงต้องปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขสุดท้ายของราชวงศ์โม่เป่ยนี้ไว้ให้จงได้
ก่อนหน้านี้เขาใช้ชื่อปลอมที่โม่เป่ย ไม่มีผู้ใดรู้ภูมิหลังของเขา ดังนั้นหลังจากพ้นเคราะห์ครั้งนี้แล้วเขาตั้งใจจะกลับบ้านเกิด แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร ใช้ชีวิตที่มั่นคงสักสองสามปี เลี้ยงดูนายน้อยฉู่สุยเฟิงให้เติบใหญ่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียบกับการปล่อยให้แม่สื่อที่บ้านเกิดเจรจาหาคู่ให้แล้วแต่งกับสตรีที่ไม่รู้นิสัยใจคอ มิสู้แต่งกับหูซื่อผู้นี้จะดีกว่า นางจิตใจดีและสุภาพเป็นมิตร จะต้องดูแลฉู่สุยเฟิงและบุตรสาวที่ภรรยาเก่าของตนทิ้งไว้เป็นอย่างดีราวกับดูแลบุตรในอุทรแน่นอน
แม้ฉู่เซิ่นจะสงสารหูซื่อ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีเช่นกัน เมื่อครู่เขาคิดมาตลอดทาง รู้สึกว่าการแต่งกับหูซื่อเป็นเรื่องที่เหมาะสมจริงๆ
Comments
