บทที่ 8
หลังฉู่เซิ่นพูดจบก็ไม่รีบร้อนให้หูซื่อตกปากรับคำทันที แค่ให้นางไปไตร่ตรองให้ดี วันรุ่งขึ้นค่อยให้คำตอบตน จากนั้นเขาก็ออกไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันตก
หูซื่อเดินเข้าเรือนมาด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ เห็นโม่เซี่ยวเหนียงบุตรสาวนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเล็กที่มุมผนัง อีกฝ่ายคงได้ยินที่นางกับฉู่เซิ่นพูดคุยกันแล้ว จึงอดหน้าแดงไม่ได้
โม่เซี่ยวเหนียงเป็นฝ่ายพูดกับมารดาก่อน “ท่านแม่ มาคุยกันสักหน่อยเถิด”
แม้ใบหน้าของหูซื่อจะแข็งทื่อ แต่ก็ไม่มีใครให้ปรึกษาหารือ จึงถามบุตรสาวทันที “เจ้าว่าคนผู้นั้นใช้ได้หรือไม่ จะหลอกลวงพวกเราสองแม่ลูกไปขายที่อื่นหรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่าต่อให้ฉู่เซิ่นจะจนกรอบก็ไม่มีทางตกต่ำถึงขั้นหลอกลวงสตรีและเด็กไปขายเอากำไร เขาเป็นบุรุษที่เสี่ยงชีวิตเพื่อสหายรักเชียวนะ
ในเมื่อเขาเอ่ยปากว่าจะแต่งกับหูซื่อก็คงพูดจริงทำจริง ไม่ถึงขั้นเอาพวกนางสองแม่ลูกไปขายกลางทาง
แต่ในสายตาของโม่เซี่ยวเหนียง ฉู่เซิ่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นบิดาเลี้ยงจริงๆ
ฉู่เซิ่นในนิยายต้นฉบับเป็นเพียงเหยื่อรับกระสุนที่ใช้เดินเรื่องเท่านั้น เวลานี้ควรบาดแผลติดเชื้อตายที่อารามร้างไปนานแล้ว ต่อไปเขาจะมีโชคชะตาเช่นไร นักเขียนก็ไม่ได้กล่าวถึงเช่นกัน
ส่วนฉู่เฉียวอีบุตรสาวที่ภรรยาเก่าของฉู่เซิ่นซึ่งไปแต่งงานใหม่ทิ้งไว้เป็นตัวละครที่มีสีสันและมีรายละเอียดมาก นับดูแล้วก็เป็นภรรยาคนที่สองในฮาเร็มของพระเอก
ในพล็อตดั้งเดิมฉู่สุยเฟิงที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้พบบุตรสาวแท้ๆ ของบิดาบุญธรรม เพื่อตอบแทนบุญคุณของบิดาบุญธรรม หลังเจ็บปวดทรมานที่สูญเสียโม่อิ๋งถิงคนรักไป จึงแต่งฉู่เฉียวอีเป็นภรรยาคนที่สอง
หลังจากนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงเริ่มเข้าสู่โหมดประหัตประหารอันบ้าคลั่ง ทรมานภรรยาคนที่สองผู้นี้อย่างโหดเหี้ยม พอคิดมาถึงจุดนี้โม่เซี่ยวเหนียงจึงไม่ได้มองวันข้างหน้าหลังจากที่มารดาแต่งงานใหม่กับฉู่เซิ่นในแง่ดีนัก
หากสองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกัน พระเอกกลายเป็นน้องบุญธรรมของนาง นางเอกหมายเลขสองกลายเป็นน้องสาวของนาง คนในครอบครัวมีความสัมพันธ์ซับซ้อน ยากจะรักษาความผูกพันไว้ได้ แม้จะอยู่ด้วยกันทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ก็รับรองไม่ได้ว่าพล็อตจะไม่ดำเนินไปยังทิศทางของศีลธรรมครอบครัวและการชักดาบเข่นฆ่ากันภายในครอบครัว
แน่นอนว่าคนที่จมกองเลือดคงเป็นลูกติดอย่างโม่เซี่ยวเหนียงผู้นี้ ส่วนพระเอกกับนางเอกเป็นสามีภรรยาน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สมัครสมานปรองดอง!
แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าตัวละครมากมายในบทละครเรื่องนั้นตอนนี้คือคนที่มีชีวิต
การที่นางผลีผลามเสนอให้ช่วยฉู่เซิ่น ทำให้หูซื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน ยิ่งทำให้โม่เซี่ยวเหนียงต้องทบทวนตนเองอย่างลึกซึ้ง
ตอนนี้หูซื่อต้องเผชิญกับการเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้นางจะเป็นบุตรสาวตัวจริงของหูซื่อ แต่ก็ไม่เหมาะที่จะช่วยตัดสินใจแทนมารดา
ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงปิดปาก ตั้งใจดูหูซื่อตัดสินใจเอง หากหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยขวากหนาม นางก็เพียงหลับตาเดินหน้าไปกับหูซื่อ
พอคิดมาถึงตรงนี้โม่เซี่ยวเหนียงก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้ายังเด็ก จะดูคนเป็นได้อย่างไร ท่านลุงฉู่ผู้นั้นไม่เหมือนคนเลว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นสามีที่ดีของสตรีหรือไม่ ทุกอย่างให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ”
หูซื่อเอ่ยพึมพำ “คุณชายฉู่ร่างสูงใหญ่กำยำ หากตบตีสตรี ข้าต้องทนไม่ไหวเป็นแน่…ข้ากลัว…”
โม่เซี่ยวเหนียงรีบพยักหน้า รู้สึกเช่นกันว่าฉู่เซิ่นดูเหมือนบุรุษป่าเถื่อน ไม่เหมือนบุรุษที่รักถนอมภรรยาสักนิด
เมื่อหูซื่อไม่มีผู้ใดให้ปรึกษา นางก็ได้แต่นอนกระสับกระส่ายขบคิดทั้งคืน
แต่พอเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกลับมีคนช่วยคิดแทนหูซื่อแล้ว ฟ้ายังไม่สางก็ได้ยินเสียงผู้คนนอกกำแพงลานบ้าน ที่แท้สกุลโม่มาขับไล่คนแล้ว
ตอนนั้นคังซื่อสั่งพ่อบ้านก่อนออกเดินทางไว้ว่าหากหูซื่ออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนก็ดี แต่หากก่อเรื่องฉาวโฉ่ที่ไม่อาจอภัยได้จะต้องข่มขู่แล้วไปเรียกผู้ใหญ่บ้านมา หลังจากทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้วก็ขับไล่หูซื่อออกไปจากเรือนพร้อมกับบุตรนอกสมรสเสีย
นายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่รักชื่อเสียงหน้าตายิ่งนัก จะยอมให้ภรรยานอกสมรสผู้หนึ่งทำให้สกุลโม่เผชิญหน้ากับพายุอยู่อย่างไม่สงบสุขได้อย่างไร
คังซื่อเป็นคนใจแคบ แต่ไม่ยอมให้บิดามารดาสามีและสามีหาว่าใจดำอำมหิตไม่สนใจผู้ใด จึงฉวยโอกาสตอนที่คนสกุลโม่ไม่อยู่ที่เมืองเฟิ่ง กันเงินไม่ให้หูซื่อหาเลี้ยงชีพได้ จากนั้นก็หาเหตุผลที่ฟังดูใหญ่โตบ่งหนามยอกอกออกไปอย่างหมดจดสง่าผ่าเผย