บทที่หนึ่ง
มู่เซียงหนิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู เกล็ดหิมะเล็กละเอียดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า วันนี้เป็นวันสิ้นปีที่ผู้คนกินอาหารส่งท้ายปีเก่ากัน
โต๊ะกลมที่อยู่ข้างหลังนางเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานาชนิด อาหารสิบกว่าอย่างนี้ล้วนเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาอย่างประณีต ครบครันทั้งหน้าตาและกลิ่นหอมชวนกิน อีกทั้งยังเป็นของโปรดของชายผู้นั้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีสุราชั้นดีที่หมักบ่มมานานปี
ความหวังว่าเขาจะมานั้นมีไม่มาก แม้นางจะรู้ดี แต่ก็ยังอยากลองดูสักตั้ง
ถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นภรรยาเอกของเขาไม่ใช่หรือ
แม้วันปกติเขาไม่เคยมาหา แต่วันพิเศษเช่นนี้เขาก็ควรมา ต่อให้เป็นการมาตามมารยาทก็ยังดี
อาหารอร่อยบนโต๊ะไม่เหลือควันร้อนๆ มานานแล้ว น้ำแกงที่ตุ๋นไว้ก็เย็นชืดจนขึ้นไข ทว่านางก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูมองความเงียบเหงาวังเวงของลานหน้าเรือนต่อไป บนพื้นหิมะไม่มีแม้แต่รอยเท้าสักรอยให้เห็น
อากาศหนาวจัด แม้จะมีกระถางไฟวางตั้งอยู่ในห้องสี่ใบก็ไม่ช่วยให้ใจนางอุ่นขึ้นมาได้เลย เพราะภายในใจก็มีหิมะตกเช่นกัน
“ฮูหยิน กับข้าวเย็นหมดแล้ว ให้ไปอุ่นซ้ำอีกครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ” ฉาเอ๋อร์สาวใช้ถามเบาๆ
ริมฝีปากของมู่เซียงหนิงหยักมุมโค้งทว่าไร้รอยยิ้ม น้ำเสียงแฝงนัยเยาะเย้ยตนเอง “อุ่นซ้ำมาตั้งหลายครั้งแล้วยังจะอุ่นอีกด้วยเหตุใดเล่า ไม่ต้อง เขาไม่มาหรอก”
แม่นมชุยเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อม “ฮูหยิน อย่ายืนหน้าประตูเลยเจ้าค่ะ เข้าไปข้างในดีกว่า ประเดี๋ยวจะหนาว”
“ไม่ ข้าอยากยืนตรงนี้ หากหัวใจหนาวเป็นน้ำแข็งจนด้านชาไปได้ก็คงดี แต่นี่มันยังเจ็บ มันยังมีความรู้สึก แม่นม ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน อยากจะคว้านตรงนี้ทิ้งไปมันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก” มู่เซียงหนิงกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่อกด้านซ้ายของตนเอง
แม่นมชุยฟังแล้วอดทำตาแดงๆ ไม่ได้ ก่อนจะพูดเสียงเครือ “ฮูหยิน ปลงเสียเถิดเจ้าค่ะ บุรุษมีหลายภรรยาเป็นเรื่องปกตินะเจ้าคะ”
ป่านนี้ท่านแม่ทัพคงอยู่เรือนอนุคนใดคนหนึ่ง มู่เซียงหนิงไม่อยากให้คนไปสืบถาม เพราะรู้แล้วมีแต่จะอับอายและช้ำใจเปล่าๆ
ฉาเอ๋อร์ยกน้ำขิงมาให้ “ฮูหยินดื่มน้ำขิงร้อนๆ เสียหน่อยนะเจ้าคะ ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น”
นางมองถ้วยน้ำขิงควันฉุยในมือสาวใช้ แล้วพูดอย่างเหม่อลอย “ฉาเอ๋อร์ น้ำขิงนี่ดื่มไปก็ไม่ช่วยให้หัวใจข้าอุ่นขึ้นมาได้หรอก ข้าอยากได้น้ำแกงยายเมิ่ง* มากกว่า ดื่มแล้วจะได้ลืมชีวิตในชาติที่ผ่านมาไปเสีย”
“ฮูหยินอย่าพูดเหลวไหลสิเจ้าคะ” แม่นมชุยอุทานพลางกอดเจ้านายเอาไว้เพื่อให้ร่างกายของอีกฝ่ายอุ่นขึ้น
น้ำแกงยายเมิ่งมีแต่คนตายเท่านั้นถึงจะได้ดื่ม ฮูหยินกล่าวเช่นนี้เท่ากับอยากตายชัดๆ นางฟังแล้วก็รู้สึกหวั่นใจ ทั้งยังปวดใจเหลือเกิน
ฉาเอ๋อร์ก็ยืนร้องไห้เงียบๆ อยู่อีกทาง
ฮูหยินรักท่านแม่ทัพมากเท่าไร นางและแม่นมชุยประจักษ์ด้วยตามาโดยตลอด พวกนางทั้งสองติดตามฮูหยินออกเรือนมาด้วย คุณหนูผู้ร่าเริงเปิดเผยในอดีตหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า พวกนางคิดถึงคุณหนูผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน และไม่กลัวผีสางเทวดาผู้นั้นเหลือเกิน
ความรักเป็นได้ทั้งการหลุดพ้นและมีดแหลมที่คร่าชีวิต ดูอย่างฮูหยินที่ถูกปีศาจแห่งความรักเข้าสิงนี่ก็ได้ นางถูกทารุณทางจิตใจเสียจนไม่เหลือแล้ว
พวกนางอยากเห็นฮูหยินเป็นคุณหนูผู้มีนิสัยโผงผางดิบห่ามเหมือนชายหนุ่มผู้นั้น มากกว่าจะเป็นหญิงสาวผู้เปราะบางระทมทุกข์อย่างในตอนนี้
“ฉาเอ๋อร์ แม่นม เพื่อเขาแล้ว ข้าสู้อุตส่าห์ไปหาข่าวสำคัญมาให้อย่างไม่กลัวอันตราย ข้าอยากบอกเขาด้วยตนเอง อยากเห็นเขาทำหน้าซาบซึ้ง แต่เขาไม่ยอมมาหาข้าด้วยซ้ำ…”
“ฮูหยินพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ” เจ้านายพึมพำกับตนเอง ฉาเอ๋อร์จึงได้ยินไม่ชัด
ทันใดนั้นมู่เซียงหนิงก็ผลักแม่นมชุย แล้ววิ่งออกไปบนพื้นหิมะ
“ฮูหยิน…เดี๋ยวตัวเปียก อย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ ฉาเอ๋อร์ เร็วเข้า รีบไปเอาร่มกับเตาอุ่นมือมา!”
แม่นมชุยวิ่งตามไปโดยไม่รอช้า หิมะโปรยปรายลงมาบนร่างจนเสื้อผ้าเปียกชื้น เวลานี้ฮูหยินร่างกายอ่อนแอไม่เหมือนเมื่อก่อน ประเดี๋ยวได้ล้มป่วยเป็นแน่