LOVE
ทดลองอ่านเรื่อง ภาพ รัก ลวง บทนำ – บทที่ 5
ฝ่ายภัทรยศเข้าใจถึงความอึดอัดของดุสิตาที่โดนรัชนีกรกันทุกกระบวนท่าให้ออกห่างจากลูกชาย ซึ่งยกแรกนี้แม่ของเพื่อนทำสำเร็จเสียด้วย
“รุทธ์รู้หรือเปล่าว่านิ้งออกมาแล้ว”
“จะรู้ได้ไง นิ้งไม่ได้บอกใคร” ดุสิตาตอบกวน ภัทรยศถอนใจยาว เขาบอกให้หญิงสาวโทรหาคนรักที่คงเป็นห่วงตามหา แต่เธอตอบกวนกว่าเดิม
“โทรศัพท์นิ้งแบตฯ หมด”
ภัทรยศหยิบโทรศัพท์ตัวเองยื่นให้ รุ่นน้องหัวดื้อยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาที่ไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของใครจึงทำแค่พิมพ์ข้อความบอกเพื่อน แต่รุทธ์คงไม่ได้อ่านเพราะไม่ได้โทรกลับมา
“งอนมากๆ ระวังเถอะ เกิดผู้ชายไม่ง้อขึ้นมาจะจ๋อย”
“ไม่ง้อก็ไม่ง้อ ไม่จ๋อยด้วย”
นอกจากไม่สนคำเตือน ดุสิตายังเชิดหน้าวางท่าหยิ่งยโส ภัทรยศขยับตัวเพื่อจ้องดูแววตาใกล้ๆ
“แน่ใจว่าไม่จ๋อย เพราะถ้าไม่โง่ขั้นสุดก็น่าจะรู้ว่าผู้ชายอย่างรุทธ์หาไม่ได้ง่ายๆ ดีไม่ดี สำหรับเราน่ะ ชาตินี้คงมีคนแบบรุทธ์ผ่านเข้ามาแค่คนเดียวด้วยซ้ำ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสว่างวาบด้วยความไม่พอใจเมื่อโดนดูถูก แต่อย่างไรแล้วดุสิตาไม่ชอบใจเรื่องรุ่นพี่หน้ายักษ์ตัวยักษ์รู้ทันตนเกินไปมากกว่า
“ถูกค่ะ นิ้งไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ใช่ของตายเหมือนกัน เพราะงั้นนิ้งเลยต้องทำให้พี่รุทธ์รู้เสียมั่งว่าความอดทนของนิ้งมีจำกัด”
“แต่พอนิ้งหนีกลับบ้าน อาจมีบางคนชอบใจ” ภัทรยศหมายถึงรัชนีกร แต่ดุสิตาเข้าใจเป็นอีกคน
“ปล่อยให้มันชอบใจไปเถอะ เดี๋ยวพอพี่รุทธ์ง้อนิ้ง มันก็จะรู้เองว่าที่ลงทุนหน้าด้านมางานวันเกิดไม่ได้ผลสักนิดเดียว”
ดุสิตาแสยะยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นึกในใจถึงเรื่องที่ตนตัดสินใจถูก เลิกโกรธงอนคนรักเรื่องชวนบงกชมางานวันเกิด ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นแววตาของผู้พ่ายแพ้ ทั้งตอนนี้เธอยังวางแผนแก้เกมไว้แล้วว่าถึงวันจันทร์เมื่อไรจะแสร้งให้รุทธ์งอนง้อตนต่อหน้าทุกคน ขณะภัทรยศพอดุสิตาเอ่ยถึงรุ่นน้องคนดังเขาก็เกิดคันปากจนถามขึ้นมา
“ถามจริงเถอะ ทำไมถึงจงเกลียดจงชังบัวนัก เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือไง” ผู้พูดคาดเดาส่งๆ อีกฝ่ายนิ่งเหมือนลังเลว่าจะตอบดีหรือไม่ แต่พอนึกถึงสิ่งที่คนรักเคยเล่าถึงภัทรยศว่าเป็นคนไม่มีลับลมคมในและไม่เคยแทงใครข้างหลัง ดุสิตาจึงพยักหน้า
“ถูกต้อง”
คนที่บังเอิญตอบถูกเผงตาโต เขาเผลอหลุดปากส่งเสียงดัง
“จริงดิ? เคยทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ไหนๆ พี่จุ้ยก็เดาเก่ง ไม่ลองเดาอีกทีล่ะคะ”
ภัทรยศกลอกตาครุ่นคิด ลองนึกว่าผู้หญิงสวยสองคนจะทะเลาะกันเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วบอกอย่างไม่แน่ใจนัก
“เรื่องผู้ชาย?”
“ถูกครึ่งนึงค่ะ”
“แล้วอีกครึ่ง”
“ไม่บอก”
รุ่นน้องทำท่าทางอย่างที่รุ่นพี่อยากเขกหัวแรงๆ สักทีหนึ่ง ทว่าภัทรยศยังมีมารยาทพอ เขาจึงไม่ซักไซ้ซอกแซกซึ่งทำให้ดุสิตาพอใจ
“ไม่อยากตอบกวนหรอกนะคะ แต่เล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อนิ้ง ดีไม่ดีจะมาหาว่านิ้งใส่ร้ายเพื่อนรัก น้องรักของพวกเค้าอีก”
ดุสิตาอดไม่ได้ที่จะประชดพลางหวนนึกถึงสิ่งที่เรียนรู้มาตลอดหกปี ที่ตอนแรกๆ ตนเคยเพียรพยายามบอกเล่าความจริงแต่กลับมีแค่แม่กับอาภาเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนที่เหลือต่างหาว่าเธอกุเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกฤษณากับบงกชเพื่อเอาตัวรอด เธอจึงคร้านจะเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องราวหนหลังที่ทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ภายในใจ
“เที่ยวพูดจาแขวะเก่งแบบนี้ ใครได้ยินเข้าเขาถึงไม่เชื่อ”
“งั้นต้องพูดยังไงคะ แบบนี้หรือเปล่า…Happy Birthday ค่ะพี่รุทธ์…บัวชอบขี่ม้าค่ะ”
ไม่เพียงเลียนเสียงหวานนุ่มนิ่ม ดุสิตายังเลียนแบบท่าช้อนตา ทัดผมเข้ากับหูของบงกชด้วย ส่วนภัทรยศนั้นคิดว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะรุทธ์เพิ่งเล่าเรื่องลิปสติกให้ฟัง เขาคงฟันธงไปแล้วว่าดุสิตาคือนางมารร้ายเหมือนอย่างยุทธนาตั้งฉายาให้
“เพิ่งว่าอยู่แหม็บๆ ก็เอาอีกละ ถ้าอยากให้คนเชื่อเรื่องที่เราเล่าก็หัดทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือสิ”
“ฟังพี่จุ้ยพูดแล้ว นิ้งสงสัยจังค่ะว่าความน่าเชื่อถือคือความจริง หรือความจริงคือสิ่งน่าเชื่อถือ”
ดุสิตาย้อนหน้าตาย ภัทรยศชักปวดหัวกับคนช่างเล่นคำที่ทำเอาเขาเจอทางตันไปไม่ถูกเลยทีเดียว แล้วแวบหนึ่งนั้นชายหนุ่มเกิดคิดถึงคำพูดของพ่อที่พร่ำบ่นให้ตนแต่งตัวดูดีเพื่อจะได้ดูมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหากเขาเชื่อพ่อสักนิด…ป่านนี้บางทีหญิงสาวอาจยอมฟังคำพูดของเขาบ้าง
“ความน่าเชื่อถือมันจำเป็น” ภัทรยศยืนยันความคิดตน จากนั้นลองแนะนำ “ถ้านิ้งอยากให้คนเชื่อเรื่องเล่าของนิ้ง นิ้งควร…”
“ทำลายความน่าเชื่อถือของยายบัว”
“เฮ้ย! นั่นมันวิธีการของพวกตัวร้าย”
“นิ้งเป็นตัวร้ายในสายตาทุกคนอยู่แล้ว”
“เลิกประชดแล้วฟัง” ภัทรยศส่งเสียงเข้ม อีกฝ่ายที่กำลังขยับปากแย้งว่าไม่ได้ประชดยอมปิดปากเงียบ “จะชนะต้องมีวิธีการที่ดีด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยถึงสิ่งที่พ่อกับแม่สอนให้จำขึ้นใจ “ที่ผ่านมานิ้งไม่เคยชนะบัวเพราะมัวใช้วิธีผิดๆ คิดว่าต้องแข่งขันกับบัวในทุกเรื่อง ซึ่งความจริงคนที่นิ้งควรแข่งขันด้วยมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก”
“พูดจาเหมือนพวกตาแก่” คนที่เพิ่งปิดปากได้แป๊บเดียวค่อนแคะ
“ลองฟังคนแก่แนะนำสักหน่อยเป็นไง” ภัทรยศนึกอยากหยิกปลายจมูกของคนฝีปากกล้า “แข่งกับตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้น อ้อ รวมถึงนิสัยด้วยล่ะ เลิกวีน เลิกจิกกัด หัดอดทนให้ได้มากกว่าวันนี้ แล้วพอกลายเป็นคนเก่ง เป็นคนใจเย็นมีเหตุผล ความน่าเชื่อถือก็ตามมาเอง ทีนี้พอเราพูดอะไรคนก็จะฟังและเชื่อถือ”
“สรุปความน่าเชื่อถือคือความจริง แหม ถ้าเกิดทำได้อย่างพี่จุ้ยบอก อีกหน่อยนิ้งโกหกอะไรก็ได้งั้นสิ เพราะยังไงคนก็เชื่ออยู่แล้ว”
“นิ้งไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้านิ้งคิดว่าที่ตัวเองถูกเล่นงานเป็นเพราะคนเชื่อถืออีกฝ่ายมากกว่า นิ้งก็คงไม่ใช้ความน่าเชื่อถือเป็นเครื่องมือทำลายใคร”
ภัทรยศบอกโดยมีดุสิตาฟังตาแป๋ว จากนั้นเธอหรี่ตาพร้อมกับเหยียดริมฝีปาก
“อย่ามาหลอกให้เชื่อเลย นิ้งรู้นะที่พี่จุ้ยบอกให้นิ้งแข่งกับตัวเอง เพราะอยากให้นิ้งเลิกยุ่งกับรุ่นน้องคนโปรด”
“แล้วแต่จะคิด”
รุ่นพี่แสดงอาการเหนื่อยใจ ทั้งยังรู้สึกเสียเวลา ภัทรยศมองออกนอกหน้าต่างรถประจำทางที่แล่นผ่านป่าหญ้าย่านชานเมืองใกล้กับมหาวิทยาลัย โดยไม่รู้ว่าที่คิดว่าเสียเวลานั้น ความจริงไม่ใช่ เพราะดุสิตากำลังครุ่นคิดบางอย่าง กระทั่งรถจอดตรงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย เธอก็นึกบางอย่างออก
“บ้านพี่จุ้ยอยู่ไหนคะ”
“เลยมาไกลแล้ว”
ดุสิตาหน้าเหลอ ถามด้วยความแปลกใจ
“แล้วทำไมพี่ไม่ลง อีกสามป้ายจะสุดสายแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยถึงอู่รถเมล์ใกล้หอพักตนเอง ภัทรยศบอกเสียงเรียบ
“พี่มาส่งเราน่ะสิ แต่งตัวสวยอย่างนี้ เดี๋ยวโดนใครฉุดขึ้นมาจะทำไง อีกอย่างพี่ส่งข้อความบอกรุทธ์แล้วว่าไม่ต้องห่วงเพราะจะไปส่งนิ้งให้”
ฝ่ายรุ่นน้องนิ่งเงียบ มองใบหน้าดุที่พอมองดีๆ ก็ไม่ค่อยดุเท่าไร แถมพอแต่งตัวเข้าทีก็ดูดีอย่างที่สาวๆ ในคณะหลายคนเคยชม จากนั้นได้เอ่ยลอยๆ กับคนที่มัดผมเรียบแปล้
“พี่จุ้ยก็แต่งตัวหล่อเหมือนกัน ระวังเถอะ ขากลับจะโดนใครฉุดเข้า”
“ดีสิ พี่จะได้มีสามีสักที” ภัทรยศเอ่ยหน้าตายพลางเหลือบมองคนที่มองตนราวเป็นคนเพี้ยน ก่อนต่างฝ่ายจะหันไปทางหน้าต่างและต่างสัมผัสได้ถึงสายลมฤดูหนาวอันอบอุ่น