LOVE
ทดลองอ่านเรื่อง ภาพ รัก ลวง บทนำ – บทที่ 5
บทที่ 5
แทบทุกคนตรงบริเวณด้านหลังตึกคณะบริหารธุรกิจล้วนแสดงความประหลาดใจเมื่อมองไปยังซุ้มที่นั่งของรุ่นพี่ปีสี่ ยิ่งพอได้ยินเสียงหัวเราะของดุสิตากับภัทรยศดังขึ้นพร้อมกันแต่ละคนก็ทำหน้าตาราวเห็นต้นคูนออกดอกในฤดูหนาว มิหนำซ้ำยังออกดอกเป็นสีม่วงเสียด้วย
ชโลธรยังคงเล่าเรื่องโดนลวนลามบนรถเมล์เมื่อเช้าด้วยความโมโห ขณะอรอุมา ยุทธนา ภัทรยศ และดุสิตาขบขันชอบใจเรื่องที่เจ้าตัวประเคนหมัดใส่คนจิตทรามจนปากแตกวิ่งหนีลงจากรถแทบไม่ทัน
“เสียดายที่มันดันหนีไปได้ ไม่งั้นล่ะก็…” ชโลธรชูกำปั้นเล็กๆ ยุทธนาซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามคู่กับภัทรยศกระเซ้า
“ทำไม ถ้ามันไม่หนีไปก่อนจะยื่นก้นอีกข้างให้มันจับด้วยหรือไง”
“ไม่ตลก”
คนโดนลวนลามทำหน้าดุ ยุทธนาที่ตั้งใจแหย่ให้เพื่อนหายโกรธแค้นหุบปากฉับ ฝ่ายอรอุมาส่งเสียงขยะแขยง
“พวกโรคจิต น่ากลัวชะมัด แล้วหน้าตามันเป็นยังไง อายุประมาณเท่าไหร่”
คำตอบของชโลธรทำทุกคนแปลกใจ เพราะคนโรคจิตมีวัยราวสี่สิบปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งตัวเรียบร้อยอย่างคนทำงานออฟฟิศ อรอุมาจึงยิ่งออกอาการหวาดกลัว
“ตายละ งั้นเหมือนคนปกติทั่วไปจนแยกไม่ออกเลยสิ…เสียดายที่โป้ยไม่ได้ถ่ายรูปมันจะได้เอาไปให้แม่น้องบัวจัดการ”
อรอุมาคิดถึงบงกชที่มีแม่เป็นถึงโฆษกมูลนิธิช่วยเหลือสตรี ชโลธรซึ่งนั่งตรงกลางระหว่างเพื่อนกับรุ่นน้องขยับปากจะบอกอย่างฉุนเฉียวว่าเหตุการณ์เกิดรวดเร็วอย่างนั้นใครจะทันมีเวลาคิด ทว่าไม่ทันเอ่ย จู่ๆ อรอุมากลับหรี่ตามองยุทธนาพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“พูดถึงน้องบัว…รู้มั้ยสัปดาห์ก่อนเราเห็นน้องบัวคุยกับผู้ชายคนนึงที่หน้าคณะอักษรฯ หน้าตาหล่อน่าดู”
“ใคร” ยุทธนาทำเสียงแข็ง
“จะไปรู้เหรอ แต่ให้เดาคงเป็นพวกเรียนปริญญาโท” คนเล่านึกถึงชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง อายุประมาณสามสิบต้นๆ “ไม่น่าใช่อาจารย์ เพราะถ้าเป็น หน้าตาดีขนาดนั้นเราต้องเคยเห็น”
อรอุมามั่นใจ ยุทธนาดูสบายใจขึ้น จากนั้นเขาบอกข้อมูลที่เลียบเคียงสอบถามจากบงกชมาเรียบร้อยแล้ว
“เราเคยเห็นแล้ว หน้าตางั้นๆ ไม่เห็นหล่อเท่าไหร่…หมอนั่นเรียนปริญญาโทเหมือนอย่างเอ้บอกนั่นแหละ ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องบัวด้วยแค่ทักทายกันเฉยๆ เพราะน้องบัวเคยรู้จักกับหมอนั่นตอนเค้าไปดูงานกิจกรรมที่มูลนิธิของแม่น้องบัวตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้วโน่น”
ยุทธนารายงานถึงชายหนุ่มหน้าตาเข้าทีที่น่าจะเป็นคนเดียวกับที่อรอุมาเอ่ยถึงซึ่งตนเคยเห็นบงกชพูดคุยด้วยตรงลานจอดรถ โดยรถยนต์หรูของอีกฝ่ายเคยทำให้ยุทธนากระวนกระวายไม่น้อยกระทั่งรู้ว่าชายคนนั้นเป็นแค่คนรู้จักของรุ่นน้องก้อนหินหนักอึ้งที่ทับอยู่บนอกก็กลายเป็นเพียงปุยนุ่น
ฝ่ายอรอุมาได้ยินดังนั้นดวงตาจึงแวววาว ยื่นหน้าถามด้วยความสนใจ
“ถามน้องบัวมาหรือเปล่าว่าพี่เค้าชื่ออะไร”
“ถาม แต่เราลืมชื่อไปแล้ว”
“ไอ้เต้ย ไอ้ความจำเสื่อม ทียังงี้ล่ะไม่รู้จักจำ”
“จำทำไมให้เปลืองพื้นที่สมอง” ยุทธนาตอบกวนถึงคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องจดจำเนื่องจากไม่ใช่ศัตรูหัวใจ จากนั้นทำตาลอยหวานเยิ้ม “อีกอย่างสมองเรามีไว้จำไว้คิดเรื่องของน้องบัวคนเดียว”
เกิดเสียง ‘แหวะ’ ดังลั่นจากเพื่อน ยกเว้นภัทรยศคนเดียวที่ไม่ได้เอ่ยหรือแสดงสีหน้าใดนับตั้งแต่อรอุมาเล่าถึงบงกช ซึ่งจะว่าไปเขาเองแทบไม่ได้ฟังเรื่องของรุ่นน้องคนดังด้วยซ้ำเพราะมัวให้ความสนใจกับผู้ที่นั่งอยู่อีกข้างของชโลธร
ดวงตาเข้มจับจ้องดวงหน้าคม ภัทรยศไม่รู้ว่าดุสิตาสามารถปล่อยเรื่องราวของบงกชผ่านหูโดยไม่ชักสีหน้าได้อย่างไร เหมือนอย่างที่ไม่รู้ว่าเหตุใดในระยะหลังหญิงสาวถึงกลายเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ทำบึ้งตึงเย็นชากับรุ่นพี่และเพื่อนรุ่นเดียวกัน
อรอุมาเคยบอกว่าดุสิตาสร้างภาพ ภัทรยศไม่แน่ใจนักกับเหตุผลดังกล่าว เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะความรักก็ได้ที่ทำให้หญิงสาวยอมปรับปรุงตัวเอง หากอย่างไรลงท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นเพียงการสร้างภาพหรือเกิดมาจากความรัก หรือเพราะอื่นๆ ภัทรยศไม่อาจรู้ได้อยู่ดี
ชายหนุ่มรู้สึกตัวเมื่อดวงตาสวยคมแปลกตาเบนหันมาทางตน แววตานั้นแสดงความฉงนเหมือนอย่างเวลาเด็กหญิงตัวน้อยสงสัยการกระทำของผู้ใหญ่ ภัทรยศให้คำตอบด้วยการเลี่ยงหลบตาไปทางอื่นซึ่งนั่นทำให้เขาเห็นว่าชโลธรกำลังขมวดคิ้วใส่ตนและด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จู่ๆ ชโลธรจึงถาม
“รุทธ์ยังมาไม่ถึงอีกเหรอนิ้ง”
“ถึงแล้วค่ะ” ดุสิตาเอ่ยถึงข้อความที่รุทธ์เพิ่งส่งมาว่ากำลังจอดรถ เธอมองไปยังทางเดิน ส่งยิ้มเมื่อเห็นคนที่รุ่นพี่ถามหา
รุทธ์เดินเร็วมายังซุ้มที่นั่ง เขานั่งลงข้างภัทรยศ บ่นถึงเรื่องการจราจรจนโดนยุทธนาค่อนแคะว่าดีแค่ไหนที่มีรถขับไม่ต้องทนดมฝุ่นควันเหมือนคนอื่น
ฝ่ายถูกเหน็บแนมมองอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่พูดว่าอะไร จากนั้นรุทธ์จึงถามดุสิตา
“โทรหาป้าภาหรือยัง”
“โทรนัดเรียบร้อยแล้วค่ะ ป้าภาบอกอยากได้นม ขนม ผ้าอ้อม”
แม้เป็นการคุยกันสองคนแต่คนอื่นที่เหลือต่างสงสัยจนอรอุมาชะโงกหน้าเข้ามาถาม
“ป้าภาไหนเหรอรุทธ์”
รุทธ์บอกให้ดุสิตาเป็นคนเล่า
“ป้าภาเป็นคนแถวบ้านนิ้งค่ะ แกรับเลี้ยงเด็กที่พ่อแม่ยากจนไม่มีเวลาดูลูก” ดุสิตาเกริ่นถึงอาภาผู้อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกับตนและสนิทสนมกันดีราวเป็นญาติสนิท ชโลธรถาม
“เป็นมูลนิธิอะไรยังงี้เหรอ”
“เปล่าค่ะ ป้าภาไม่ได้เปิดมูลนิธิ แกแค่ช่วยรับเลี้ยงเด็กๆ เวลาที่พ่อแม่ต้องไปทำงาน แล้วพ่อแม่เด็กเค้าจะมีค่าใช้จ่ายให้ แต่ไม่มากหรอกค่ะเพราะแต่ละคนฐานะไม่ดี นิ้งเลยชวนพี่รุทธ์ไปช่วยบริจาคของ”