บทที่ 2 เด็กกำพร้าที่ฝากไว้ให้ดูแลก่อนเสียชีวิต
“ฉางยวน…”
“กู้ฉางยวน…”
กู้ซิ่งจือสะดุ้งเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อเขา
ในม่านตาเป็นสีแดงอมส้มเหมือนหมู่เมฆยามสายัณห์ที่เห็นได้บ่อยในยามพลบค่ำของฤดูร้อน แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นกลับเป็นไฟที่กำลังลุกโชนบนแม่น้ำฉินไหว แสงอาทิตย์และแสงไฟสะท้อนอยู่ในน้ำดุจทะเลเพลิง แสงและน้ำสะท้อนซึ่งกันและกัน เปลวเพลิงลุกไหม้อย่างเหิมเกริม
ทว่าท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้จู่ๆ ลำคอยาวระหงและแผ่นหลังที่เรียบเนียนของหญิงสาวก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำและเปลวเพลิง ที่มุมหนึ่งมีสีแดงทองกระจายตัวออกอย่างเงียบๆ เป็นต้นหางแมวที่ออกดอกบานสะพรั่งท่ามกลางซากปรักหักพัง
หยดน้ำกลิ้งลงมาตามแผ่นหลังขาวผ่องของนาง ไหลเรื่อยมายังสะบัก ก่อนจะหายไปตรงลักยิ้มที่บั้นเอว เส้นโค้งเว้าที่เรียบเนียนของแผ่นหลังประดุจแจกันทรงหงส์หยกขาว
เท้าที่โผล่พ้นน้ำชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนหญิงสาวจะสัมผัสได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่ง นางหันมาสบตาเขาราวกับอยู่ในความฝัน
“เฮือก…”
เสียงหายใจเร็วและแรง กู้ซิ่งจือกดหน้าอก สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
เขามึนงงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาทำให้หน้าต่างบานหนึ่งส่งเสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ แสงเทียนรอบๆ ตัวส่ายไหว ทั้งห้องเงียบกริบ เขาจึงถอนหายใจยาวออกมา
ภายในห้องพระจุดไม้กฤษณาไห่หนาน ควันจางๆ รวมตัวกันแล้วลอดผ่านพระจันทร์อันหนาวเย็นที่มุมหน้าต่าง เขาวางลูกประคำในมือลงแล้วยืดตัวตรง
มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังอยู่ที่หน้าประตู แสงของโคมไฟส่องทะลุความมืดและหน้าต่างเข้ามา กู้ซิ่งจือสะดุ้งเล็กน้อย
“นายท่าน” เป็นเสียงของลุงฝูพ่อบ้านชรา ดูเหมือนอีกฝ่ายกังวลว่าจะรบกวนเขา เสียงที่เอ่ยออกมาจึงเบาเป็นพิเศษ “ใต้เท้าฉินขอเข้าพบ บอกว่ามี…มีเรื่องสำคัญขอรับ”
ประตูตรงหน้าถูกดึงเปิดออกอย่างแรง ลุงฝูเห็นใบหน้าซีดเซียวที่อยู่หลังบานประตู…ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดซีดเผือดจากความหนาวเย็น เหมือนพระจันทร์ที่ตกลงไปในเงาของต้นสนและต้นไผ่ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้า
ลุงฝูนิ่งงันไปชั่วขณะ ได้แต่รู้สึกเห็นใจ
ทุกคนต่างชื่นชมว่า ‘หนานฉีมีขุนนางอยู่มากมาย ซิ่งจือนั้นไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้’ แต่สิ่งที่ไม่มีใครเทียบนายท่านของเขาได้ไม่ใช่แค่ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและคุณธรรมในการช่วยเหลือทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือใบหน้าที่ทำให้บรรดาสาวน้อยในหนานฉีต่างใฝ่ฝัน
ทว่าตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันก่อนหลังจากเฉินเหิงเสนาบดีของราชสำนักถูกลอบสังหารบนถนนหน้าวังหลวง ใบหน้านั้นคงจะทำให้บรรดาสาวน้อยในหนานฉีต่างสงสารจับใจ…
“เฮ้อ…” ลุงฝูถือโคมไฟเดินตามหลังกู้ซิ่งจือ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ทว่าจู่ๆ ก็เดินเซโดยไม่ทันระวัง ล้มลงใส่หลังของกู้ซิ่งจือ
“ระวัง!”
ลุงฝูกำลังกังวลใจ กลับรู้สึกว่าแขนตึงขึ้นและมือถูกกู้ซิ่งจือประคองไว้ มือของเขาสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายที่บีบแน่นเล็กน้อย
“ถือไว้เถิด” กู้ซิ่งจือหยิบเตาพกใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้เขา “คืนฤดูใบไม้ผลิอากาศหนาว ต่อไปเมื่ออยู่เวรกลางคืนก็พกติดตัวไว้ หลังยามไฮ่* ก็ไม่ต้องรอข้าแล้ว ไปพักก่อนได้เลย”
“ได้อย่างไรกันขอรับ!” ลุงฝูพูดด้วยความตกใจ “เจ้านายยังไม่พักผ่อน บ่าวรับใช้จะพักก่อนได้อย่างไรกัน”
กู้ซิ่งจือได้แต่พูดเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
ลุงฝูรู้ว่าถึงแม้จวนสกุลกู้จะใหญ่โต แต่เจ้านายเป็นคนสันโดษ และบ่าวรับใช้ก็น้อยจนน่าเห็นใจ เขาเป็นชายชราที่รับใช้ใกล้ชิดนายท่าน จะเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะกำลังคิดว่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างไรดี มือของกู้ซิ่งจือก็ผ่อนคลายลง รับโคมไฟจากมือของลุงฝูไป โบกมือพลางเอ่ยบอก
“ไปนอนเถิด”
“ขอรับ…” ลุงฝูประนีประนอม รู้ว่านิสัยของผู้เป็นนายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงไม่ดึงดันและหันหลังกลับ
ในห้องโถงจุดตะเกียงสองสามดวง สะท้อนให้เห็นเงาร่างรางๆ สองสามร่าง กู้ซิ่งจือดับไฟในโคมไฟแล้วผลักประตู คนที่อยู่ข้างในมีไม่มาก เสื้อผ้าเปื้อนเลือดของคนที่เป็นหัวหน้าเปลี่ยนจากสีฟ้าอมเขียวเป็นสีน้ำเงินอมม่วง
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ?” โคมไฟในมือถูกโยนลงพื้น กู้ซิ่งจือประคองมือของฉินซู่
“ข้าไม่เป็นไร” ฉินซู่ยิ้มเศร้าหมอง พลิกมือมาจับมือกู้ซิ่งจือ รอยเลือดบนมือนั้นแห้งแล้ว เหลือเพียงเส้นสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น
“การล่อจับ…” ฉินซู่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ล้มเหลวแล้ว…”
กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
“นักฆ่ามีสองคน คนหนึ่งทิ้งสหายหลบหนีไป ส่วนอีกคน…”
กู้ซิ่งจือยังคงไม่พูดอะไร จ้องตาที่หม่นหมองราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนของฉินซู่