ฉินซู่หลบตาเขา ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อีกคนหนึ่งถูกยิงตายด้วยลูกธนูท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย”
“เหตุใดจึงปล่อยให้เขาตาย”
“เพราะว่า…” ฉินซู่สะอื้น มือที่จับมือกู้ซิ่งจือแน่นยิ่งขึ้น “เพราะคนที่หลบหนีไปจับฉินเจาเป็นตัวประกัน ก่อนหนีไปได้ผลักเขาไปหานักฆ่าอีกคนหนึ่ง ขณะตื่นตระหนกนักฆ่าคนนั้นได้ชักกระบี่ออกมาแทงฉินเจาจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อคนบนฝั่งเห็นดังนั้นจึงได้สั่งให้ยิงธนู”
กู้ซิ่งจือตกตะลึง ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เขาละสายตาจากรอยเลือดบนมือของฉินซู่แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ท่ามกลางผู้คนในห้องโถง
เขาหันกลับมามองฉินซู่ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด กัดฟันพูดว่า “เลือดนี้เป็นเลือดของฉินเจา?”
ฉินซู่พยักหน้าช้าๆ “หมอได้ตรวจดูแล้ว แต่บาดเจ็บตรงจุดสำคัญและเสียเลือดมาก เสียชีวิตแล้ว” ขณะพูดเขาก็หยิบถุงผ้าเปื้อนเลือดออกมาจากอกเสื้อมอบให้กู้ซิ่งจือ “นี่คือสิ่งที่เขาวานข้ามอบให้เจ้าก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ขอให้เจ้าช่วยตามหาคนคนหนึ่งให้เขา ส่วนเป็นใครนั้น เขาบอกว่าเจ้ารู้ดี”
แสงจันทร์เย็นยะเยือกสาดส่องทั่วพื้น
เวลานี้กู้ซิ่งจือเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองลืมอะไรไป…วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฉินเจา เขาจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนฉินเจาเคยพูดกับเขาด้วยความดีใจว่าตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันไปหลายปีพบแล้ว รอถึงวันคล้ายวันเกิดก็จะไปรับนางกลับมา
ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาให้ฉินเจาไปร่วมการล่อจับครั้งนี้ วันนี้อีกฝ่ายคงจะได้ไปรับน้องสาวผู้นั้นแล้ว
สกุลกู้สามรุ่นมีผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว เขาไม่มีพี่น้อง เขารู้จักฉินเจามาตั้งแต่เด็กและเป็นสหายร่วมชั้นเรียนในสำนักศึกษาหลวง เป็นเวลาสิบปีฉินเจาฝึกด้านบู๊ ส่วนเขาเรียนด้านบุ๋น วันเวลาในวัยหนุ่มที่คึกคะนอง แต่งกายงดงามควบม้าด้วยความฮึกเหิมเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“ฉางยวน…” ฉินซู่คลายมือเขาออกแล้ววางถุงผ้าใบนั้นลงไป พูดอย่างอัดอั้นตันใจว่า “เสียใจด้วย”
กู้ซิ่งจือรู้สึกตัวแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ นิ้วทั้งสิบประสานกันแน่น เก็บถุงผ้าใบนั้นไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ
ฉินซู่ลังเลเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า “นักฆ่าที่หลบหนีไปวันนี้เลือกที่จะกระโดดลงไปในแม่น้ำใต้โคมไฟบนเรือ ท่ามกลางความโกลาหลลูกธนูยิงโคมไฟตกลงมา ทำให้เรือไฟในแม่น้ำฉินไหวลุกเป็นไฟ แม้ว่าจะไม่มีชาวบ้านบาดเจ็บเสียชีวิต แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นเรื่องน่าขันของกรมอาญา แทนที่จะรอจนถึงวันพรุ่งนี้เพื่อให้คนของเสนาบดีอู๋เย้ยหยัน ข้าคิดว่าจะเข้าวังประเดี๋ยวนี้…”
กู้ซิ่งจือเข้าใจความหมายของฉินซู่ จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
แสงจันทร์ยังคงเย็นยะเยือก ส่องผ่านม่านรถไปที่เสื้อคลุมสีม่วง ทุกคนต่างรู้กันดีว่ากู้ซิ่งจือชอบกลิ่นธูป ไม่ว่าจะอยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือในรถม้าก็จะต้องจุดธูปเสมอ ไม่ว่าจะเพื่อสงบจิตใจหรือเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายก็ตาม ดังเช่นธูปลายนกกระทาข้างๆ มือในเวลานี้ ควันจางๆ รวมตัวกัน เหมือนสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่กำลังอึมครึม
เสนาบดีเฉินถูกลอบสังหารบนถนนหน้าวังหลวงเมื่อเจ็ดวันก่อน สำหรับราชสำนักนับเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นถึงเสนาบดีกลับต้องมาตายระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน ข่าวอันน่าตกใจนี้ราวกับสายลมพัดไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วทั้งภายในและภายนอกราชสำนัก
ฮ่องเต้ฮุยตี้พิโรธอย่างยิ่ง มีบัญชาให้สอบสวนอย่างละเอียด
และเวลานี้ราชสำนักมีฝักฝ่ายมากมาย ในจำนวนนั้นที่ไม่ลงรอยกันมากที่สุดก็คือฝ่ายใช้กำลังที่มีเสนาบดีเฉินเหิงเป็นผู้นำและฝ่ายสันติที่มีเสนาบดีอู๋จี๋เป็นผู้นำ
ผู้ที่รับผิดชอบงานนี้คือกู้ซิ่งจือรองราชเลขาธิการที่เป็นกลางมาโดยตลอด
กู้ซิ่งจือรู้ว่าสิ่งที่สำคัญในเวลานี้คือการสืบสวนคดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจะทำให้ฝ่ายใช้กำลังกับฝ่ายสันติที่ไม่ลงรอยกันสงบลงได้อย่างไร