ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2
พระจันทร์ลอยสูงขึ้นอย่างเงียบๆ รถม้าหยุดที่หน้าประตูเจิ้งลี่ เสี่ยวหวงเหมิน นำทั้งสองคนไปที่พระตำหนักฉินเจิ้ง
โอสถภายในห้องบรรทมที่กว้างขวางส่งกลิ่นฉุนแรง ในห้องที่เงียบสงบจุดกำยานที่ช่วยให้นอนหลับ
ด้านหลังฉากกั้นลายเก้ามังกรเล่นไข่มุกมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม ดูเหมือนกำลังกินยา มือที่ซูบผอมข้างหนึ่งจับชามกระเบื้องสีขาว เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกม่านจึงปิดปากและไอเบาๆ
“ถวายบังคมฝ่าบาท…”
“ลุกขึ้น” ฮ่องเต้ฮุยตี้โบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนยืนขึ้น ต้าหวงเหมิน พาทั้งสองคนไปนั่งหลังฉากกั้น จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วถอยออกไป
สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปที่ชามยาข้างมือฮ่องเต้ฮุยตี้
ฮ่องเต้ฮุยตี้ร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ยังเยาว์ สมัยเป็นรัชทายาทก็เจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง หลังอายุครบยี่สิบแปดจึงได้มีพระโอรสองค์โต ดังนั้นในเวลาสิบกว่าปีที่ครองบัลลังก์ก็ป่วยเสียเป็นส่วนมาก ราชกิจทั้งหมดในราชสำนักส่วนใหญ่จะมอบหมายให้เฉินเหิงและอู๋จี๋เป็นคนจัดการ
เวลานี้เมื่อเฉินเหิงจากไป ภาระทางการเมืองกดดัน ดูเหมือนโรคเก่าของฮ่องเต้จะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
“เมื่อครู่คนของหน่วยพิทักษ์เมืองมารายงาน เหตุการณ์คืนนี้ข้ารู้แล้ว” น้ำเสียงของฮ่องเต้ฮุยตี้ราบเรียบแผ่วเบาและเหนื่อยล้า นอกจากความอ่อนแอจากอาการป่วยแล้วก็ฟังอารมณ์อย่างอื่นไม่ออกแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา” ฉินซู่ยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง
สำหรับหลานชายคนนี้ฮ่องเต้ฮุยตี้เมตตาเขาเสมอมา แต่การคุกเข่าครั้งนี้พระองค์กลับไม่ได้เอ่ยอันใดเป็นเวลานานและก็ไม่ได้ให้ฉินซู่ลุกขึ้น
ภายในพระตำหนักเงียบงันเป็นเวลานาน จากนั้นฮ่องเต้ฮุยตี้ก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เดิมทีการล่อจับก็เหมือนการพนัน เรื่องเหนือความคาดหมายไม่ถือเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง จื่อวั่งไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เพียงแต่…” พระองค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคนที่ติดตามรับใช้คือองครักษ์ฉินปลอมตัวไป วิธีล่อเสือออกจากถ้ำเช่นนี้ กู้ชิง ปิดบังแม้กระทั่งข้า”
“กราบทูลฝ่าบาท” กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวคุกเข่าลง “กระหม่อมทำเช่นนี้ ประการแรกก็เพราะคำนึงถึงพระพลานามัยของพระองค์ ไม่ต้องการให้พระองค์ต้องทรงกังวลพระทัยเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ประการที่สอง…” กู้ซิ่งจือชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “กระหม่อมสงสัยว่าคนที่ลอบสังหารเสนาบดีเฉินจะเป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก หากเปิดเผยว่าการติดต่อเจรจาครั้งนี้เป็นเพียงการล่อจับปลอมๆ ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จ จึงได้คิดเองทำเอง ขอฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา”
มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังก้องที่ข้างหู เป็นเสียงกระเบื้องสีขาวกระทบกัน กู้ซิ่งจือเงยหน้าขึ้น เห็นบนโต๊ะมีโอสถกระเซ็นออกมาจำนวนมาก และใบหน้าของฮ่องเต้ฮุยตี้ก็ซีดเผือดลงอีก
“กู้ชิงดูจากอะไร”
กู้ซิ่งจือคุกเข่าอยู่อย่างสงบนิ่งขณะเอ่ยว่า “เสนาบดีเฉินถูกสังหารบนถนนหน้าวังหลวงเมื่อเจ็ดวันก่อน ตามที่บ่าวรับใช้ในจวนของเขาบอก คืนนั้นเสนาบดีเฉินนั่งรถม้าเข้ามาในวังหลวงเพื่อหารือกับฝ่าบาทเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันทางการทหาร บันทึกการปฏิบัติหน้าที่ในจวนแสดงให้เห็นว่าเขาได้พาคนสองคนติดตามมาด้วย…คนบังคับรถม้าคนหนึ่งและคนติดตามรับใช้คนหนึ่ง แต่หลังจากเกิดเหตุไม่นานก็มีทหารรักษาพระองค์ที่ลาดตระเวนในเมืองพบศพหลายร่าง ในจำนวนนี้เป็นร่างของเสนาบดีเฉินที่ถูกฟันคอหนึ่งแผลและที่หน้าอกหนึ่งแผล และร่างของคนบังคับรถม้าถูกฟันที่หน้าอกหนึ่งแผล นักชันสูตรพลิกศพได้ตรวจสอบแล้ว บอกว่าบาดแผลของทั้งสองคนเป็นสีดำ มีสาเหตุมาจากการอาบยาพิษบนกระบี่ นี่แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีการเตรียมตัวมาก่อน และพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าการเผชิญกับการลอบสังหารที่โหดเหี้ยมและการเตรียมการสังหารอย่างแยบยลเช่นนี้ คนติดตามรับใช้ในบันทึกการปฏิบัติหน้าที่คนนั้นกลับสามารถหนีเอาตัวรอดได้ และไม่ว่ากรมอาญากับศาลต้าหลี่จะค้นหาเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนติดตามรับใช้คนนั้นจะเป็นฆาตกร” ฮ่องเต้ฮุยตี้เอ่ยถาม
กู้ซิ่งจือไม่ปฏิเสธ พูดเพียงว่า “ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว หลังจากคนติดตามรับใช้คนนั้นหลบหนีไปได้ก็ไม่ได้รายงานต่อทางการ ไม่ขอความช่วยเหลือ กระหม่อมคาดเดาว่าถ้าเขาไม่ใช่ฆาตกร อย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้เรื่องราวภายในบ้าง แต่หลังจากที่กระหม่อมเปรียบเทียบบันทึกและศพแล้วก็พบว่าในรายชื่อบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเฉินไม่มีชื่อของคนติดตามรับใช้คนนี้”
“ดังนั้น?” ฮ่องเต้ฮุยตี้ขมวดคิ้ว
“ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องผิดปกติมากพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือพูด “เสนาบดีเฉินเข้าวังยามดึก กลับมีคนติดตามรับใช้ที่ไม่มีใครรู้จักตามมาด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเสนาบดีของราชสำนัก แม้แต่พ่อค้าผู้มั่งคั่งที่ออกไปข้างนอกยามดึกก็คงจะไม่ประมาทเช่นนี้ เป็นการเอาชีวิตของตัวเองไปไว้ในมือคนอื่นชัดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฮุยตี้ยืดกายขึ้น เห็นสีหน้าของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียดขึ้นมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น” กู้ซิ่งจือมั่นใจ “คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่เสนาบดีเฉินรู้จักและไว้วางใจ”
ทันทีที่พูดออกไป ฮ่องเต้ฮุยตี้และฉินซู่ต่างตะลึงงัน
เฉินเหิงเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง คนที่จะได้รับความไว้วางใจจากเขาเดิมทีก็มีไม่มาก และทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงในราชสำนัก
บุคคลระดับนี้จะไม่มีวันลงมือเอง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนติดตามรับใช้ผู้นั้นจะถูกคนอื่นบงการ
ดังนั้นเพียงปล่อยข่าวออกมาก็ทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังคิดว่าคนติดตามรับใช้ผู้นั้นแปรพักตร์แล้วร่วมมือกับกรมอาญาโดยใช้วิธีแหวกหญ้าให้งูตื่น บีบให้งูพิษที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพงหญ้าออกมา
คำว่า ‘เชื่อใจ’ เป็นจุดอ่อนที่ใช้ได้เสมอ
ไม่เคยคิดเลยว่าเหยื่อจะได้ผล แต่ปลากลับหนีไปได้
เฮ้อ…เป็นปลาหางลื่นจริงๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ย. 67