รถม้าแล่นผ่านตรอกที่เสียงดังวุ่นวายและตลาดที่คึกคักมาถึงริมฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำฉินไหวที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองจินหลิง ถึงแม้จะยังไม่มืด แต่ที่นี่ก็มีคนเดินขวักไขว่ รถม้าวิ่งกันเกลื่อนกล่น
หลังจากผ่านทางแยกสองทาง กู้ซิ่งจือก็ให้คนบังคับรถจอดรถม้าไว้ด้านนอกหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในริมฝั่งทางตอนใต้
จริงดังที่เขาคาดไว้ มีผู้คนมากมายรายล้อมอยู่หน้าประตูหอคณิกา ขุนนางและฝ่ายตรวจการลาดตระเวนเมืองหลายคนต่างกำลังมองผู้ที่กำลังตีอกชกหัวอยู่ตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมที่เป็นงานปักซู* สีเหลืองทอง ทั้งที่เป็นสีสดซึ่งทำให้ดูล้าสมัย แต่เมื่อสวมอยู่บนตัวคนผู้นั้นกลับไม่ได้ดูผิดปกติแม้แต่น้อย ประกอบกับแสงแดดที่สาดส่องอยู่รอบตัวช่วยขับให้คนผู้นั้นดูเปล่งประกายยิ่งขึ้น
ดวงตากลมโตสดใสคู่นั้นหรี่ปรือเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ ทำให้คนอดต้องการที่จะเข้าใกล้ไม่ได้ เพื่อดูว่าข้างในนั้นซ่อนความหวานซึ้งไว้มากเพียงใด
“ใต้เท้า!” เมื่อผู้บัญชาการหน่วยพิทักษ์เมืองเห็นกู้ซิ่งจือก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาโค้งคำนับ ใช้สายตาสอบถามอย่างไม่มีเสียงว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับใครกันแน่
เวลานี้เองบุรุษที่กึ่งเมาผู้นั้นก็มองมาทางกู้ซิ่งจือเช่นกัน แล้วตะโกนเรียกด้วยความประหลาดใจทันที
“พี่ฉางยวน!”
เสียงนั้นดังมากจนคนหูหนวกยังได้ยิน ดังก้องไปทั่วฟ้า สายตาทุกคู่ถูกดึงดูดไปที่ตัวของกู้ซิ่งจือโดยธรรมชาติ
ทว่าเขายังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิมและไม่ได้ตอบคำถามของผู้บัญชาการ เดินไปหาคนผู้นั้น
“พี่ฉางยวน…” เสียงแหบพร่าอ่อนโยนเล็กน้อยหลังจากเมา มือข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากแขนเสื้อกว้างสีเหลืองทองยื่นไปทางกู้ซิ่งจือ แต่ถูกกู้ซิ่งจือคว้าข้อมืออย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที “กู้ฉางยวน!”
กู้ซิ่งจือไม่สนใจ จับคอเสื้อเขาแล้วยกขึ้น ถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจะไปเองหรือให้ข้าช่วยเจ้า?”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและสงบนิ่ง ปราศจากการข่มขู่แม้แต่น้อย ราวกับนี่เป็นเพียงการถามตามปกติ
แต่คนที่ฟังกลับตัวสั่น ชิงพูดว่า “ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และเป็นศิษย์อาจารย์คนเดียวกัน…อ๊ะ! ปล่อยนะ! ขาดใจแล้ว ขาดใจแล้ว! ข้าไป ข้าไปกับเจ้ายังไม่พอใจหรือ!”
จากนั้นกู้ซิ่งจือจึงยอมผ่อนแรงมือ เงยหน้าขึ้นมองหอคณิกาที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วพูดกับบ่าวรับใช้เบาๆ ว่า “ห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง ไม่ต้องการสตรีมารับใช้”
“เจ้าไม่ต้องการ ข้า…ต้องการ…ก็ได้ ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน…”
ทั้งสองคนเดินตามกันขึ้นไปบนชั้นสอง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำการค้าของหอคณิกา แขกในหอมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งและลูกหลานของขุนนางที่ชอบความหรูหราจึงมาหารือกันที่นี่ ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงไม่นับว่าอึกทึกจนเกินไป
กลิ่นหอมของชาตลบอบอวล กู้ซิ่งจือสั่งธูปลายนกกระทาเพิ่มหนึ่งกระถาง ควันสีขาวลอยละล่อง หมอกปกคลุมเต็มห้อง
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันไม่พูดจา ครู่หนึ่งในที่สุดกู้ซิ่งจือก็ถามว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
คนผู้นั้นพิงอยู่บนเตียงหลัวฮั่น งอขาข้างหนึ่ง ตอบในท่านั่งที่ไม่น่ามอง “วันนี้ เพิ่งลงจากเรือ”
“เพิ่งลงจากเรือก็ก่อความวุ่นวายเช่นนี้ เจ้ากลัวว่าเกียรติยศตลอดชีพของเยียนอ๋องจะไม่พอให้เจ้าทำลายหรืออย่างไร” กู้ซิ่งจือรินน้ำชาแล้วพูดด้วยท่าทางสบายๆ
เยียนอ๋องก็คือน้องชายคนที่สี่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นท่านอ๋องที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสถาปนาด้วยตัวเองและเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และได้ฝังพระศพไว้ที่เนินม้าขาวระหว่างเคลื่อนทัพไปทางเหนือเมื่อสิบหกปีก่อน
ว่ากันว่าพ่อเสือไม่ให้กำเนิดลูกสุนัข ดังนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าหนุ่มเจ้าสำราญที่สำมะเลเทเมา ทำตัวเลอะเทอะที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเยียนอ๋องผู้ล่วงลับไปแล้ว