“ข้าย่อมแน่ใจอยู่แล้ว!” ซ่งอวี้กลอกตา “คนนั้นข้ารับมาด้วยตนเอง เขาดูเหมือนจะตายมาแล้วอย่างน้อยสี่หรือห้าวัน ข้ายังส่งคนไปเลือกสถานที่ขุดหลุมฝังศพ หากไม่ใช่เพราะจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเจ้า ทายาทผู้สืบทอดของท่านอ๋องเช่นข้าจะยอมเสียแรงเพราะเรื่องพวกนี้?”
“จดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนั้นยังอยู่หรือไม่”
ซ่งอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง มองดูกู้ซิ่งจืออย่างเบื่อหน่าย “ข้าจะเก็บจดหมายของเจ้าไว้ด้วยเหตุใด ข้าไม่ได้แอบชอบเจ้าเสียหน่อย…”
กู้ซิ่งจือคร้านที่จะโต้เถียงกับเขา จึงพลิกตำราการเดินหมากดูแล้วปะติดปะต่อช่วงเวลาที่เสนาบดีเฉินถูกสังหาร
ซ่งอวี้บอกว่าได้รับจดหมายของเขาเมื่อวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง จากนั้นก็หาสถานที่ฝังศพ
ในวันเดียวกันเสนาบดีเฉินก็ถูกสังหารที่ถนนหน้าวังหลวง
จากเมืองจินหลิงไปยังเขตอี้โจวอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่วัน ซ่งอวี้บอกว่าตอนเห็นคนผู้นั้น เขาตายมาสี่วันแล้ว ถ้าเช่นนั้นตอนที่เขาออกจากเมืองจินหลิงก็เป็นไปได้ว่าอาจจะตายแล้ว
หลังจากนั้นเสนาบดีเฉินก็เขียนจดหมายถึงซ่งอวี้ในนามของกู้ซิ่งจือ โดยขอให้ซ่งอวี้ช่วยฝังศพบ่าวรับใช้และมอบตำราการเดินหมากที่เขียนชื่อของกู้ซิ่งจือให้ซ่งอวี้เล่มหนึ่งเป็นของขวัญขอบคุณ
น่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ผิดแน่ แต่เรื่องทั้งหมดจะแปลกก็แปลกตรงที่เหตุใดเสนาบดีเฉินจึงต้องทำเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นการฝังศพบ่าวรับใช้ในนามของกู้ซิ่งจือหรือมอบตำราการเดินหมากในนามของกู้ซิ่งจือ ดูไปแล้วจุดประสงค์น่าจะต้องการให้ซ่งอวี้ไปหากู้ซิ่งจือ
แต่จะมาหาข้าเพื่อเหตุใด
เสนาบดีเฉินต้องการให้ซ่งอวี้เตือนอะไรข้ากันแน่
ความคิดวนไปเวียนมาตำราการเดินหมากในมือถูกเขาพลิกจนเกิดเสียงดัง จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันว่างเปล่า และมือที่พลิกตำราก็ชะงักอยู่กลางอากาศ
“เอ๊ะ! ใช่แล้ว หน้านี้ล่ะ” ซ่งอวี้โน้มศีรษะเข้ามาแล้วชี้ตำราการเดินหมากหน้าที่เปื้อนหมึกจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้แล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ มอบตำราการเดินหมากให้คนอื่นแล้วยังระบายทับไว้หน้าหนึ่ง เจ้ากลัวว่าข้าเข้าใจแล้วจะจัดการเจ้า จากนั้นข้าก็จะไม่มีใครสู้ได้อีกอย่างนั้นหรือ”
เสียงเอะอะโวยวายข้างหูค่อยๆ แผ่วไป สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปที่คราบหมึกนั้นและวนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
‘ฉางยวน’ น้ำเสียงพร้อมกับรอยยิ้มของเสนาบดีเฉินดังอยู่ข้างหู อีกฝ่ายนั่งโบกมือให้เขาอยู่ในป่าไผ่ที่รกชัฏ ชี้ไปที่กระดานหมากบนโต๊ะหินแล้วถามเขาว่า ‘รู้หรือไม่ว่าเหตุใดตนเองถึงแพ้’
กู้ซิ่งจือซึ่งอยู่ในวัยสิบห้าปีมองดูสถานการณ์การประลองที่จากมั่นใจในชัยชนะกลายเป็นพ่ายแพ้อย่างราบคาบภายในสามกระดานแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเงียบๆ
เสนาบดีเฉินหัวเราะเสียงดัง ตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดว่า ‘เพราะเจ้าอยากจะชนะมากเกินไป จึงมองแค่เป้าหมายสุดท้ายจนลืมการวางแผนในทุกขั้นตอน’
พูดจบเสนาบดีเฉินก็วางหมากตัวที่ถูกกู้ซิ่งจือกินกลับไปที่เดิมแล้วพูดน้ำเสียงสงบนิ่งว่า ‘หมากตัวนี้เจ้ากินไม่ได้ กินแล้วก็จะแพ้ เช่นนี้เรียกว่าสละหมากเพื่อชัยชนะ’
…สละหมากเพื่อชัยชนะ
“สละหมากเพื่อทำลายแนวป้องกันของฝ่ายตรงข้าม ฉวยโอกาสนี้เปิดเผยแม่ทัพของฝ่ายตรงข้าม เพื่อสะดวกต่อการโจมตีของหมากฝ่ายตนเอง” กู้ซิ่งจือพึมพำและจับตำราการเดินหมากในมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เสียงของเขายังคงอ่อนโยน ไม่มีประกายไฟแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลุ่มควันที่รวมตัวกัน กู้ซิ่งจือเงยหน้าขึ้นมองซ่งอวี้
“เสนาบดีเฉินใช้ตนเองสร้างกับดัก โดยใช้ความตายเชิญพวกเราเข้าร่วมด้วย”