ทว่าฉู่เซวียนฉียังนับว่าดีหน่อย จะอย่างไรเขาก็เคยเห็นอาจารย์บ่นกระปอดกระแปดด้วยความพลุ่งพล่านและไม่พอใจแต่อันที่จริงในใจดีใจยิ่งทุกครั้งเวลาได้รับของที่ท่านตาฝากมาจากเกาะโม่เสวียน ส่วนบัดนี้นับว่าก้าวไปอีกขั้น ดังนั้นเขาจึงได้สติกลับมาเร็วกว่าพี่ชาย
“อาจารย์ ท่านตายังไม่ได้บอกว่าไม่ให้ท่านไป…” เขาเอ่ยเตือนเสียงเบา
เฟิงเหยี่ยนที่พูดพร่ำพลันได้ยินวาจานี้ จริงด้วย! เฉินไม่ได้บอกว่าไม่ได้ ก็แสดงว่าอนุญาตแล้ว
“แค่กๆ” เขาหยุดพูดพร่ำและหยุดสีหน้าคับแค้นบิดพลิ้วลงทันควัน ก่อนจะจัดสาบเสื้อนั่งตัวตรง แสดงบุคลิกท่าทางของผู้วิเศษออกมา “อะแฮ่ม พวกเจ้าสองคนกลับไปนั่งสมาธิที่ห้องก่อน”
“…” สองพี่น้องต่างก็อึ้งงัน นี่เขาจะเปลี่ยนท่าทีเร็วเกินไปแล้วหรือไม่
เฟิงเหยี่ยนมองเห็นคนเซ่อทั้งสองก็พูดออกมาชัดๆ เสียเลย
“ท่านตาเจ้าบอกว่าพวกเจ้าฝึกบำเพ็ญเร็วเกินไป รากฐานไม่มั่นคง ชาที่อีเหรินน้อยชงมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ เช่นนี้พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
โม่อีเหรินมองสภาวะของทั้งสองคนออกนานแล้ว แต่กลับไม่สะดวกจะพูดอะไร ด้วยกลัวว่าพี่ชายทั้งสองจะละอายใจหนักขึ้นจนทิ้งเป็นปมในใจ
ส่วนท่านตาที่แม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่อันที่จริงรักหลานสาวยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจอย่างเฉินผู้นี้ก็ทนเห็นหลานสาวเป็นห่วงเป็นใยเป็นกังวลต่อไปไม่ได้จริงๆ จึงเอ่ยปากพูดเสียเลย
ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีเงียบไป ก่อนจะสบตากันอีกครั้ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกัน “ท่านตา พวกข้าขอตัวกลับห้องก่อนขอรับ”
จากนั้นทั้งสองก็กลับเข้าไปในประทุนเรือ
เฟิงเหยี่ยนพอใจมาก ลูกศิษย์ของเขาสอนง่ายยิ่ง พี่ชายของลูกศิษย์ก็สอนง่ายเช่นกัน ดียิ่งนัก
ทว่าอันที่จริงให้พูดยืดพูดยาวมากเพียงไร ในใจพี่น้องสกุลฉู่ก็มีถ้อยคำเพียงประโยคเดียวคือ ‘ไม่อาจปล่อยให้น้องสาวเป็นกังวลแทนได้’
เรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง พวกเขากลับถึงห้องก็สงบใจฝึกบำเพ็ญ
ความจริงข้อนี้เฟิงเหยี่ยนย่อมจะไม่รู้ เขารู้สึกเพียงว่าความเหนื่อยยากลำบากใจของตนเองมิได้สูญเปล่า ประเสริฐยิ่งนัก
ทว่าพอผู้น้อยทั้งสองจากไปแล้ว เฟิงเหยี่ยนก็ขยับไปใกล้สหายสนิททันที “เฉิน ท่านแปลกไป”
โม่ซั่งเฉินไม่มีการตอบสนองใด
“ท่านไม่เคยสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองมาแต่ไหนแต่ไร”
ต่อให้พี่น้องสกุลฉู่นับได้ว่าเป็นหลานชายของเขาเช่นกัน แต่โม่ซั่งเฉินเป็นผู้ใด อาศัยแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ควบคุมท่าทีของเขาได้หรือ
ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง…แม้สายเลือดจะสำคัญ แต่ความพอใจของตัวโม่ซั่งเฉินนั้นสำคัญยิ่งกว่า
หากให้เฟิงเหยี่ยนกล่าวโดยพิจารณาจากมิตรภาพนับสิบๆ ปีกับโม่ซั่งเฉิน โม่ซั่งเฉินก็คือตาแก่ที่เอาแต่ใจถึงขีดสุดผู้หนึ่ง!
ก็ได้ เป็นตาแก่รูปงาม เอ่อ…ตาลุงรูปงาม
หากแต่คำพูดนี้เขากล้าตะโกนร้องแค่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเด็ดขาด
โม่ซั่งเฉินไม่มีความสนใจต่อความเคลื่อนไหวภายในใจของเฟิงเหยี่ยนโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รีบร้อนไปอีกถ้วย กินเนื้อแห้งที่หลานสาวของตนทำมาให้ จากนั้นก็กล่าวอีกประโยค
“หลังจากนี้อีเหรินจะต้องการผู้คุ้มกัน”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกลับไปถึงตระกูลเฟิ่ง