เพียงเพราะเหตุนี้ลูกสาวที่คลอดก่อนกำหนดจึงถูกทั้งสองฝ่ายทอดทิ้งไม่เหลียวแลในเวลาเดียวกัน เพราะครั้นเห็นทารกหญิงก็จะนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด ทำให้อารมณ์เสีย อยากชวนคนทะเลาะ…
หลังจากฉู่อีเหรินทำความเข้าใจสถานการณ์ จึงเข้าใจด้วยตนเองว่านี่ก็คือ ‘ละครน้ำเน่า’ เรื่องหนึ่ง!
จากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบถึงทารกน้อยไร้เดียงสา อ่อนแอ ผู้ไร้แรงต้านทานใดๆ…นั่นก็คือตัวนางเอง แล้วยังต้องป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ตลอดเวลา ร่างกายอ่อนแอเพราะเกิดก่อนกำหนด ไม่ต้องพูดถึงการฝึกยุทธ์ แม้แต่วิ่งร้อยหมี่ ก็คงหมดแรงเป็นลมระหว่างทาง ร่างกายอ่อนแอยิ่งกว่าหลินไต้อวี้
เฮ้อ…
นอกจากความสัมพันธ์อันเน่าเฟะไม่ลงรอยกันของบิดามารดา ร่างกายของนางก็ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้เลย และเพราะอยู่ในโลกที่บูชาผู้มีวรยุทธ์และผู้เลิศล้ำ นางจึงถูกลิขิตให้เป็นเด็กหญิงผู้แสนอาภัพ แม้นางจะเกิดจากภรรยาหลวง ครอบครัวท่านยายเรืองอำนาจยิ่งนัก แต่ท่านพ่อก็ไม่รัก ท่านแม่ก็ชิงชัง ถึงจะมีผู้สนับสนุนยิ่งใหญ่กว่านี้ ผลบุญคงไม่ตกมาถึงนาง
สิ่งที่นางพบเห็นหลังจากเกิดมาได้สามปี นอกจากห้องที่ตนเองอาศัยอยู่ก็คือเรือนของพี่ใหญ่ ถึงแม้จะเดินได้ แต่ก็ไม่เคยเดินออกไปด้านนอกเลย ยิ่งกว่านั้นที่ผ่านมานางไม่เคยพบหน้าท่านพ่อท่านแม่ หากมองโลกตามความเป็นจริงอีกสักนิด ไม่แน่ว่าขอทานอาจมีชีวิตดีกว่านาง
เพราะขอทานเดินทางได้ พบปะผู้คน รู้เรื่องรู้ราวมากกว่านางแน่นอน!
หากเริ่มแรกไม่ใช่พี่ใหญ่ยืนกรานจะดูแลนาง นางเชื่อเหลือเกินว่าชีวิตน้อยๆ นี้คงจะสูญหายไปจากแผ่นดินนี้นานแล้ว
“เฮ้อ…” คิดไปคิดมา ฉู่อีเหรินที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถอนใจอีกครา ทว่าหลังจากถอนใจเสียงหนึ่ง นางก็คลี่ยิ้ม
ชาติที่แล้วนางเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติพี่น้อง แต่ชาตินี้…แม้จะเกิดมาอย่างแปลกประหลาด แต่มีพี่ชายสองคนที่รักนางมาก คอยดูแลนาง ไม่คิดว่านางเป็นภาระแม้แต่น้อย ก็ยังนับว่าคุ้มค่าอยู่มากแล้ว ฮึๆๆ…
ฉู่อีเหรินกำลังดีใจอยู่คนเดียว ไม่เอะใจสักนิดเลยว่ามีหนุ่มน้อยรูปงามยืนอยู่หน้าประตูห้อง มองดวงหน้าเล็กๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเงียบๆ จากสีหน้าที่เย็นชามาตลอดก็คลายลงโดยปริยาย มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในห้อง
“ยิ้มอะไรอยู่”
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” ครั้นเห็นผู้มาเยือน ฉู่อีเหรินก็ร้องเรียกพลางยิ้มกว้าง
“อืม” ขณะพยักหน้า ฉู่เซวียนอั๋งก็เดินมาถึงข้างเตียง มองดวงหน้าเล็กๆ ซีดขาวของนาง ก่อนจะดึงข้อมือนางมาตรวจอาการ
หลังดูแลน้องสาวมาสามสี่ปี จากที่ฉู่เซวียนอั๋งไม่ประสีประสาเรื่องการแพทย์เลย จนกระทั่งยามนี้สามารถจับชีพจรได้แล้ว
“วันนี้อาการดีหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไม่มี” ฉู่อีเหรินยิ้มตาหยี “พี่ใหญ่ วันนี้ข้างนอกอากาศดีใช่หรือไม่ ข้าขอออกไปเดินเล่นได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่เซวียนอั๋งแน่ใจว่าชีพจรของนางสม่ำเสมอ สีหน้าและอุณหภูมิก็ปกติจึงพยักหน้า
“ได้”
“เช่นนั้นพาพี่เล็กออกไปข้างนอกด้วยกันได้หรือไม่”
“เจ้าอยากออกไปข้างนอก?” เดิมทีฉู่เซวียนอั๋งนึกว่าน้องสาวอยากออกไปเดินเล่นภายในเรือน ผู้ใดจะคิดว่านางกลับอยากออกไปข้างนอก จึงแปลกใจเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกว่าอยากออกไปข้างนอก!
“อืม ข้าอยากไปร้านหนังสือ ไปเดินเล่นบนถนน” ฉู่อีเหรินเอ่ย
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่านางอยากออกไปสำรวจโลกภายนอกใจแทบขาด เพียงแต่ร่างกายไม่เอาไหนคอยเป็นอุปสรรค ทำได้เพียงบำรุงรักษาตนเองอย่างว่านอนสอนง่าย แต่ช่วงหนึ่งเดือนมานี้นางสบายตัวขึ้น วันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียง อุดอู้อยู่แต่ในเรือน นอกจากเดินเหินไม่กี่ก้าวก็อ่านหนังสือที่พี่ชายสองคนมอบให้เสียจนหมดทุกเล่ม ยามนี้อยากอ่านหนังสือเล่มใหม่ๆ ใจจะขาด ดังนั้นนางจึงอยากออกไปหาอาหารสมองมาเพิ่มเติม
“อ่านหนังสือหมดแล้ว?” ฉู่เซวียนอั๋งมองไปทางกำแพงด้านซ้ายแวบหนึ่ง
ชั้นหนังสือที่อยู่ติดกำแพงด้านหนึ่งมีหนังสือวางจนเต็มบนชั้นที่สาม อีกชั้นหนึ่งว่างเปล่า ข้างเตียงนางมีชั้นหนังสือเล็กๆ วางหนังสือได้ราวสิบเล่ม นางจะได้หยิบมาอ่านสะดวก หนังสือมากมายเช่นนี้นางอ่านหมดแล้ว?
“อืม” นางพยักหน้า
ฉู่เซวียนอั๋งตะลึงอีกครั้ง