“ใช้ยา”
“ยาอะไร”
“อืม…ยาลูกกลอนลี้มรณะฉบับปรับปรุง” ชื่ออย่างเป็นทางการยังไม่ได้ตั้ง
“ยาลูกกลอนลี้มรณะ?” ซ้ำยังเป็นฉบับปรับปรุง?! หลิงเซ่าจวินเบิกตามองนาง
เวลานี้เองไป่หลี่จิงหงกลับพลันพูดขึ้น “อีเหริน มานั่งตรงนี้”
“ได้” โม่อีเหรินกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง วิ่งตึงตังไปนั่งลงข้างไป่หลี่จิงหงทันที
ไป่หลี่จิงหงหยิบลูกสนอีกถุงออกมาเริ่มแกะเปลือก แกะเสร็จก็วางลูกสนลงในจานเล็กเบื้องหน้าโม่อีเหริน
ส่วนโม่อีเหรินพอกินลูกสนในมือหมดก็หยิบชุดน้ำชาชุดหนึ่ง กระบอกไผ่หยกที่มีลายงูเขียวดูน่ารักยิ่งใบหนึ่ง และน้ำบริสุทธิ์หนึ่งกาออกมาชงชา
ใบชานี้ยังเป็นของที่คั่วด้วยความเสียใจในคืนนั้นอีกด้วย
ใบชานี้มาจากต้นชาที่โม่อีเหรินปลูกมาห้าปีแล้ว เนื่องจากสองปีมานี้เพิ่งจะทยอยแตกยอด มียอดอ่อนใบชางอกขึ้นมา ดังนั้นโม่อีเหรินถึงเพิ่งได้ลองชงชาไปแค่สองครั้ง
ปริมาณชาที่ชงสำเร็จมีน้อยเหลือเกิน แต่น้ำชาที่ชงออกมามีสีอ่อนใส กลิ่นหอมอ่อนๆ ทว่าคงอยู่เนิ่นนาน
โดยเฉพาะหลังจากเริ่มชง กลิ่นชาอ่อนๆ ทำให้คนได้กลิ่นแล้วสติปลอดโปร่ง จิตใจผ่อนคลายมาก
หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และชิงอู๋หยามองไปที่ชากานั้นพร้อมกัน
“ชาใหม่?” ไป่หลี่จิงหงได้กลิ่นชาก็รู้ทันทีว่าไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
“อืม ข้าปลูกมาห้าปีเพิ่งจะงอกออกมาเชียวนะ มิหนำซ้ำตอนคั่วชาก็ควบคุมกำลังไฟได้ยากยิ่ง ครั้งแรกที่ข้าทำนั้นล้มเหลวเกือบทั้งหมด” นั่นเป็นความล้มเหลวที่โม่อีเหรินแทบจะไม่เคยประสบเลย
ทว่าพอทำครั้งที่สอง นางก็มีความมั่นใจในการควบคุมไฟแล้ว ดังนั้นจึงผิดพลาดน้อยลงกว่าคราแรก
น่าเสียดายที่ชาวิเศษต้นนี้มีใบชางอกออกมาไม่มาก มิเช่นนั้นนางคงยังลองได้มากกว่านี้
การชงชาชนิดนี้น่าจะยังมีที่ว่างให้พัฒนาได้อีก ส่วนรสชาติน่ะหรือ…
ไป่หลี่จิงหงดื่มแล้วก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วก็คลายออกในทันที
“ไม่อร่อย?” โม่อีเหรินมองสีหน้าเขาโดยตลอด นั่นเป็นอากัปกิริยาที่เล็กยิ่ง ไม่สังเกตก็ไม่เห็นโดยสิ้นเชิง
ภูเขาน้ำแข็งมุ่นหัวคิ้วล่ะ…
“เข้าปากมีรสหวานน้อยๆ ลงคอกลับหวานปนเฝื่อน ไม่นับว่าอร่อย ทว่า…ใบชาดีมาก”
ขวับ! ขวับ! ขวับ! การตอบของไป่หลี่จิงหงเรียกให้สายตาสามคู่จ้องมองมาเป็นตาเดียวอีกครั้ง
นี่เป็นการตอบแบบเต็มประโยค มิใช่ย่อเสียเหลือไม่กี่คำจนไม่อาจย่อไปมากกว่านี้ได้
“นี่คือไป่หลี่จิงหง?” ไม่ผิดกระมัง
หลงชิงเหยาที่ยังไม่เคยเห็น ‘ไป่หลี่จิงหงพูดคุย’ ดึงแขนเสื้อหลิงเซ่าจวินก่อนถามอย่างอดไม่ได้
“ใช่แล้ว เขานั่นล่ะ” หลิงเซ่าจวินมีสีหน้าหนักอึ้งจนดูเหมือนเศร้าระทมเหลือแสน
ชิงอู๋หยามองเขาแปลกๆ จำเป็นต้องเศร้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“พวกเขาดีต่อท่านหรือไม่” โม่อีเหรินเอ่ยถามไป่หลี่จิงหง โดยมองข้ามท่าทีของสามคนนี้ไปโดยสิ้นเชิง
ความหมายก็คือถ้าไป่หลี่จิงหงบอกว่าดี ก็จะเชิญให้พวกเขาดื่มชา
ไป่หลี่จิงหงได้ยินก็เข้าใจในทันที
“ดี” คำตอบนี้กระชับยิ่ง ทว่าไป่หลี่จิงหงยังกล่าวแนะนำสองคนที่เหลือให้โม่อีเหรินรู้จัก “หลงชิงเหยา ชิงอู๋หยา”
เขาบอกแค่นาม โม่อีเหรินก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด