“เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยมาแล้ว” ชิงอู๋หยายืนพูดอยู่ข้างประตู
“เวลานี้?”
หลิงเซ่าจวินขมวดคิ้ว คืนยาที่เก็บลงขวดเรียบร้อยให้ไป่หลี่จิงหง
โม่อีเหรินเองก็เก็บชาวิเศษและถ้วยชาลงจนเกลี้ยง เปลี่ยนมาวางชาที่หอสุรามีให้แทน
ชิงอู๋หยาถึงค่อยเปิดประตู เชิญให้สองคนที่เดินมาถึงหน้าประตูเข้ามาได้พอดิบพอดี
เมื่อมองเห็นไป่หลี่จิงหง คนทั้งสองก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครั้นมองเห็นหลงชิงเหยา หลงชิงเหยี่ยก็ยิ้มออกมาในทันใด
“ชิงเหยา ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
“อืม” หลงชิงเหยาลากชิงอู๋หยาไปนั่งฝั่งเดียวกัน
โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงก็นั่งกันฝั่งหนึ่ง หลิงเซ่าจวินก็นั่งอีกฝั่งหนึ่ง เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยจึงได้แต่นั่งลงที่ฝั่งสุดท้ายด้วยกันสองคน
“พวกข้าเตรียมจะออกเดินทางแล้ว พวกท่านเล่า” เฟิ่งไหวซินไม่พูดนอกเรื่อง มุ่งตรงเข้าประเด็นทันที
“ตอนนี้?” หลิงเซ่าจวินเลิกคิ้วถาม
“อืม ทางทะเลสาบจงโยวส่งข่าวมาว่าสองวันมานี้ผิวทะเลสาบไม่สงบมาตลอด ทางเข้าแดนสมบัติเป็นไปได้ว่าจะปรากฏขึ้นก่อนเวลา”
“อีกอย่างไม่กี่วันมานี้คนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงก็พบหน้ากันบ่อยครั้ง ตระกูลไป่หลี่ยังเคยนัดพบคนสกุลไป๋อีกด้วย เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะทำข้อตกลงกัน” หลงชิงเหยี่ยพูดต่อจากเฟิ่งไหวซิน
ห้าตระกูลใหญ่เองก็มีแบ่งเป็นแข็งแกร่งและอ่อนแอ ผิวเผินดูเหมือนไปมาหาสู่กันมานาน แต่ตอนนี้มีคลื่นใต้น้ำโหมซัด เป็นปฏิปักษ์กันอย่างเงียบๆ
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเริ่มมาตั้งแต่ยาของตระกูลเฟิ่งค่อยๆ ลงน้อยลง
“หลังเข้าแดนสมบัติ เป็นไปได้มากว่าจะกระจายกันไปอยู่คนละที่ การที่พวกเขาจะหาพันธมิตรก็มิได้แปลกอะไร” เฟิ่งไหวซินไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
ตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงมีมิตรภาพต่อกันดีเสมอมา มิหนำซ้ำยังต่างมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ส่วนตระกูลเฟิ่งกับตระกูลหลงก็มีไมตรีต่อกันดีกว่าตระกูลอื่นๆ เล็กน้อย มีเพียงตระกูลไป๋ที่มีทิศทางไม่แน่ชัด มิได้คบค้าสมาคมกับตระกูลใดเป็นพิเศษ
“ข้ารู้” หลงชิงเหยี่ยท่าทางระมัดระวังจริงจังยิ่ง “เพียงแต่คนของพวกเขาที่มามีพลังแก่นแท้โดยเฉลี่ยอยู่ขั้นลูกกลอนปราณทองขึ้นไป อายุอยู่ระหว่างสามถึงห้าร้อยปีแทบจะทุกคน การแย่งชิงหลังจากเข้าแดนสมบัติในครั้งนี้อาจจะอันตรายยิ่งว่าเมื่อก่อน”
เวลาเช่นนี้การหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น อย่าว่าแต่ตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิง กลุ่มอำนาจสามกลุ่มในที่นี้ก็ต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดจา
หากแต่คนที่พวกเขาส่งออกมา มีอยู่ครึ่งที่ออกมาหาประสบการณ์เป็นหลัก พลังแก่นแท้โดยเฉลี่ยไม่ถึงขั้นลูกกลอนปราณทอง คนเช่นนี้ปะทะกับสกุลไป่หลี่และสกุลเสวียนหมิง ผลลัพธ์ก็น่าวิตกเหลือประมาณ
ทว่าถ้าจะเปลี่ยนคนเอาตอนนี้ก็เหลวไหลเกินไป
“ระหว่างเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ การประสบกับอันตรายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราต้องระมัดระวังตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกจนกลัวหัวหดไปทุกสิ่งก่อนล่วงหน้า หลังเข้าไปในแดนสมบัติ หากคนของพวกเราสามฝ่ายได้พบกันก็พยายามอย่าพลัดจากกันอีก ให้ดูแลกันและกัน ถ้ากลางทางได้เจอกับคนสกุลไป่หลี่และสกุลเสวียนหมิง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง รักษาชีวิตไว้ก่อน ยามที่พลังแก่นแท้ไม่เพียงพอยิ่งต้องถอยเป็นหลัก อย่าฝืนสู้” หลิงเซ่าจวินกล่าว
แม้สมบัติในแดนสมบัติจะน่าดึงดูด แต่แดนสมบัติแรกนภาก็เป็นเพียงด่านหาประสบการณ์ด่านหนึ่งในเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ ยามมีโอกาสต้องช่วงชิง แต่ยามที่เห็นชัดว่าสู้ไม่ไหวกลับยังคงเอาชีวิตเข้าแลก นั่นเป็นการกระทำอันโง่เขลา
นอกจากนี้ก็ต้องพยายามเตรียมยาสำหรับช่วยชีวิตไปให้มากเท่าที่จะทำได้
พอคิดถึงจุดนี้ หลิงเซ่าจวินก็กล่าวเตือนขึ้นอีก “หากเป็นไปได้ ทางที่ดีก็เตรียมยาแก้พิษไปด้วยจำนวนหนึ่ง พวกท่านได้เห็นท่าทางของไป่หลี่เยียนในวันนั้นแล้ว คนของตระกูลไป่หลี่เป็นไปได้มากเช่นกันว่าจะใช้พิษ”
เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยได้ยินแล้วก็หน้าดำไปทันที