บทที่ 5
งูตัวน้อยสีเขียวตัวกว้างเท่านิ้วมือและยาวครึ่งฉื่อพลันกระโจนเข้าในอ้อมแขนของโม่อีเหริน จากนั้นก็เลื้อยขึ้นบนบ่านางอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะเอาหัวถูไถข้างแก้มโม่อีเหรินไม่ยอมหยุด
โม่อีเหรินยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งตัวคนก็ถูกอุ้มขึ้นมา กลิ่นอายเย็นยะเยือกพุ่งมาตรงหน้านางอย่างกะทันหัน
“อีเหริน เที่ยวเล่นมีความสุขหรือไม่”
“เอ่อ…มี…ไม่ๆ ไม่มีความสุข” เดิมทีนางจะพยักหน้า แต่ความตระหนักต่ออันตรายพลันทำงาน โม่อีเหรินจึงเปลี่ยนจากพยักหน้าเป็นส่ายหน้าทันควัน มิหนำซ้ำยังส่ายเสียแรงยิ่ง
“ไม่มีความสุข แต่ยังวิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอด?”
“เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นเพราะถูกส่งตัว มิใช่เรื่องที่ข้าควบคุมได้” ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของความสามารถในการส่งตัวอันพิลึกพิลั่นนี้
“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เดินผ่านของแปลกๆ ไปแล้วตรงมาหาข้าล่ะ”
“ข้ามเขาสมบัติไม่อาจกลับมามือเปล่า” โม่อีเหรินตอบอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ อุตส่าห์มีสมบัติให้เอา ไม่เอาก็เสียของเปล่า
“เช่นนั้นที่เมื่อวานเจ้าวิ่งไปวิ่งมาทั่วป่าก็เพื่อสมบัติ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เมื่อวานนางได้มาเยอะมากจริงๆ
โป๊ก!
“โอ๊ย!” โม่อีเหรินถูกเขกศีรษะ จึงทำสีหน้าเจ็บใจ
“แค่เอาสมบัติอย่างเดียว?”
“ยังมีแกล้งคนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงด้วย” พูดจบโม่อีเหรินก็มองเขาด้วยความเจ็บใจต่อ “จิงหง ท่านเขกศีรษะข้า”
“เจ้าวิ่งไปทั่วป่าผู้เดียว คนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงเยอะถึงเพียงนั้น เจ้านึกว่าข้าไม่ห่วงหรือไร” ไป่หลี่จิงหงมองนาง
“ถึงเป็นห่วงก็ห้ามเขกศีรษะข้า เดี๋ยวข้าก็โง่หรอก” นางเอา ‘เหตุผล’ เข้าสู้
“หากเจ้าโง่ลงได้สักนิดจริงๆ ข้าคงจะห่วงน้อยกว่านี้ได้” ไป่หลี่จิงหงทั้งฉิวทั้งขัน
นี่คือประเด็นสำคัญอย่างนั้นหรือ
“รับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่เขกศีรษะข้า นี่เป็นความรุนแรงในครอบครัว ข้าจะฟ้องร้อง!” นางเถียงต่อ
“ความรุนแรงในครอบครัว?”
“ก็คือคนในครอบครัวใช้กำลังทำร้ายกัน” โม่อีเหรินเผลอยกคำศัพท์ในสมัยปัจจุบันมาใช้เสียได้ นางลอบแลบลิ้น ก่อนจะพยายามเถียงอีกด้วยท่าทีโมโหฮึดฮัด “ท่านห้ามรังแกข้าเพียงเพราะว่าท่านตาไม่ได้อยู่ที่นี่”
ไป่หลี่จิงหงมองนางด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะช่วยนวดศีรษะนางตรงจุดที่เขาเขกไปเมื่อครู่ก่อนนี้
เดิมทีอยากจะตีก้นนางสักป้าบเพื่อให้นางเข็ดไม่กล้าทำให้คนเป็นห่วงเยี่ยงนี้อีก หากแต่…เขาทำไม่ลง ยังคงทำได้แค่ปลอบนาง
“ไม่เจ็บแล้ว” คราวนี้โม่อีเหรินถึงยิ้มออก นางเอื้อมมือกอดเขาไว้แล้วก็เอาหน้าถูไถกับหน้าอกเขา “จิงหง ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว”
“เสี่ยวทุนก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน” เสี่ยวทุนฝืนเบียดตัวออกมา
“อืม ทำให้เสี่ยวทุนต้องเป็นห่วงแล้วเช่นกัน” นางลูบหัวมัน
“แฮะๆ…” เสี่ยวทุนดีใจ หรี่ตาลงถูไถท่านแม่ต่อ ไม่ได้เห็นท่านแม่มาตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน คิดถึงท่านแม่ยิ่งนัก
“รู้ว่าข้าต้องเป็นห่วงก็ดี ต่อไปไม่อนุญาตให้วิ่งวุ่นเช่นนี้คนเดียวแล้ว” ไป่หลี่จิงหงตบหลังนางเบาๆ
เขารู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าพอจากดินแดนเทพยุทธ์มายังดินแดนแรกนภา โม่อีเหรินทำให้เขาเป็นห่วงเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ไป่หลี่จิงหงรู้เช่นกันว่าโม่อีเหรินมีพลังแก่นแท้ไม่ธรรมดา แต่ดินแดนแรกนภาไม่เหมือนกับดินแดนเทพยุทธ์ ที่นี่มีผู้ที่พลังยุทธ์สูงส่งกว่าพวกเขาอยู่มากมาย
มิใช่ว่าต้องเกรงกลัวผู้ที่ร้ายกาจกว่าตนเอง แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมอันไม่คุ้นเคยเยี่ยงนี้ รอบคอบระมัดระวังเอาไว้หน่อยอย่างไรก็เป็นเรื่องดี
“เรื่องนี้…แต่ว่าอุตส่าห์มีโอกาสทวงหนี้แค้นที่ดีถึงเพียงนี้ทั้งที…” โม่อีเหรินยังจดจำไม่ลืม นางต้องการทวงหนี้ให้ไป่หลี่จิงหง
“ความปลอดภัยของเจ้าสำคัญกว่า คนพวกนั้นไม่มีค่าพอให้เจ้าเสี่ยงอันตราย”
ต่อให้คนทั้งสกุลไป่หลี่ทั้งตระกูลรวมกัน ก็ยังไม่สำคัญเท่าโม่อีเหรินคนเดียวในใจของเขา