สิ่งที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม พวกเขาต้องยิ่งปกปักรักษาไว้ให้ดี
“ก็ได้” โม่อีเหรินคิดเล็กน้อยแล้วถึงพยักหน้า พร้อมกับถือโอกาสเตือน “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะลงโทษท่าน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดให้ดี ฉะนั้นท่านต้องจำเอาไว้ก่อนว่าท่านค้างโทษข้าอยู่”
“ได้” ขอแค่นางไม่โมโห อะไรก็ได้ทั้งนั้น
โม่อีเหรินพอใจแล้ว ความสนใจจึงกลับมาอยู่ที่เรื่องฝึกบำเพ็ญ
“จิงหง แม้เคล็ดวิชาที่ฝึกในตอนนี้จะดีมาก แต่ก็ไม่คล่องไม้คล่องมือเท่ากับเคล็ดวิชาหุนสีม่วงใช่หรือไม่”
“อืม” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า
ความเคยชินมิได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายถึงเพียงนั้น ยิ่งกว่านั้นเคล็ดวิชาหุนสีม่วงเป็นเคล็ดวิชาที่ค่อนไปทางธาตุไฟ แต่ที่เขาฝึกในตอนนี้เป็นเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็ง ธรรมชาติของทั้งสองอย่างนั้นขัดกัน เวลาใช้งานยิ่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ยามใช้เคล็ดวิชาหุนสีม่วง การกวัดแกว่งดาบเป็นอากัปกิริยาตามธรรมชาติเหมือนกินข้าวดื่มน้ำสำหรับเขา แต่ครั้นเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาเปลวน้ำแข็ง เขาจำเป็นต้องตั้งใจชักนำควบคุม อัดรวมปราณเป็นน้ำแข็ง
ขณะนี้เขายังไม่อาจปลุกดาบหุนสีม่วงให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ได้
นี่มิใช่เพราะพลังยุทธ์เขาไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าขาดอะไรไปเล็กน้อย
พอเห็นโม่อีเหรินขมวดคิ้ว ช่วยกลัดกลุ้มรำคาญใจไปกับเขา ไป่หลี่จิงหงก็คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะจูบข้างขมับนาง
“ไม่ต้องหงุดหงิดใจถึงเพียงนั้น บางทีเมื่อถึงเวลาหรือฝึกได้มากพอจนชำนาญแล้วก็อาจสามารถใช้งานได้อย่างอิสระเอง ตอนนี้เป็นตาเจ้าแล้ว”
โม่อีเหรินจะพาเขาไปอย่างไร
ด้วยวิชาบาทาเงามายาในตอนนี้ของโม่อีเหริน การจะเคลื่อนที่ไปร้อยลี้ในชั่วพริบตาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สภาพภูมิประเทศของที่นี่น่าจะไม่มีความท้าทายต่อโม่อีเหรินโดยสิ้นเชิง
“เดิมทีข้าคิดจะใช้สภาพภูมิประเทศของที่นี่ฝึกวางค่ายกล ทว่านั่นกินเวลามากเกินไป หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้พวกเราไปที่ยอดเขานั้นก่อน”
โม่อีเหรินจับมือไป่หลี่จิงหงไว้ ก่อนก้าวเท้าออกไปสองสามก้าวติดกัน
พริบตาเดียวก็มาถึงตีนเขา
เมื่อกระโดดขึ้นไปอีก ยอดเขาสีแดงก็ปรากฏตรงหน้า
อุณหภูมิของที่นี่ถึงจะเป็นความร้อนระอุมากอย่างแท้จริง
บ่อน้ำปากปล่องบนยอดเขาเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในพื้นที่แห้งแล้งนี้ที่อาจจะมีสมบัติ
แม้ว่าดูไปแล้วบนยอดเขาก็มีสภาพแห้งขอดเหมือนกัน แต่ตรงนี้กลับมีหินเยอะยิ่ง บ้างได้รับความร้อนจากไฟหล่อเลี้ยงจนแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบหลอมประดิษฐ์…หินอัคนี
แม้หินอัคนีจะมีค่า แต่ไม่นับว่าเป็นของที่หาได้ยากนัก โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงจึงเดินมุ่งหน้าไปต่อ กลับเผอิญได้ยินเสียงคนพูดพอดี
ทั้งสองคนเบี่ยงตัวก่อนผลุบตัวหลบซ่อนทันที
ข้างบ่อน้ำปากปล่อง มีคนสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายหนึ่งมีเพียงสองคน มิหนำซ้ำคนหนึ่งยังเห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก
อีกฝ่ายกลับมีอยู่หลายคน มิหนำซ้ำยังมีคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี เป็นไป่หลี่จิงไห่นั่นเอง
ผู้ที่ยืนอยู่กับเขาคือคนของตระกูลเสวียนหมิง
“หลงชิงเหยา ท่านพิจารณาไปถึงที่ใดแล้ว จะช่วยชิงอู๋หยาหรือไม่ช่วย”
แม้ในพื้นที่แห้งแล้งนี้จะมีแต่ความร้อน แต่ยิ่งเข้าใกล้บ่อน้ำปากปล่อง ความรู้สึกร้อนระอุกลับค่อยๆ ลดลง
สิ่งที่ถูกหินสีแดงก่ำล้อมไว้ตรงกลางคือน้ำสีกึ่งฟ้ากึ่งเขียว มีประกายคลื่นกระเพื่อมอยู่รำไร