ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 79-80
บทที่ 80
เฉิงอวี๋โม่กับเฉิงหมิ่นต่างกลับมาบ้านเดิม บังเอิญว่าวันนี้เฉิงหยวนจิ่งกลับมาเช่นกัน สกุลเฉิงยากนักจะมีคนมารวมตัวกันพร้อมหน้าเช่นนี้ ครึกครื้นกว่าคืนวันสิ้นปีเสียอีก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นมีคนเต็มห้องก็ดีใจมาก ทุกคนกินอาหารพร้อมหน้าครอบครัวอย่างครึกครื้น
สุราอาหารเต็มอิ่ม ความร้อนและความง่วงทำให้คนดูเกียจคร้าน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเข้าไปนอนในห้องส่วนใน สวีเนี่ยนชุนก็ถูกเฉิงหมิ่นไล่ไปนอนเช่นกัน เฉิงหมิ่นจัดให้สวีเนี่ยนชุนอยู่ในห้องกั้นฉาก ปิดประตูให้บุตรสาวด้วยตนเอง แล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างเบามือเบาเท้า
ในห้องหลักมีคนจำนวนหนึ่งนั่งกระจายกันอยู่ เวลานี้ไม่มีญาติผู้ใหญ่และเด็กๆ คอยรบกวน พวกเขาจึงมีท่าทีผ่อนคลาย พูดคุยกันได้สบายใจยิ่งขึ้น นายท่านรองสวี เฉิงหยวนฮั่น และฮั่วฉางยวนนั่งพูดคุยเรื่องในราชสำนักอยู่ที่โถงหลัก เฉิงอวี๋โม่ถูกหร่วนซื่อดึงมานั่งบนเตียงในห้องด้านข้าง พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้
เฉิงหมิ่นเดินวนไปรอบทั้งห้าส่วนของโถงหลัก พบว่ามีคนน้อยลงมาก เฉิงอวี๋โม่เห็นเฉิงหมิ่นเดินวนไปมาเหมือนกำลังหาใครอยู่ จึงถามว่า “ท่านอาหญิง ท่านตามหาพี่รองสวีอยู่หรือ”
เฉิงหมิ่นส่ายหน้า แล้วเอียงตัวนั่งลงบนเตียงเช่นกัน พูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว เขาโตถึงเพียงนั้นแล้ว มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน อากำลังหาพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอยู่ นางเพิ่งกลับมาตอนกินอาหาร อาไปปูที่นอนให้เนี่ยนชุนที่ห้องกั้นฉาก ไม่ทันสังเกตแค่เพียงชั่วครู่นางก็หายตัวไปแล้ว”
เฉิงอวี๋โม่รอยยิ้มจางลง พูดว่า “ที่แท้ท่านอาหญิงตามหาพี่หญิงใหญ่อยู่นี่เอง เมื่อครู่ท่านอาเก้ากลับมาแล้ว ตอนนี้พี่หญิงใหญ่คงจะอยู่ที่เรือนของท่านอาเก้าแน่นอน”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” เฉิงหมิ่นลังเลใจ “จิ่นเจี่ยเอ๋อร์สนิทสนมกับจิ่วหลางเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
สาวใช้ที่ติดตามพูดต่อขึ้นว่า “นายหญิงหมิ่นคงจะไม่รู้ ปีนี้คุณหนูใหญ่กับนายท่านเก้าถูกชะตากันมาก ตอนที่ท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ได้ให้คุณหนูใหญ่ปักอักษรของนายท่านเก้าชิ้นหนึ่ง ท่านคงจะรู้เรื่องนี้ เป็นชิ้นที่ส่งเข้าไปในวังชิ้นนั้น”
เฉิงหมิ่นพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”
“ก็ด้วยเหตุนี้เพื่อผลงานปักชิ้นนี้ คุณหนูใหญ่เรียนเขียนอักษรจากนายท่านเก้าอยู่หนึ่งถึงสองเดือน หลังจากปักฉากบังตาเสร็จแล้ว คุณหนูใหญ่ก็ไปยืมตำราถามเรื่องอักษรที่เรือนพักของนายท่านเก้าบ่อยครั้ง ตอนนี้คิดว่าคงจะอยู่ที่นั่นเช่นกันเจ้าค่ะ”
เฉิงหมิ่นตกใจ ปีหนึ่งนางกลับบ้านเดิมไม่กี่ครั้ง ไม่รู้สภาพการณ์ระยะนี้ของจวนอี๋ชุนโหว ในความทรงจำก่อนหน้านี้เฉิงอวี๋จิ่นมักจะตามติดอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ครั้งนี้ไม่เห็น จึงได้รู้ว่าที่แท้เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งสนิทกันแล้ว
เฉิงอวี๋โม่ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร ยกมือใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปาก แล้วพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ไม่เพียงเท่านี้ วันนี้ตอนพวกเรากำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็หาตัวพี่หญิงใหญ่ไม่เจอ เป็นท่านอาเก้าที่ออกไปตามหาอีกด้วย ตั้งแต่ท่านอาเก้ากลับมา พี่หญิงใหญ่จะอยู่กับคนอื่นน้อยมาก ปกติจะติดตามแต่ท่านอาเก้า พวกเขามักจะเข้าพร้อมกันออกพร้อมกัน ข้านานทีจะกลับบ้านเดิม กลับไม่ได้พูดคุยกับพี่หญิงใหญ่เสียที อาจเป็นเพราะท่านอาเก้าความรู้สูงส่ง พี่หญิงใหญ่จึงคร้านจะสนใจพวกเรากระมัง”
หร่วนซื่อพูดสอดรับอยู่ด้านข้าง “ถูกต้อง แม้แต่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ พวกเขาสองคนก็นั่งอยู่ตามลำพังข้างนอก ไม่มาอยู่รวมกับทุกคน คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าพวกเขาสองคนจึงจะเป็นร่างเดียวกัน”
เฉิงหมิ่นมองเฉิงอวี๋โม่แวบหนึ่ง เฉิงอวี๋โม่หลุบตาลง บนใบหน้าขาวสะอาดอ่อนแอมองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าไม่ออก เฉิงหมิ่นสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโตแล้ว ต้องมีความคิดเป็นของตนเอง อีกอย่างคุณหนูใหญ่รู้ความตั้งแต่เด็ก เนี่ยนชุนยังซนเป็นลิงอยู่เลย นางกลับรู้จักช่วยพี่สะใภ้ใหญ่ดูแลบ้านแล้ว ให้นางนั่งอยู่กับเนี่ยนชุน เกรงว่าคงไม่มีหัวข้อสนทนาอะไรร่วมกัน เรื่องที่พวกเราพูดถกกันก็ไม่เหมาะให้นางซึ่งเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนจะฟัง ถ้าไม่มีจิ่วหลางอยู่ เกรงว่านางคงไม่มีคนพูดคุยด้วยได้สักคน โชคดีจิ่วหลางกลับมาแล้ว จิ่วหลางกับนางอายุใกล้กัน แต่กลับมีประสบการณ์มากกว่านาง เกรงว่าคงต้องเป็นสองคนนี้จึงจะมีอะไรให้พูดกันได้ อาอายุมากแล้ว ตามความชอบของคนอายุน้อยไม่ทัน เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปพูดคุยกันเองเถิด”
เฉิงอวี๋โม่สีหน้าเรียบเฉย กระตุกมุมปากเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มแข็งเกร็งว่า “ท่านอาหญิงพูดถูก เป็นข้าเองที่ไม่ได้ตระหนักถึงสภาพการณ์ของพี่หญิงใหญ่”
เฉิงหมิ่นยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วพูดอะไรอีกมากมายเลี่ยงไปจากหัวข้อสนทนานี้ เฉิงอวี๋โม่เล่าเรื่องสกุลฮั่วให้หร่วนซื่อฟัง เฉิงหมิ่นมองดูหลานสาวคนรองที่เคยไร้เดียงสาอ่อนโยนพูดอย่างไรก็ไม่พ้นเรื่องสกุลฮั่ว ก็ลอบทอดถอนใจเฮือกใหญ่อยู่ภายใน
พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว เฉิงอวี๋โม่ที่เคยหลบอยู่หลังผู้ใหญ่อย่างหวาดหวั่นก็พูดจาให้ร้ายพี่สาวอย่างอ้อมค้อมเป็นแล้ว เฉิงหมิ่นถอนหายใจอย่างหนัก นางใช่จะพูดว่าการกระทำของเฉิงอวี๋โม่ไม่ถูก เพียงแต่ว่าความเศร้าใจนั้นเป็นเรื่องจริง
พวกนางสองคนเป็นฝาแฝดกัน คนหนึ่งถูกอุ้มไปเลี้ยง อีกคนให้อยู่ข้างกายหร่วนซื่อ ด้วยสาเหตุมากมายทำให้เวลาที่ทุกคนพูดถึงพวกนาง มักจะเอามาเปรียบเทียบกัน สิบห้าปีมานี้เฉิงอวี๋จิ่นอาศัยความโดดเด่นช่วงชิงสายตาของทุกคน เฉิงหมิ่นสงสารที่เฉิงอวี๋จิ่นถูกอุ้มมาเลี้ยง มักจะทนไม่ไหวลำเอียงไปทางนางมากสักนิด และเฉิงอวี๋จิ่นเองก็ทำได้ดีจริงๆ
เฉิงหมิ่นเดิมทีคิดว่าพี่น้องคู่นี้เติบโตมาได้อย่างดีมาก พี่สาวสุขุมสง่างาม น้องสาวไร้เดียงสาน่ารัก ทั้งคู่ก็รักใคร่ซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับบ้านอื่นที่ต่อสู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ
แต่ความจริงสร้างความเจ็บปวดให้เฉิงหมิ่น การดูแลซึ่งกันและกันระหว่างพี่น้องที่นางคิดไว้ล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝันของนางเอง ชะตาชีวิตของพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ต่างกันครั้งใหญ่ตอนอายุสิบสี่ปี ผลสุดท้ายเรียกได้ว่าพลิกผันอย่างคาดไม่ถึง เฉิงอวี๋โม่แต่งเข้าตระกูลใหญ่ เป็นเฉิงอวี๋จิ่นที่ทุกคนฝากความหวังไว้ถูกถอนหมั้น ตอนนี้ยังหาบ้านสามีที่ดีไม่ได้ เฉิงอวี๋โม่แต่งเข้าจวนสกุลฮั่วเพียงสี่เดือนก็ลอบตำหนิพี่สาว หาความรู้สึกเหนือกว่าจากตัวพี่สาว แย่งชิงการให้ความสำคัญต่อพี่สาวจากคนในครอบครัว
เด็กแย่งชิงทรัพย์สมบัติและความสนใจจากตระกูลเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านตนเอง เฉิงหมิ่นเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาบ้าง นี่เป็นเวลาเพียงสี่เดือน รอวันหน้าเฉิงอวี๋โม่มีฐานะมั่นคงในจวนสกุลฮั่วแล้ว คลอดบุตรชายคนโต ส่วนเฉิงอวี๋จิ่นเพราะถูกถอนหมั้นทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับคนดีได้ หรืออาจถึงขั้นไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใด ความแตกต่างของสองพี่น้องจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น นี่ไม่ยิ่งแย่ไปใหญ่หรือ
เฉิงหมิ่นเหนื่อยใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางทนไม่ได้ที่จะให้เฉิงอวี๋จิ่นเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ แต่พอคิดถึงปีศาจจอมก่อกวนโลกที่บ้านตนเองผู้นั้นแล้วยังคงไม่ได้พูดอะไร
สวีจือเซี่ยนก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป ช่วงก่อนท่าทางเหม่อลอย เฉิงหมิ่นในฐานะมารดาพอจะมองความคิดของบุตรชายออกอย่างคร่าวๆ นางเดิมทีคิดว่าการแต่งงานที่พักไว้ก่อนหน้านี้มีโอกาสพลิกผัน ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน สวีจือเซี่ยนออกนอกจวนไปครั้งหนึ่ง พอกลับมาจวนก็มีสีหน้าเศร้าสลด เฉิงหมิ่นพูดถึงเฉิงอวี๋จิ่นอีกครั้ง สวีจือเซี่ยนแค่เพียงส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไรเลย
เฉิงหมิ่นมองออกว่าครั้งนี้สวีจือเซี่ยนปฏิเสธจริงๆ แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร สวีจือเซี่ยนก็ไม่ยอมบอกสาเหตุ เฉิงหมิ่นนอกจะถอนหายใจยาวแล้ว ไม่มีวิธีจะพูดเกลี้ยกล่อมอีก
พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว