บทที่ 81
แสงไฟส่องสว่าง เฉิงอวี๋จิ่นมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
หลินชิงหย่วนแท้จริงแล้วเห็นเฉิงอวี๋จิ่นตั้งแต่ไกลแล้ว นางสวมเสื้อคลุมสีขาว ยืนดูโคมไฟหน้าแผงโคมไฟแผงหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงแผ่นหลัง มองหน้าตาไม่ชัดเจน แต่กลับคุ้นตาอย่างมาก หลินชิงหย่วนรู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูกว่านางก็คือเฉิงอวี๋จิ่น
หลินชิงหย่วนลองเรียกดูทีหนึ่ง วันนี้เป็นเทศกาลซั่งหยวน คนดีเลวปะปนกัน เดินไปมาไม่หยุด เขาไม่มั่นใจว่าเฉิงอวี๋จิ่นยินดีจะพบเขาในสถานที่เช่นนี้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเฉิงอวี๋จิ่นจะหันหน้ามาจริงๆ
หลินชิงหย่วนมีแรงฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขาแหวกกลุ่มคนมาถึงข้างกายเฉิงอวี๋จิ่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ข้ายังไม่กล้ามั่นใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่เฉิงจริงๆ”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ยิ้มเลย และไม่ได้ขยับ เพียงยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ อย่างนั้น มองดูหลินชิงหย่วนเดินข้ามถนนมาอย่างยากลำบาก เบียดมาถึงตรงหน้านาง จนสุดท้ายเฉิงอวี๋จิ่นจึงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ข้าเห็นโคมไฟที่นี่น่าสนใจจึงเดินมาดู เมื่อครู่คนมากเหลือเกิน ข้าไม่เห็นอาลักษณ์หลิน ขออาลักษณ์หลินอภัยด้วย”
หลินชิงหย่วนได้ยินแล้วก็รีบโบกมือ “เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเรื่องปกติมาก บนถนนมีคนมากมายอย่างนี้ จะเห็นไปหมดทุกคนได้อย่างไร คุณหนูใหญ่เฉิงเกรงใจเกินไปแล้ว ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคำพูดประโยคนี้ ความรู้สึกอึดอัดมาตลอดคืนก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง ความตึงเครียดในใจนางคลายลง สีหน้าท่าทางก็ดูมีความสุขขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกเบิกบานใจตามไปด้วยอย่างไร้สาเหตุ
หลินชิงหย่วนปกติไม่จุกจิกเรื่องมาก ในเมืองหลวงเขามีญาติมิตรไม่มาก ออกมาชมโคมไฟเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น ตอนนี้ได้มาเจอเฉิงอวี๋จิ่นเข้า เขาคิดว่ายากนักจะได้เจอคนรู้จักสักคน ไม่ติดขัดอะไรที่จะไปชมโคมไฟด้วยกัน หลินชิงหย่วนคิดเช่นนี้จึงพูดออกมาว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อไป ข้าเห็นด้านหน้ามีการทายปริศนาโคมไฟ พวกเราไปดูด้วยกันดีหรือไม่”
ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวได้ยินคำพูดของหลินชิงหย่วนแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเมืองหลวงคนมีอำนาจบารมีมาก กฎระเบียบมารยาทก็มากเช่นกัน บุรุษผู้หนึ่งพูดคำเช่นนี้ออกมา เรียกได้ว่าเสียมารยาทอย่างมาก
เฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่ค่อยใส่ใจ หากเป็นบุรุษอื่นพูดคำเช่นนี้ออกมา คงเป็นการล่วงเกินอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลินชิงหย่วนไม่ใช่คนในเมืองหลวง เขาไม่คุ้นเคยกับประเพณีมารยาทของเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติมาก อีกอย่างหลินชิงหย่วนเดิมทีก็เป็นคนที่มีนิสัยใจกว้างไม่จุกจิกเรื่องมากอยู่แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ ไม่ใส่ใจการออกนอกกรอบเล็กน้อยเหล่านี้ “ได้ รบกวนอาลักษณ์หลินแล้ว”
หลินชิงหย่วนได้ยินก็ดีใจจนออกนอกหน้า รวบรวมความกล้าอาสาเดินนำหน้า เฉิงอวี๋จิ่นหันหน้าไปมองด้านหลังเล็กน้อย ท่านหญิงชิ่งฝูกับนายหญิงรองตี๋ยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งสองไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกัน สีหน้าของท่านหญิงชิ่งฝูค่อยๆ เย็นชาขึ้น แต่เป็นหร่วนซื่อที่ทั้งตกใจและลอบยินดี พยายามสะกดรอยยิ้มบนใบหน้า
อยู่ไกลเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นย่อมไม่อาจได้ยินว่าพวกนางพูดอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางของท่านหญิงชิ่งฝู แม้จะตกใจไม่พอใจ แต่ไม่ได้โกรธจนสะบัดแขนเสื้อ เห็นได้ว่าเรื่องที่นายหญิงรองตี๋พูดแม้จะทำให้นางไม่ยินดี แต่ก็ไม่ได้เหยียบถูกขีดจำกัดต่ำสุด ก็หมายความว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องการถอนหมั้น?
ท่านหญิงชิ่งฝูต่อให้ไม่มีความรู้สึกต่อเฉิงอวี๋จิ่นเพียงไร แต่อย่างไรก็เป็นมารดาในนาม หากถอนหมั้นต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านหญิงชิ่งฝูต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วแน่นอน จะมายืนนิ่งฟังนายหญิงรองตี๋กลางถนนได้อย่างไร
ไม่ใช่ถอนหมั้น หรือจะเป็นเงื่อนไขในพิธีแต่งงานหรือสินสอด ตี๋เหยียนหลินแต่งภรรยาเอกคนใหม่ ตามหลักประเพณีคนที่แต่งใหม่ต้องทำพิธีในฐานะอนุภรรยาต่อหน้าภรรยาเอกเดิม ในทุกด้านย่อมไม่อาจเกินหน้าภรรยาเอกเดิมได้ สินสอดตามธรรมเนียมก็ต้องต่ำกว่าภรรยาเอกเดิมเช่นกัน สกุลตี๋อาจจะพิจารณาถึงกฎเกณฑ์ข้อนี้จึงมาเจรจาเงื่อนไขกับจวนอี๋ชุนโหวกระมัง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร นางเหม่อมองโคมไฟตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเยาะตนเอง นางกลายเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงกับต้องเริ่มอาศัยผู้อื่นแล้ว
ใต้หล้านี้ไม่มีใครสนใจเรื่องเหล่านี้มากกว่านางอีกแล้ว เฉิงหยวนจิ่งถึงแม้พูดว่าจะช่วยนาง แต่งานของเขายุ่งมาก จะสนใจไปทุกด้านได้อย่างไร พูดถึงที่สุดแล้ว เรื่องนี้ยังต้องอาศัยตนเอง
วิงวอนพระขอร้องคนสู้พึ่งพาตนเองไม่ได้ ทั้งที่เป็นหลักการที่นางเข้าใจตั้งแต่เจ็ดขวบ เหตุใดตอนนี้ยังเลอะเลือนได้อีก