ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 81-82
หลินชิงหย่วนเดินไปครู่หนึ่ง พูดกับคนด้านหลังไม่มีการตอบสนองใด พอหันหน้าไปจึงเห็นว่าเฉิงอวี๋จิ่นยังยืนอยู่กับที่ กำลังจ้องมองโคมไฟดวงหนึ่งอยู่ หลินชิงหย่วนสงสัย ทำได้เพียงย้อนกลับมา “คุณหนูใหญ่เฉิง เป็นอะไรหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นหลุดจากภวังค์ความคิด รู้ตัวว่าตนเองทิ้งให้หลินชิงหย่วนเคว้งคว้าง จึงก้มหน้ากระแอมทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเห็นโคมไฟดวงนี้แปลกดี มองเพลินโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ได้เดินตามอาลักษณ์หลิน ”
หลินชิงหย่วนพอได้ยินว่าเป็นเพราะโคมไฟก็โบกมือทันที “ไม่เป็นไร คุณหนูใหญ่เฉิงไม่จำเป็นต้องขออภัยข้า ข้าเป็นคนพาคุณหนูใหญ่เฉิงไปเที่ยวเล่น ไม่ได้มาเพื่อให้คุณหนูใหญ่เฉิงขออภัย ขอเพียงคุณหนูใหญ่เฉิงมีความสุขก็พอ”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจ หลินชิงหย่วนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมามากคนหนึ่ง มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนสวีจือเซี่ยน แต่มีความคิดมีความสามารถมากกว่าสวีจือเซี่ยน คนเช่นนี้หากนางแต่งกับเขา วันหน้าต้องสบายใจมากแน่นอน
เฉิงอวี๋จิ่นหลุบตาลงปิดบังความคิดในใจ พูดว่า “ขอบคุณอาลักษณ์หลิน”
หลินชิงหย่วนเห็นเฉิงอวี๋จิ่นหยุดอยู่ตรงหน้าโคมไฟดวงหนึ่ง คิดจริงๆ ว่าเมื่อครู่นางดูโคมไฟอยู่ จึงพูดว่า “ถ้าคุณหนูใหญ่เฉิงชอบโคมไฟ ข้างหน้ายังมีโคมไฟรูปร่างแปลกตาอีกหลายแบบ คุณหนูใหญ่เฉิงลองเดินไปดูข้างหน้าก็ได้”
“ได้” เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้า บนถนนคนเดินไปเดินมา เฉิงอวี๋จิ่นหันหน้าไปมองแวบหนึ่ง เห็นพวกท่านหญิงชิ่งฝูยังคงตั้งใจพูดคุยกันอยู่ ไม่ได้สังเกตรอบข้างแม้แต่น้อย
ในเวลานี้มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านกลางถนนพอดี รอจนรถม้าเคลื่อนที่เบียดเอียงไปมา เฉิงอวี๋จิ่นก็หายไปจากตำแหน่งเมื่อครู่แล้วเช่นกัน
จู่ๆ ร่างของนางก็หายไปจากสายตา ตี๋เหยียนหลินขมวดคิ้ว รีบเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าวทันที ทว่าเทศกาลซั่งหยวนทุกคนออกมาเดินเล่น คนบนถนนมีมากเหลือเกิน ตี๋เหยียนหลินมองหาอยู่นานก็ไม่เจอเงาร่างของเฉิงอวี๋จิ่น
ตี๋เหยียนหลินหัวคิ้วขมวดแน่น วันนี้มีคนพลุกพล่านมากมายไปหมด ข้างกายเฉิงอวี๋จิ่นมีเพียงสาวใช้สองคน เดินรวมไปกับทุกคนเช่นนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าจะมุ่งไปทางที่เฉิงอวี๋จิ่นเดินหายไปทันที ทว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน
เขาไปร่วมงานเลี้ยงกับสหายร่วมงานตามปกติ แต่ระหว่างดื่มสุราเต็มที่เดินออกไปให้สร่างเมากลับถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งขวางเอาไว้ ตี๋เหยียนหลินมีประสบการณ์มาก พอฟังเสียงของอีกฝ่ายก็แยกออกได้ว่านี่คือขันที ใต้หล้านี้มีสถานที่แห่งเดียวที่มีขันที อาการเมาของตี๋เหยียนหลินสร่างไปกว่าครึ่งในทันที ทว่าขันทีผู้นั้นส่งยิ้มให้เพียงเปลือกนอก หลังจากพูดคำสองแง่สองง่ามบางอย่างแล้วก็บอกเขาอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่าอย่ามีความคิดอะไรที่ไม่ควรมี วาสนาบางอย่างเขารับไม่ไหว
อาการเมาของตี๋เหยียนหลินสร่างไปจนสิ้น
ตี๋เหยียนหลินยืนอยู่กลางลมหนาวอยู่นาน ใบหน้าเปลี่ยนจากแดงด้วยฤทธิ์สุราเป็นขาวซีด เขาย้อนคิดคำพูดของขันทีซ้ำไปซ้ำมา ‘อย่ามีความคิดอะไรที่ไม่ควรมี’ ระยะนี้เขาไม่ได้ทำอะไรต่างจากคนอื่น มีสิ่งเดียวที่แตกต่างไปก็คือกำลังวางแผนแต่งภรรยาเอกคนใหม่
ตี๋เหยียนหลินคิดถึงตรงนี้พลันรู้สึกว่าเหลือเชื่อ เฉิงอวี๋จิ่นถูกคนในวังหลวงหมายตาเข้าหรือ
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร
ตี๋เหยียนหลินจะมีแก่ใจดื่มสุราอีกได้อย่างไร สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปบอกความที่โต๊ะสุรา ส่วนเขากลับจวนไปก่อน หลังจากตี๋เหยียนหลินกลับถึงจวนก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก เขาครุ่นคิดซ้ำๆ อยู่นาน สุดท้ายไประบายให้ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ฟัง บอกให้มารดาระงับเรื่องการแต่งงานของสกุลเฉิงไว้ชั่วคราว
ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ได้ยินว่ามีขันทีมาเตือนตี๋เหยียนหลินก็ตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้วครึ่งหนึ่ง จะกล้าเพียงระงับไว้ได้อย่างไร จึงบอกให้นายหญิงรองตี๋ไปถอนหมั้นในทันที ทว่าการถอนหมั้นพวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินสกุลเฉิงเช่นกัน จำต้องทำอย่างเกรงใจ แทบจะขอร้องอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บอกว่าเรื่องที่พวกเขาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถือเสียว่าไม่เคยมีมาก่อนก็แล้วกัน
ในวังหลวงยังมีองค์ชายที่ยังไม่ได้แต่งพระชายา ต่อให้มอบความกล้าหาญล้นฟ้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ นางก็ไม่กล้าแย่งคนกับทางราชวงศ์
บังเอิญก่อนหน้านี้นัดหมายกันว่าจะพบหน้ากันในเทศกาลซั่งหยวน เดิมทีผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านอยากจะสร้างโอกาสให้แก่ว่าที่บ่าวสาว ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน อันที่จริงพูดได้ชัดแล้วก็คือความคิดส่วนตัวของตี๋เหยียนหลินเอง ทว่าตอนนี้ถูกคนในวังหลวงตักเตือน จวนไช่กั๋วกงไม่กล้ามีความคิดใด ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋อายุมากแล้ว ไม่เหมาะจะเดินเบียดเสียดคนมากมายบนถนน จึงให้นายหญิงรองตี๋ออกจากจวน พูดกับสกุลเฉิงให้กระจ่างด้วยท่าทีอันดี
อย่างไรเสียก็ไม่ได้หมั้นหมายเป็นทางการ เป็นเพียงผู้ใหญ่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนคำสัญญากัน ขอเพียงสกุลเฉิงไม่พูด สกุลตี๋ไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ดีต่อชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เฉิง และดีต่ออนาคตของสกุลตี๋เช่นกัน
นายหญิงรองตี๋สีหน้าอมทุกข์ออกจากจวน ในสถานการณ์เช่นนี้ตี๋เหยียนหลินไม่เหมาะจะพบหน้าเฉิงอวี๋จิ่นแล้ว แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ ตามรถม้าของนายหญิงรองตี๋อยู่ไกลๆ และมองเฉิงอวี๋จิ่นเดินลงมาจากรถม้าโดยมีผู้คนมากมายกั้นกลาง
วันนี้นางตั้งใจแต่งตัว แม้จะเป็นเพราะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เสื้อผ้าบนร่างจึงเป็นสีเรียบ แต่เสื้อคลุมสีขาวสะอาดทั้งตัวของนางยามยืนอยู่ใต้แสงไฟมีแสงเงาตัดกัน เหมือนบุปผาสีเงินบนต้นไม้ประดับไฟ ราวกับว่าดวงดาวบนท้องฟ้าพากันตกลงมาบนตัวนาง
ตี๋เหยียนหลินมองอยู่ไกลๆ ราวกับห่างกันคนละโลก มือของเขาใต้แขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น ความรู้สึกมากมายทั้งไม่ยินยอม ตกใจ ไม่พอใจต่างประดังประเดเข้ามา กรอกลงจนเต็มในใจของเขา
ก่อนหน้านี้ที่วัดเซียงจี เฉิงอวี๋จิ่นทำลายศักดิ์ศรีของเขาอย่างรุนแรง นับจากตี๋เหยียนหลินเติบโตมาถึงตอนนี้ นั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับเขาเช่นนั้น สตรีทุกคนต่างประจบเขาเอาใจเขา มีเพียงอยู่ในสายตาเฉิงอวี๋จิ่นที่ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว
ตี๋เหยียนหลินถูกกระตุ้นความดุร้ายขึ้นมา ต้องการจะเอาหญิงคนนี้มาเป็นของตนเองยิ่งขึ้น ใต้หล้านี้จะมีเหตุผลอะไรมากมายให้พูดกัน แค่เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยินดีจะแต่งก็จะไม่แต่งได้หรือ
เช่นนั้นก็ดูถูกจวนไช่กั๋วกงของพวกเขาเกินไปแล้ว
ตี๋เหยียนหลินถือเอาความต้องการของตน ฝืนทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจริงๆ ระยะนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่น เขาคิดมาตลอดว่ารอให้เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วจะมีท่าทีอย่างไร รอจนนางแต่งเข้าจวนไช่กั๋วกงกลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว จะโอนอ่อนมาขอร้องเขาหรือไม่
ตี๋เหยียนหลินแค่คิดก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน การพบหน้าในเทศกาลซั่งหยวนก็เป็นเรื่องที่ตี๋เหยียนหลินตั้งใจเตรียมการไว้ เขาอยากดูว่าตอนเฉิงอวี๋จิ่นเผชิญหน้ากับเขาจะมีสีหน้าอย่างไร