บทที่ 82
ถึงแม้โคมไฟตรงหน้าจะทำได้เหมือนจริงและงดงามจับตาเพียงใด แต่เฉิงอวี๋จิ่นยังคงไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ การทายปริศนาโคมไฟแม้จะคึกคัก แต่เสียงข้างหูล้วนเป็นคำพูดระหว่างสามีภรรยา สหาย และครอบครัวพ่อแม่ลูก เฉิงอวี๋จิ่นเพียงรู้สึกว่าความคึกคักเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
นางเหม่อลอยอีกครั้ง หลังจากดึงสติกลับมา เฉิงอวี๋จิ่นพบว่านางมองปริศนาโคมไฟตรงหน้าอยู่นานมากแล้ว
สามีภรรยาคู่หนึ่งด้านข้างพาบุตรสาวบุตรชายมาชมโคมไฟ เห็นเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่หน้าโคมไฟนานมากแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางท่านนี้ ปริศนาโคมไฟข้อนี้ค่อนข้างยากสินะ เมื่อครู่พวกเราก็ทายไปหลายข้อ ล้วนผิดหมด”
พวกเขาคิดว่าเมื่อครู่เฉิงอวี๋จิ่นกำลังคิดคำตอบของปริศนาโคมไฟอยู่ ในน้ำเสียงจึงแฝงการหยอกเย้าอย่างเป็นมิตร เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้ายิ้มให้พวกเขา แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินชิงหย่วนได้ยินเสียงจึงหันหน้ามาถามว่า “คุณหนูใหญ่เฉิงเป็นอะไรหรือ”
“ไม่ได้เป็นอะไร” เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้า สถานที่นี้ปลอดภัยและคึกคัก เหลียนเชี่ยวกับตู้รั่วนานทีจะได้ออกนอกจวน ตอนนี้มองดูจนตาไม่กะพริบ พวกนางปรนนิบัติรับใช้เฉิงอวี๋จิ่นมาหนึ่งปี แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย เฉิงอวี๋จิ่นอยากให้พวกนางได้พักผ่อน จึงไม่ได้เรียกพวกนาง เพียงเดินไปริมแม่น้ำคนเดียว
เพิงขายโคมไฟนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ในตอนนี้ผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าลูกค้าจะเบียดแน่นจนตกน้ำไป ขนาดแผงแต่ละแผงมีจำกัด เจ้าของแผงอยากจะจัดวางโคมไฟให้มากขึ้น จึงยื่นตัวแผงจากบนฝั่งแม่น้ำไปบนผิวน้ำแข็ง ลอบขยายความกว้างของพื้นที่แผงขาย
ไม่เพียงแต่เจ้าของแผงคนนี้มีความคิดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน กวาดตามองไป ธาราน้ำแข็งราวกับแถบสีเงินแถบหนึ่งทอดยาวคดเคี้ยวอยู่กลางเมือง สองฟากประดับด้วยโคมไฟดวงเล็กดวงน้อยราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าตกลงมาในแดนมนุษย์ งดงามอย่างยิ่ง
แผงขายต้องการทำการค้า ดังนั้นจะแขวนโคมไฟที่สวยที่สุดไว้ตรงกลางแผง คนที่ห้อมล้อมตรงนั้นจึงมีมากที่สุดเช่นกัน ตรงส่วนที่อยู่บนผิวน้ำแข็งจะเป็นโคมไฟเล็กแขวนกระจัดกระจายจำนวนหนึ่งเท่านั้น จำนวนคนจึงมีน้อยลงตามไปด้วย เฉิงอวี๋จิ่นเดินตามเส้นทางไปถึงริมแม่น้ำ ข้างกายมีคนบางตาลงมาก นางรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
เดินเล่นบนถนนทั้งที่มีเรื่องเก็บอยู่ในใจ ต่อให้เห็นของดีก็ไม่ทำให้รู้สึกสนใจได้ เฉิงอวี๋จิ่นเป็นเช่นนี้ นางแค่รู้สึกว่ากำลังเดินเล่นเป็นเพื่อนคนอื่นอยู่เท่านั้น ตนเองไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย
นางจ้องไปยังแสงไฟที่สะท้อนบนผิวแม่น้ำ ท่าทางเหม่อลอย เมื่อเทียบกันแล้วในฤดูร้อนตอนที่นางออกจากจวนไปดูร้านค้าที่ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเหลือทิ้งไว้ให้นางครั้งนั้น เดินทางไปด้วยเที่ยวเล่นไปด้วย มีความตั้งใจมากกว่าตอนนี้ เป็นไปได้ว่าสภาพจิตใจในการไปสำรวจของของตนนั้นไม่เหมือนกัน และอาจเป็นไปได้ว่าเพราะเป็นคนละคนกัน
เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันใด นางสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง อยากให้อากาศที่เย็นเยือกกระตุ้นสมองของตนเองสักนิด ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น เฉิงอวี๋จิ่นกลับพบว่ามีเด็กคนหนึ่งถือโคมไฟรูปเสือดวงหนึ่งวิ่งเล่นอยู่กลางแม่น้ำ
ผู้ใหญ่ที่ดูแลเขาคงไม่ได้จับตาดูไปชั่วขณะ หรืออาจคิดว่าแม่น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งแน่นหนาแล้ว คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงปล่อยให้เด็กมาวิ่งเล่นบนพื้นน้ำแข็งตามลำพัง ทว่าเด็กคนนี้ค่อยๆ วิ่งไปถึงกลางแม่น้ำ ตรงนั้นห่างจากริมฝั่งไปไกล ชั้นน้ำแข็งที่จับตัวบางมาก ยิ่งไปกว่านั้นฤดูหนาวปีนี้มีหิมะตกเพียงไม่กี่ครั้ง และช่วงปีใหม่หลายวันนี้อากาศยังอบอุ่นขึ้นมากอีกด้วย
เฉิงอวี๋จิ่นเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาทันใด ในเวลานี้เองนางดูเหมือนจะมองเห็นรางๆ ว่าชั้นน้ำแข็งเกิดรอยแตกบางๆ เส้นหนึ่งทอดยาวออกไป
เฉิงอวี๋จิ่นตกใจ ตะโกนเรียกคนตามสัญชาตญาณ ทว่ารอบข้างเสียงดังอึกทึก ทุกคนกำลังล้อมชมโคมไฟทายปริศนา จะได้ยินเสียงของนางได้อย่างไร และเด็กคนนั้นเหมือนไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายเลย ยังคงวิ่งไปตรงกลางแม่น้ำ
กลางแม่น้ำอยู่ห่างจากฝั่ง ชั้นน้ำแข็งไม่มีแรงยึดเหนี่ยว มักจะเป็นส่วนที่บางที่สุด เด็กคนนั้นไม่รู้ความ ตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบเวลาเช่นนี้ ทั้งยังเป็นเด็กที่ตัวแค่นี้อีกด้วย แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดเลย