“เจ้าคิดว่าข้าอยากรับเจ้าเป็นชายารองหรือ” เฉิงหยวนจิ่งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เขาที่อยู่ในใจของเฉิงอวี๋จิ่นมีภาพลักษณ์อย่างไรกันแน่
เฉิงอวี๋จิ่นมีท่าทางอยากจะยอมรับแต่ไม่กล้ายอมรับ เม้มปากก้มหน้าลง
เฉิงหยวนจิ่งเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่อารมณ์ของเฉิงอวี๋จิ่นจึงตื่นเต้นรุนแรงเช่นนั้น เริ่มจากการตัดสินเขาว่าชอบของแปลกใหม่ชั่วขณะ จากนั้นก็ยกตัวอย่างของเฉิงหยวนเสียนออกมา ลอบตำหนิเขาว่าหมายปองความงามบังคับรับนางเป็นอนุภรรยา เฉิงอวี๋จิ่นช่างเป็นคนที่…เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เฉิงหยวนจิ่งสะกดอารมณ์ สุดท้ายยังคงเห็นแก่ที่นางเป็นคนป่วย จึงไม่ถือสานาง เฉิงหยวนจิ่งพูดว่า “เจ้าช่างคิดเก่งจริงๆ เห็นแก่ที่เจ้ายังป่วยอยู่ รอเจ้าหายแล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
พูดจบเฉิงหยวนจิ่งก็ขมวดคิ้ว “วันหน้าเจ้าไม่ต้องฟังคำพูดส่งเดชเหล่านั้นแล้ว อนุภรรยาอะไร แท้งลูกอะไร นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรฟังหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยอมแพ้ เอ่ยปากค้านอย่างทนไม่ไหว “เรื่องเหล่านี้แต่เดิมก็มีอยู่แล้ว มีเพียงบุรุษอย่างพวกท่านทำได้ แต่ห้ามผู้อื่นพูดหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งไม่ระวังก็ถูกติดป้ายคำว่า ‘บุรุษอย่างพวกท่าน’ เสียแล้ว เฉิงหยวนจิ่งสะกดความโกรธ พูดว่า “ใครบอกว่าข้าเป็นเช่นนั้น”
เฉิงอวี๋จิ่นรูม่านตาขยาย จ้องหน้าเฉิงหยวนจิ่ง รอคำพูดครึ่งประโยคหลังของเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงหยวนจิ่งที่ถูกดึงไปอยู่ในระดับเดียวกับเฉิงหยวนเสียนอย่างต่อเนื่อง อดกลั้นจนพอแล้ว เดิมทีเขาคิดจะรอให้พระราชโองการออกมาก่อนค่อยบอกเฉิงอวี๋จิ่น แต่ตอนนี้เขาไม่พูดให้เข้าใจ เฉิงอวี๋จิ่นคงจะคิดว่าเขาเป็นลูกคหบดีที่หลงใหลความงามไร้ความรับผิดชอบแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งประสานสายตากับเฉิงอวี๋จิ่นอยู่นาน จึงพูดว่า “ข้าไม่เคยคิดจะแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารอง จะพูดให้ถูกต้องก็คือถ้าเจ้าไม่ได้พูดเตือนสติ ข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องจะรับอนุภรรยาเลย เมื่อวานข้าลงน้ำไปช่วยเจ้า ย่อมไม่ได้ช่วยอย่างเสียเปล่า และไม่ได้เกิดจากใคร่ครวญว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นหลานสาวในนามของข้าด้วย ข้าไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มีการตอบแทน อวี๋จิ่น นับจากอดีตบุญคุณการช่วยชีวิตต้องตอบแทนอย่างไร เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นมองเขาอย่างตกตะลึงไม่กล้าเชื่อ
เฉิงหยวนจิ่งรอท่าทีตอบสนองจากเฉิงอวี๋จิ่น เฉิงอวี๋จิ่นคิดอยู่นานมาก ไม่รู้ว่าสมองตนเองแช่น้ำจนคิดไม่ออก หรือว่าสมองของเฉิงหยวนจิ่งที่คิดไม่ออกกันแน่ ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนคนใดมีน้ำเข้าสมองมากกว่ากัน เฉิงอวี๋จิ่นนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท…”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงของหลิวอี้ก็ดังมาจากนอกห้อง “นายท่าน”
คำพูดที่เฉิงอวี๋จิ่นเตรียมไว้แต่เดิมถูกตัดบท นางได้สติขึ้นในทันใด ลุกขึ้นยืนทันที ถอยหลังไปหลายก้าว จนไปถึงจุดที่อยู่ห่างจากเฉิงหยวนจิ่งห้าก้าว ความคิดจะแบ่งเขตแดนชัดเจนอย่างมาก
เฉิงหยวนจิ่งหรี่ตา กวาดสายตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ไปทางประตูแวบหนึ่ง เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจคนข้างนอก แต่หลิวอี้ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเขา จึงพูดอีกรอบว่า “นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องด่วนจะรายงานขอรับ”
หลิวอี้ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ เขาพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญจริงๆ เฉิงหยวนจิ่งสะกดอารมณ์เอาไว้ ถามว่า “เรื่องอะไร”
หลิวอี้หยุดเล็กน้อย หากเขาจำไม่ผิด คุณหนูใหญ่เฉิงยังอยู่ในห้อง หลิวอี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งเหมือนไม่คิดจะหลบเลี่ยงคุณหนูใหญ่เฉิง จำต้องพูดต่อไปว่า “นายท่าน คนข้างนอกรอนานแล้ว เมื่อครู่ส่งคนมาถามอีกว่านายท่านเมื่อใดจะมาถึง”
เฉิงอวี๋จิ่นเริ่มแรกคิดว่าหลิวกงกงมีเรื่องด่วนจะรายงาน นางอยู่ฟังด้วยไม่ค่อยดี ทว่านี่เดิมทีก็เป็นห้องของเฉิงอวี๋จิ่น นางไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใด ทำได้เพียงฟังอยู่ตรงนั้น
เฉิงอวี๋จิ่นนึกสงสัยอยู่บ้าง หลิวอี้ไม่สนใจว่าจะรบกวนเฉิงหยวนจิ่งพูดคุยมาเตือนสติถึงเรือนส่วนใน นางยังคิดว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้ฟังดูแล้ว เหมือนไม่มีอะไรสำคัญ
คนข้างนอก…เฉิงอวี๋จิ่นจับคำไม่กี่คำนี้ตามจิตใต้สำนึก ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท คนที่ส่งคนมาเร่งเขาได้ ยังทำให้หลิวอี้ร้อนใจจนเป็นเช่นนี้ ยังจะมีใครได้อีก