ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 3-บทที่ 4
เขาคิดว่าตนเองอาจจะเคยเห็นมาแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย พอดีวันนี้ไม่มีงานอะไร จึงถามเพิ่มอีกหลายประโยค “วันนี้ข้าเห็นมีแขกมา เป็นผู้ใดหรือ”
“แขกหรือ” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงสงสัย เขาป่วยหนักพักฟื้นอยู่ ข่าวแขกภายนอกย่อมมาไม่ถึงหูของเขา
เฉิงหยวนจิ่งเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุไม่มาก เป็นคนในกองทัพ”
เฉิงหยวนจิ่งพูดเช่นนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงก็เข้าใจในทันที ผู้ที่เป็นทหารอายุน้อย สามารถมาปรากฏตัวที่เรือนส่วนในของสกุลเฉิงในตอนนี้ได้ จะมีใครได้อีก เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นคือบุตรชายสกุลฮั่วจวนจิ้งหย่งโหว ชื่อว่าฉางยวน ปีที่แล้วหมั้นหมายกับหลานสาวคนโตของท่าน”
“อ้อ” เฉิงหยวนจิ่งมีความสนใจมากขึ้น ในดวงตาของเขาปรากฏรอยยิ้มเป็นประกาย หยุดคิดไปครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ความสัมพันธ์กลับดูไม่ค่อยดีนัก”
“อะไรนะ!” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงตกใจอย่างมาก ในสมองงุนงง หลังจากตามหาเสี่ยวเซวียซื่อเจอ เขาก็สนใจแต่เสี่ยวเซวียซื่อ ภายหลังได้รู้ฐานะของเฉิงหยวนจิ่ง เขาก็ทุ่มเทจิตใจกับวางแผนเพื่อเฉิงหยวนจิ่ง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงสนใจบรรดาหลานชายหลานสาวในเรือนส่วนในน้อยมาก…หรือเรียกได้ว่าไม่เคยสนใจเลย
แต่อย่างไรเสียเขาก็รู้ว่าบุตรสาวคนโตของบ้านรองถูกยกให้เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของสะใภ้ใหญ่ หลายปีมานี้เป็นเด็กเชื่อฟังรู้ความ กตัญญูอย่างมาก แม้ว่าเขากับเฉิงอวี๋จิ่นจะไม่มีความผูกพันกันเท่าใดนัก แต่ด้วยฐานะญาติผู้ใหญ่ย่อมหวังว่าหลานสาวจะมีชีวิตที่ดี ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นหมั้นหมายกับฮั่วฉางยวน เขายังรู้สึกเบิกบานใจแทนนางอยู่พักหนึ่ง
แต่เพิ่งผ่านไปเพียงสองเดือน หรือจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่ค่อยสอบถามเรื่องราวในบ้าน แต่ในด้านนี้มีความมั่นใจอย่างมาก จึงพูดว่า “หลานสาวคนโตของท่านเป็นคนเชื่อฟังรู้ความที่สุดแล้ว คงเป็นเจ้าหนุ่มสกุลฮั่วทำไม่ถูก ทำให้นางเจ็บช้ำใจ”
เฉิงอวี๋จิ่นเจ็บช้ำใจ? ดูไม่ค่อยเหมือนนัก
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่ได้สังเกตสีหน้าประหลาดใจของเฉิงหยวนจิ่ง พร่ำบ่นต่อไปว่า “วันหน้าค่อยเรียกเจ้าใหญ่เข้ามาสอบถามดู เขาก็อายุมากแล้ว ดูสิว่าเป็นพ่อประเภทไหน จริงสิ จิ่วหลาง ฮั่วฉางยวนกับท่านก็มีความเกี่ยวพันด้วยเช่นกัน”
เฉิงหยวนจิ่งรู้สึกแปลกใจ เขาเลิกคิ้วขึ้น “อย่างนั้นหรือ”
“แม่ของฮั่วฉางยวนแซ่เซวียเช่นเดียวกัน เป็นพี่น้องห่างๆ กับเสวี่ยหลัน”
เรื่องนี้เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้จริงๆ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอธิบายว่า “ในตอนนั้นบ้านของเสวี่ยหลันได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ถูกเนรเทศออกไปทั้งบ้าน บ้านเกิดของฮั่วเซวียซื่ออยู่ไกล กอปรกับโทษนี้มาไม่ถึงหญิงที่แต่งออก จึงถูกปล่อยไป”
‘เสวี่ยหลัน’ เป็นชื่อของ ‘เสี่ยวเซวียซื่อ’ เฉิงหยวนจิ่งถูกรับมาที่เมืองหลวง เสี่ยวเซวียซื่อเป็นผู้เลี้ยงดู ในด้านความหมายบางอย่าง เสี่ยวเซวียซื่อก็ถือเป็นมารดาที่เลี้ยงดูเขา
เฉิงหยวนจิ่งพยักหน้า ดูท่าเขาย้ายเข้าเมืองหลวงมา จำเป็นต้องตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของแต่ละจวนให้ดีแล้ว
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกับเฉิงหยวนจิ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ บ่าวที่อยู่ข้างนอกเพิ่มน้ำหนักฝีเท้ามาแต่ไกล ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกับเฉิงหยวนจิ่งจึงหยุดการสนทนาลง
คนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูคารวะ “ท่านโหว นายท่านเก้า คุณหนูใหญ่มาเยี่ยมคารวะขอรับ”
เยี่ยมคารวะ? เฉิงหยวนจิ่งส่ายหน้าฉีกยิ้ม รู้สึกมากขึ้นว่าหลานสาวคนนี้น่าสนใจ นางไม่วางใจในตัวเขาถึงขั้นนี้ เพิ่งผ่านไปไม่นานก็ไล่ตามมาเสียแล้ว
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ปกติเข้าไม่ได้ให้เด็กรุ่นหลังมาเยี่ยมคารวะ มีเพียงวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าเหล่าบุตรชายหลานชายจะมาหาเป็นพิธี หลานสาวในหนึ่งปีได้เจอหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง เหตุใดเฉิงอวี๋จิ่นจึงคิดอยากจะมาเยี่ยมคารวะเขา
ท่านโหวผู้เฒ่ามองเฉิงหยวนจิ่งเป็นเชิงถาม
เฉิงหยวนจิ่งยิ้มพยักหน้า พูดว่า “เชิญคุณหนูใหญ่เข้ามาเถอะ”
เชิงอรรถ
* ป้ายเหล็กอักษรชาด ชาวจีนทั่วไปรู้จักในนาม ‘ป้ายทองเว้นโทษตาย’ บ้างเป็นแผ่นโค้งอย่างกระเบื้อง บ้างเป็นทรงคล้ายปล้องไผ่ผ่าครึ่ง เป็นของที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ผู้มีคุณูปการแก่บ้านเมือง
* ชุดอี้ส่าน เป็นชุดขุนนางแบบหนึ่งแขนยาวกระโปรงจีบ เป็นชุดที่ชาวมองโกเลียคิดขึ้น แต่ยุคที่ใช้มากที่สุดคือยุคราชวงศ์หมิง
* จิ้นซื่อ เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบรับราชการผ่านในระดับหน้าพระที่นั่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณของจีน (เคอจวี่) จะสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับท้องถิ่น (อำเภอหรือจังหวัด) เรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อและได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเลือกเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามลำดับคะแนนจากมากที่สุด ได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
* ประตูวงเดือน คือประตูที่เจาะเป็นรูปวงกลม
** หลาง เป็นคำที่ใช้เรียกบุรุษ ใช้ในหลายกรณี เช่น ภรรยาเรียกสามี บ่าวเรียกเจ้านาย ในที่นี้ ‘จิ่วหลาง’ หมายถึงบุตรชายลำดับที่เก้าของสกุล
* การสอบเตี้ยนซื่อ คือการสอบขุนนางหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเป็นการสอบระดับสูงสุดในการสอบขุนนางจีนในสมัยโบราณ ผู้ที่สอบได้เป็นบัณฑิตเอกสามขั้น (จิ้นซื่อ) เรียงตามลำดับคะแนน ได้แก่ บัณฑิตเอกขั้นหนึ่ง เรียกว่า ‘บัณฑิตจิ้นซื่อระดับสูง’ มีสามคน เรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา บัณฑิตเอกขั้นสอง เรียกว่า ‘บัณฑิตจิ้นซื่อระดับรอง’ และบัณฑิตเอกขั้นสาม เรียกว่า ‘บัณฑิตถงจิ้นซื่อ’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.