ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 5-บทที่ 6
เฉิงอวี๋จิ่นตกใจ คิดว่าตนเองไม่ระวัง พูดคำต้องห้ามอะไรไปแล้ว “ข้า…ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเบาๆ แม้ว่าหลังจากที่เฉิงอวี๋จิ่นเข้ามาเขาก็ยิ้มบางๆ อยู่ตลอด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เป็นเสียงหัวเราะที่ราวกับออกมาจากใจจริงอย่างไรอย่างนั้น
นี่ดูเหมือนเป็นการแสดงอารมณ์อย่างชัดเจนครั้งแรกของเขา เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกตกใจปนงุนงง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับเหมือนโล่งอกในทันใด มีรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาพูดอยู่นานมาก ไม่เห็นองค์รัชทายาทแสดงท่าทีใด และองค์รัชทายาทยังไม่ยินดีอย่างมากที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกด้วย คิดไม่ถึงว่าหลานสาวพูดโอดครวญไปอย่างนั้นกลับคลายปมในใจองค์รัชทายาท ทั้งยังทำให้พระองค์ทรงพระสรวลออกมาได้อีกด้วย
องค์รัชทายาทผ่านความทุกข์ในชีวิตมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนสุขุมนุ่มลึกไม่แสดงความรู้สึกออกมานานแล้ว นี่เป็นการป้องกันตนเอง องค์รัชทายาทเองก็ไม่ได้หัวเราะมานานแล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะออกมาจากใจจริงเกิดขึ้นเมื่อใด
เฉิงอวี๋จิ่นเห็นท่านปู่เปลี่ยนท่าทีจากเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเป็นยกภูเขาออกจากอก แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีความเศร้ามากมาย เฉิงอวี๋จิ่นเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านปู่ ท่านอาเก้า เป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่มีอะไร” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงร่างกายผ่อนคลาย ทันใดนั้นก็ปั้นหน้าเคร่งขรึมพูดสั่งสอนเฉิงอวี๋จิ่นหนึ่งประโยค “วันหน้าห้ามวิจารณ์งานราชสำนักตามใจชอบอีก”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า ตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงวางความหนักใจลง รู้สึกสบายตัวในชั่วพริบตาราวกับว่าอาการป่วยก็ดีขึ้นอย่างมากแล้ว เขาพูดกับเฉิงหยวนจิ่งว่า “จิ่วหลาง เจ้ากว่าจะกลับมาสักครั้งไม่ง่ายนัก ไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าเถอะ”
คำพูดของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงนี้หากจะพูดว่าเป็นคำสั่ง มิสู้พูดว่าเป็นการถามจะดีกว่า ทว่าเฉิงหยวนจิ่งยังคงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยยืนขึ้น พยักหน้าเบาๆ ให้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง “ข้าจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า ท่านโหวท่านพักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรีบตอบรับ “อืม ได้”
เฉิงอวี๋จิ่นมองอยู่ด้านข้าง หรี่ตาลง การแสดงออกของพ่อลูกคู่นี้ไม่ค่อยปกตินัก
เฉิงหยวนจิ่งลุกขึ้นแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นจึงรีบพูดว่า “ท่านปู่ หลานจะตามท่านอาเก้าไปพบท่านย่าด้วย ไม่รบกวนท่านพักรักษาตัวแล้ว”
เฉิงอวี๋จิ่นไล่ตามไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว เฉิงหยวนจิ่งหางตากวาดไปด้านหลังแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
ด้วยประสบการณ์ชีวิตในครอบครัวนานปีของเฉิงอวี๋จิ่น ทั้งสองคนกล่าวลาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าควรจะออกไปพร้อมกัน เดินทางพร้อมกัน ทว่าหลังจากเฉิงอวี๋จิ่นสวมเสื้อคลุมสีแดงสด เปลี่ยนรองเท้าหนังแล้ว เฉิงหยวนจิ่งกลับไม่รอนาง เดินออกไปเสียแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นตกใจอยู่ครู่ใหญ่ คนผู้นี้เลื่อนตำแหน่งถึงขั้นสี่โดยอาศัยตนเองจริงหรือ การกระทำที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่เห็นแก่หน้าใครเช่นนี้ อย่าว่าแต่ในกลุ่มขุนนางเลย ต่อให้เป็นในบ้านใหญ่ก็คงมีชีวิตต่อไปไม่ได้กระมัง
เฉิงอวี๋จิ่นรีบร้อนสวมรองเท้า หยิบเตาพก* ทองแดงจากมือสาวใช้แล้วพลิกม่านประตูวิ่งออกไป
หลังจากเดินออกไป ลมหนาวพัดวูบๆ เข้าหน้า อากาศมีความเย็นหลังจากหิมะตก เฉิงหยวนจิ่งเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากข้างหลัง “ท่านอาเก้า!”
เฉิงหยวนจิ่งมีชาติกำเนิดเป็นพระโอรสองค์โตในฮองเฮา วัยเด็กในวังหลวงวุ่นวายยิ่งยวด แต่ต่อให้ตำหนักในหรือราชสำนักจะต่อสู้กันอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรองค์ชายใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย เฉิงหยวนจิ่งมีชีวิตสูงศักดิ์แต่เด็ก หลังสามขวบยังถูกฮ่องเต้พามาเลี้ยงดูข้างกาย ครั้นพอเข้าห้าขวบฮ่องเต้ก็ทำตามกฎบรรพชน แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท
ไม่มีใครกล้าให้เฉิงหยวนจิ่งรอ และเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่มีนิสัยในการรอคอยใครด้วยเช่นกัน
มีคนเรียกเขาจากทางด้านหลัง ยังขอให้เขาหยุดอีกด้วย นี่สำหรับเฉิงหยวนจิ่งแล้วเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก และเหมือนถูกผีผลัก เฉิงหยวนจิ่งหยุดเดินจริงๆ หลุบตาลง มองดูร่างสีแดงเพลิงนั้นวิ่งมาทีละก้าว
อ้อ ที่แท้นางวิ่งเป็นด้วย
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ว่าคนตรงหน้าประชดนางในใจอย่างไร นางหยุดตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่ง แม้จะไม่หยุดบ่นว่าในใจว่าคนอะไรวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ แต่เมื่อมีเรื่องต้องขอร้องใครแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นจะทำได้ดีมากมาตลอด นางยิ้มหรี่ตา ดวงตาราวจันทร์เสี้ยว อ่อนโยนและงดงาม “ท่านอาเก้า ท่านเดินเร็วจริง”
เฉิงหยวนจิ่งยังคงมองนางอย่างเงียบๆ เห็นเฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดจุดประสงค์ที่เรียกเขาไว้อยู่นาน พลอยให้หมดความอดทน จึงเอ่ยถามตามตรง “มีเรื่องอะไร”
เฉิงอวี๋จิ่นฝืนรักษาสีหน้าของตนเองไว้ นางกะพริบตาเผยรอยยิ้มงดงามมีมารยาทของคุณหนูตระกูลใหญ่ “ท่านอาเก้าเพิ่งกลับมา เดิมทีหลานควรต้อนรับขับสู้ท่าน แต่ว่า…กลับต้องให้ท่านอาเก้ามาเจอกับเรื่องวุ่นวายไม่เป็นเรื่องบางอย่างเข้า”
เฉิงหยวนจิ่งรู้ว่าที่นางไล่ตามมาคิดจะทำอะไร เขาอมยิ้มเล็กน้อย อยากดูว่านางยังจะพูดอะไรได้อีก
เฉิงอวี๋จิ่นยังคงรักษารอยยิ้มที่งดงาม ในดวงตาปรากฏแววการหยั่งเชิงมากมาย “ทุกคนพูดกันว่าเรื่องฉาวในบ้านไม่พูดไปภายนอก แต่เรื่องนี้พูดในบ้านก็ไม่ค่อยดีนัก หนึ่งคือท่านย่าเป็นห่วงข้ามาก ท่านปู่ก็ยังป่วยอยู่ เอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไปทำให้ผู้ใหญ่รำคาญใจเป็นการอกตัญญูอย่างมาก สองคือเรื่องการแต่งงานอย่างไรก็เกี่ยวกับชื่อเสียง ถ้าแค่ข้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ทางจิ้งหย่งโหวก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงให้การดูแล มีความสำคัญระดับหนึ่งเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ พวกเราพูดเรื่องส่วนตนของเขาตามอำเภอใจ เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงจวนอี๋ชุนโหว สามคือ…”
เฉิงอวี๋จิ่นที่ผ่านมาเดินหนึ่งก้าวคำนวณสามก้าว* ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยืนอยู่เหนือกว่าบนหลักเหตุผลคุณธรรม หยิบยกความซื่อสัตย์ภักดีและความกตัญญูที่น่าเกรงขามขึ้นมาก่อน เป็นใครก็ไม่อาจว่านางผิดได้ เฉิงอวี๋จิ่นอุตส่าห์ใช้วิธีการที่ตนเองใช้ประจำก่อกำแพงสูงให้เฉิงหยวนจิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาฟังไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นทันใดว่า “คำพูดไร้สาระของเจ้าเหตุใดจึงมีมากเช่นนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไป ในฐานะคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหว เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบวงศ์ตระกูลที่ภรรยาเอกเป็นใหญ่ เฉิงอวี๋จิ่นหลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน
เฉิงอวี๋จิ่นผู้เป็นต้นแบบของคุณหนูที่ดีโมโหขึ้นมาในทันที “ท่านว่าอะไรนะ!”