บทที่ 9
เฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่หน้าระเบียงทางเดิน ด้านหลังเป็นประตูสีแดงที่น่าเกรงขาม ลมหนาวกรรโชกพัดเอาหิมะที่ตกยามค่ำคืนปลิวพลิ้ว นางยื่นมือไปรับหิมะนอกเสา ข้อมือนั้นขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก
เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ ละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นดึงมือกลับมา หัวเราะเยาะตนเอง “ช่างเถอะ ข้าจะพูดสิ่งเหล่านี้กับท่านทำไมกัน ท่านจะไปเข้าใจได้อย่างไร”
เฉิงหยวนจิ่งมือหนึ่งไพล่หลัง มองกองหิมะบนชายคาของเรือนนิ่งเงียบไม่พูดจา ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า
เขาเกิดในราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ที่สุด บิดาเป็นถึงฮ่องเต้ มารดาคือพระชายาเอกที่ต่อมาได้ขึ้นเป็นฮองเฮา หากพูดถึงชาติกำเนิด ใต้หล้านี้คงไม่มีใครสูงศักดิ์ไปกว่าเขาอีกแล้ว แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใด มารดาของเขาป่วยตายจากไปเร็ว พอตำแหน่งว่างก็เปิดทางให้แก่บุตรสาวขุนนางทรงอำนาจ การต่อต้านใหญ่ที่สุดของบิดาเขาคือการไว้ทุกข์ให้ภรรยาหนึ่งปี แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท เฉิงอวี๋จิ่นบอกว่าถึงแม้นางจะมีบิดามารดาอยู่ครบ แต่แท้จริงแล้วไม่มีผู้ใดสนใจนางเลย เฉิงหยวนจิ่งคิด ข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกับนางมิใช่หรือ
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจู่ๆ จึงพูดเรื่องเหล่านี้ให้เฉิงหยวนจิ่งฟัง อาจเป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย อาจเป็นเพราะเฉิงหยวนจิ่งได้เห็นสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของนางแล้ว หรืออาจเป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องรำคาญใจหลายเรื่อง มีเพียงเฉิงหยวนจิ่งผู้เดียวที่อยู่ข้างกายนางมาตลอด
เฉิงอวี๋จิ่นเดินไปสองก้าว ทันใดนั้นก็หันมาแสดงสายตาดุดัน “วันนี้ท่านยอมรับคำพูดของข้าต่อหน้าท่านย่า พวกเราสองคนเป็นตั๊กแตนมัดติดเชือกเส้นเดียวกัน ใครก็หนีไม่พ้น* เรื่องเมื่อเช้าท่านห้ามบอกกับผู้อื่น และจะเปลี่ยนคำพูดไม่ได้เชียว!”
ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดหายไปอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นกลับมาเป็นคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหวที่มีสติและปฏิบัติตัวเหมาะสม ก่อนเดินจากไปไม่ลืมที่จะข่มขู่พยานที่เห็นเหตุการณ์
เฉิงหยวนจิ่งจ้องไปที่เฉิงอวี๋จิ่นนิ่ง ไม่รู้เหตุใดสายตาคู่นั้นจึงทำให้เฉิงอวี๋จิ่นนึกกลัว ราวกับว่ามีบารมีที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง นางรู้สึกอ่อนแรง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับท่านอาเก้าในตอนนี้ แต่เพิ่งพูดคำขู่ก็แสดงท่าทีอ่อนแอออกมาจะดูขายหน้าเกินไป เฉิงอวี๋จิ่นจำต้องจ้องเขากลับอย่างแสดงบารมีแวบหนึ่งแล้วแสร้งทำว่าตนเองยังมีเรื่องด่วนอื่นอีก เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
นางเดินไปได้สองก้าว กำลังจะผ่อนลมหายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังว่า “เจ้าเดินผิดแล้วกระมัง”
“หือ?”
“นั่นเป็นทางกลับไปเรือนพักของข้า”
ภายในจวนจิ้งหย่งโหว ฮั่วเซวียซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาหลี** สลักลาย เวลาผ่านไปนานยังรู้สึกโกรธมากอยู่
นางโยนถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง น้ำชากระเซ็นถูกมุมโต๊ะ ผ้าปูสีแดงสดเกิดเป็นรอยน้ำเข้มอ่อนต่างกันไป “รังแกกันมากเกินไปจริงๆ บ้านพวกเขาทำเรื่องสกปรกมากมายอย่างนั้น มีหน้าอะไรมาพูดถอนหมั้นกับบุตรชายข้า ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือคุณหนูใหญ่ผู้นั้น ไม่รู้จักดีชั่ว กล้าฉีกหนังสือหมั้นหมายของฉางยวนต่อหน้าทุกคน!”
ฮั่วเซวียซื่อตอนอยู่ในจวนอี๋ชุนโหวก็โกรธมากแล้ว ฮั่วฉางยวนเพียงแค่อยากถอนหมั้น ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรมากกว่านี้ จึงรั้งตัวฮั่วเซวียซื่อไว้ไม่ให้ระเบิดอารมณ์ ฮั่วเซวียซื่อดูแลจวนตามลำพังมาสิบกว่าปี อยู่ต่อหน้าผู้อื่นมีความแข็งกร้าวมาก แต่พอเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวกลับยอมคล้อยตามทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเชื่อฟังคำของฮั่วฉางยวน
อย่างเช่นการถอนหมั้นวันนี้ ฮั่วฉางยวนบอกว่าไม่ชอบแล้วจะถอนหมั้น เช่นนั้นก็ถอนหมั้นเถิด หรืออย่างเช่นเฉิงอวี๋จิ่นฉีกหนังสือหมั้นหมาย ฮั่วฉางยวนบอกว่าอย่าหาความต่อไป ฮั่วเซวียซื่อถึงแม้จะโกรธจนอกแทบแตก แต่ยังคงไม่ได้พูดอะไร