“ไอ้หยา! ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพูดอะไรกันเจ้าคะ!” แม่นมจางรีบถ่มน้ำลายลงพื้นสองทีแล้วพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าพูดคำไม่เป็นมงคลเช่นนี้นะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าถ้าท่านอยากจะควบคุมนายท่านเก้าก็มีวิธีมากมาย เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง นายท่านเก้าตอนนี้ยังไม่ได้แต่งภรรยา ต่อให้เขาเก่งกาจเพียงใดก็ต้องพึ่งท่านให้ทาบทามสู่ขอมิใช่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเย็นชา “เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ถ้าข้าคิดจะบีบเรื่องการแต่งงานของเขา เกรงว่าท่านโหวคงจะไม่อนุญาตเป็นคนแรก แต่พูดไปแล้วก็แปลก ท่านโหวรักบุตรชายที่ได้มาระหว่างทางคนนี้เหมือนแก้วตาดวงใจ เหตุใดจึงไม่จัดการแต่งภรรยาหรือรับอนุภรรยาให้เขาเลย ปีนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว คนอื่นที่อายุเท่าเขาคงใกล้มีลูกเต็มที”
พูดถึงเรื่องนี้แม่นมจางก็ไม่รู้เช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ช่างเถอะ รอวันหน้าท่านโหวอยู่ ข้าจะลองไปหยั่งเชิงความคิดของท่านโหวดู”
แม่นมจางรับคำ นางลังเลใจเล็กน้อย แล้วถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วเรื่องของคุณหนูใหญ่…ควรจะทำอย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจ้องไปยังกระถางธูปที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเคร่งเครียด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ดูต่อไปก็แล้วกัน ปล่อยข่าวที่สกุลฮั่วผิดสัญญาการหมั้นหมายออกไปก่อน ดูว่ามีใครที่ดีพอมาทาบทามสู่ขอคุณหนูใหญ่หรือไม่ ถ้าไม่มี…เช่นนั้นหลานสาวคนนี้ก็ต้องถือว่าเลี้ยงมาเสียเปล่าแล้ว”
ช่างโหดร้ายเสียจริง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างหลานสาวบ้านใหญ่ที่สูงส่งมานานหลายปี บทจะตกต่ำก็ตกต่ำ ทว่าแม่นมจางนอกจากทอดถอนอยู่ภายในใจแล้วก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร ภายในจวนตระกูลชั้นสูงต่างมีอนาคตของตนเอง พูดถึงที่สุดแล้วคุณหนูใหญ่กับนางมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ
เฉิงอวี๋จิ่นถูกคำว่า ‘มีธุระ’ ดึงออกมาจากหอโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่า นางเดินอยู่ข้างหลังเฉิงหยวนจิ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก จึงส่งเสียงถามว่า “ท่านอาเก้า ท่านเรียกข้าออกมามีธุระอะไรกันแน่”
เฉิงหยวนจิ่งเหลียวมองอย่างเย็นชาไปข้างหลังแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าดูท่าทางเฉลียวฉลาดดี แต่ดูตอนนี้เหมือนสมองจะใช้การได้ไม่ค่อยดีนัก”
คำพูดประโยคนี้กระตุ้นจนเฉิงอวี๋จิ่นอยากจะอ้าปากด่าคน ก่อนนางคิดได้ว่าคนตรงหน้าคือท่านอาเก้าของนาง อย่างไรเสียก็เป็นญาติผู้ใหญ่ จึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ “ขอบคุณท่านอาเก้าที่ชม แต่เหตุใดท่านอาเก้าจึงบอกว่าข้าสมองใช้การได้ไม่ค่อยดี”
เฉิงหยวนจิ่งคิดในใจว่าช่างโง่เขลาเหลือเกิน เขามีใจเมตตาอย่างหาได้ยาก คิดไม่ถึงว่าพูดมาถึงขั้นนี้แล้วเฉิงอวี๋จิ่นกลับยังคิดไม่ออก เฉิงหยวนจิ่งสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่น้ำเสียงที่พูดก็ไม่ใส่ใจนัก “สตรีเหล่านั้นแต่ละคนอยากจะถามให้ถึงที่สุด เจ้าอยู่ในห้อง จะทำอะไรได้”
เพียงแค่พบหน้าเป็นเวลาสั้นๆ เฉิงหยวนจิ่งก็พอเข้าใจถึงเรื่องราวเรือนส่วนในของสกุลเฉิงได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ท่านหญิงชิ่งฝูทำเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนเอง หร่วนซื่อพูดอ้อมค้อมวกไปมาเหมือนมีความคิดแอบแฝง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังคงคิดอยากจะขายหลานสาว ความคิดเลวร้ายของพวกนางแทบจะไม่ปกปิดเอาไว้เลย สถานการณ์เช่นนี้ยังมีอะไรให้ควรอยู่ต่อไปอีก
คำพูดเหล่านี้เฉิงหยวนจิ่งไม่มีทางพูดออกมา เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับขอบเขตมาก พูดอีกอย่างก็คือเป็นคนที่เกิดมาเย็นชา คนอื่นเป็นอย่างไรเกี่ยวอันใดกับเขา คำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับเฉิงอวี๋จิ่นนั้นเป็นความช่วยเหลือที่ยากจะเกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา
เฉิงอวี๋จิ่นเข้าใจความหมายของเฉิงหยวนจิ่งในทันที เรื่องที่เฉิงหยวนจิ่งเพียงเห็นก็มองออกได้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า มองเกล็ดหิมะปลิวตกลงบนเสื้อคลุมแดงสดแล้วละลายไปอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นเงียบไปครู่หนึ่งจู่ๆ ก็พูดว่า “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับหิมะนี้ มองจากที่ไกลๆ ขาวสะอาดสวยงาม แต่พอเดินเข้าไปใกล้…กลับไม่มีอะไรเลย”
เฉิงหยวนจิ่งประหลาดใจ หยุดเดินแล้วหันมองนาง
เฉิงอวี๋จิ่นหันไปมองลมพัดแรงนอกระเบียงทางเดินที่พัดเอาเกล็ดหิมะปลิวไปทั่ว ใบหน้าด้านข้างของนางสะท้อนประกายหิมะ ดูงดงามโปร่งใสยิ่งกว่าหิมะเสียอีก นางเอ่ยว่า “ข้าย่อมรู้ว่าอยู่ต่อไปคงลำบากใจมาก แต่จะมีหนทางใดอีก หากข้าไม่ปรนนิบัติมัดใจท่านแม่กับท่านย่าให้ดี ไม่ต้องรอถึงวันหน้า แค่พรุ่งนี้ข้าก็คงจะมีชีวิตที่ดีไม่ได้แล้ว”
เฉิงอวี๋จิ่นยื่นมือไปรองหิมะ เสื้อคลุมกันลมสีแดงสดของนางอยู่ตรงระเบียงทางเดินที่มืดครึ้มนั้น ดูสะดุดตาอย่างน่าประหลาด เฉิงอวี๋จิ่นหันมายิ้มให้เฉิงหยวนจิ่ง “เกรงว่าท่านอาเก้าคงไม่อาจเข้าใจได้กระมัง ถึงแม้ท่านจะเป็นลูกอนุภรรยา แต่พอเกิดมาก็มีท่านพ่อท่านแม่คอยรักและปกป้อง จัดการทุกเรื่องเพื่อท่าน รอท่านเติบใหญ่ ท่านยังสามารถสอบผ่านการสอบขุนนางเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อีก ดังนั้นท่านจะเข้าใจความรู้สึกของการไร้หนทางเดินแต่จำเป็นต้องเดินออกไปในเส้นทางหนึ่งได้อย่างไร”
เฉิงหยวนจิ่งคล้ายได้ยินเสียงแตกร้าวเบาๆ ในใจ
ไร้หนทางเดิน แต่ไม่เดินก็ไม่ได้ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า
เชิงอรรถ
* พิธีปักปิ่น คือพิธีเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของสตรีวัยสิบห้าปี โดยการรวบผมปักปิ่นเพื่อแสดงว่าถึงวัยออกเรือนแล้ว
* ถงเซิง เป็นคำเรียกรวมๆ ของบัณฑิตซึ่งยังไม่ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.