ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 1
ยามดึกสงัด ท้องฟ้าดำเข้มดุจสีหมึกปราศจากแสงดาว
หลังงานเลี้ยงฉลอง จวนจ้วงหยวน*จมอยู่ในความมืดอันเงียบงัน สรรพสิ่งไร้เสียง
แสงไฟดวงเล็กลอยวับแวมไปมาอยู่กลางอากาศเหมือนลูกไฟเรืองแสงที่คอยนำทาง สี่เชวี่ยยกถาดไม้แดงก้าวออกจากห้องครัว หันไปมองเรือนไผ่หยกที่ยังคงสว่างไสวและเต็มไปด้วยความครื้นเครงแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวเดินไปยังเรือนเกล็ดน้ำค้าง
“พี่สี่เชวี่ยกลับมาแล้ว…” สาวใช้ฟู่กุ้ยรีบเดินออกมารับถาดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง” สี่เชวี่ยถามขึ้น
“เงียบตลอดเลย…” ดวงตาของฟู่กุ้ยฉายแววประหลาดใจ เพราะนายหญิงใหญ่ของตนไม่ได้ร้องไห้โวยวายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
วันนี้เป็นวันดีที่นายท่านเสิ่นจงชิ่งรับอนุภรรยา
อนุภรรยาคนที่ห้านี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ นามเดิมของนางคือฉู่ซินอี๋ เป็นบุตรสาวของราชอาลักษณ์ฉู่เซิงแห่งสำนักราชบัณฑิต นางยอมลดตัวมาเป็นอนุภรรยาเพราะรักปักใจกับเสิ่นจงชิ่งมาตลอด นางเป็นคนรู้ใจของเสิ่นจงชิ่งตั้งแต่ก่อนเขาสอบได้จ้วงหยวน สองฝ่ายผูกสมัครรักใคร่ เดิมทีเสิ่นจงชิ่งให้สัญญาว่าจะหมั้นหมายและแต่งนางเป็นเอกภรรยา น่าเสียดายที่ถูกนายหญิงใหญ่โผล่มาคั่นกลางกะทันหันเสียก่อน ด้วยเกรงว่าจะผิดต่อฉู่ซินอี๋ เสิ่นจงชิ่งจึงเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์ครั้งนั้นลงเสียเอง
ทว่าฉู่ซินอี๋กลับรักมั่นผูกพัน นางเฝ้ารออย่างมั่นคงมาตลอดสองปี จวบจนตระกูลของนายหญิงใหญ่สูญเสียอำนาจ เสิ่นจงชิ่งถึงได้รับนางมาเป็นอนุอย่างเอิกเกริก
แม้จะเป็นการรับอนุภรรยา แต่นอกจากชุดเจ้าสาวที่ไม่ใช่สีแดงสดแล้ว พิธีการอย่างอื่นล้วนไม่ต่างจากการแต่งภรรยาเอก การทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการตบหน้านายหญิงใหญ่ของจวนจ้วงหยวนต่อหน้าผู้คนมากมาย ด้วยนิสัยของนายหญิงใหญ่แล้ว นางไม่อาละวาดนี่สิแปลก
สี่เชวี่ยคิดได้ดังนั้นก็ทอดถอนใจ ก่อนจะสั่งฟู่กุ้ยให้ลงกลอนประตูชั้นนอกแล้วย่างเท้าเข้าไปด้านในทันที
“โจ๊กรังนกที่นายหญิงสั่งตุ๋นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยเคาะประตูห้องนอนของนายหญิงใหญ่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขลาดกลัว เห็นได้ว่านางเองก็ขยาดเจ้านายผู้มีนิสัยดุร้ายเผด็จการคนนี้อย่างยิ่ง
รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยจึงผลักประตูและก้าวเข้าไป “นายหญิงนอนแล้วหรือเจ้าคะ”
ความเงียบและนิ่งสนิทเหมือนอยู่ในแดนปรโลกนี้ทำเอาสี่เชวี่ยหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ รู้สึกว่าขนลุกซู่ขณะเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางความมืด เงาคนผู้หนึ่งแขวนนิ่งอยู่กลางอากาศ
‘เพล้ง!’ เสียงของแตกบาดหูแหวกผ่านราตรี ทำลายความเงียบสนิทประดุจสุสานโบราณในจวนจ้วงหยวนลงทันใด
“แย่แล้ว! นายหญิงฆ่าตัวตายอีกแล้ว!” พอได้สติสี่เชวี่ยก็วิ่งออกไปข้างนอก
เสียงเปิดปิดหน้าต่างดังสนั่นระลอกหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น จวนจ้วงหยวนก็คืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงร้องแหลมเหมือนหมูถูกเชือดของสี่เชวี่ยดังสะท้อนอยู่ท่ามกลางความมืด เนิ่นนานก็ยังไม่จางหายไป
“ข้าว่าอยู่แล้วเชียว นายท่านแต่งอนุคนที่ห้าด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยา นางจะไม่อาละวาดได้อย่างไร” อี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิงอนุภรรยาคนแรกรับน้ำชาที่สาวใช้ตู้เจวียนส่งให้ ก่อนจิบน้อยๆ พลางยิ้มหยัน “แต่ไม่รู้คราวนี้นายท่านจะถูกนางหลอกให้ไปหาอีกหรือไม่”
คิดถึงคืนแต่งงานของตนเองที่นายหญิงใหญ่ใช้ลูกไม้แขวนคอตายยึดตัวเจ้าบ่าวไปแล้ว นัยน์ตาของอี๋เหนียงใหญ่สะท้อนแววเหยียดหยันขึ้นวูบหนึ่ง ช่างเป็นสตรีที่ไม่รู้จักหนักเบาเสียเลย ตระกูลบิดามารดาหมดอำนาจไปแล้ว นางยังกล้าอาละวาดเช่นนี้อีก!
“ตระกูลเสนาบดีเจินถูกริบทรัพย์สินและประหารชีวิตแล้ว หากไม่เพราะมีราชโองการพระราชทานสมรสของอดีตฮ่องเต้อยู่ ป่านนี้นายหญิงใหญ่คงถูกประหารไปแล้วเช่นกันนะเจ้าคะ” ตู้เจวียนหัวเราะพลางยิ้มหยันตามเจ้านายตน “ตอนนี้ถึงนางจะตาย นายท่านก็ไม่กลัวจวนจ้วงหยวนจะมีความผิดหรอก อาจจะอยากให้นางตายเสียด้วยซ้ำ จะได้ยกตำแหน่งให้คนผู้นั้น” ตู้เจวียนชูนิ้วออกมาห้านิ้ว เป็นที่รู้กันว่าหากนายหญิงใหญ่ตาย อี๋เหนียงห้าในเรือนไผ่หยกที่เพิ่งแต่งเข้ามาจะต้องถูกยกขึ้นเป็นภรรยาเอกแน่นอน “อี๋เหนียงไม่เห็นหรือเจ้าคะ ไม่ว่าสี่เชวี่ยจะแหกปากร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีคนในจวนไปชมความครึกครื้นที่เรือนเกล็ดน้ำค้างเลยสักคน”
เสนาบดีเจินนามว่าเจินซีถิง ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอากร นายหญิงใหญ่ของจวนจ้วงหยวนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของเขา สองปีก่อนพึงใจในตัวเสิ่นจงชิ่งที่แสดงความสามารถโดดเด่นเกินใครในสนามสอบจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ นางอาศัยบิดาวางแผนเชิญเขามางานเลี้ยงที่บ้าน จากนั้นทำให้เขาเข้าห้องผิดจนเห็นสาวงามกำลังอาบน้ำอยู่ บีบให้เขาต้องแต่งงานกับนางเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
ด้วยรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด หลังแต่งงานเสิ่นจงชิ่งจึงตั้งใจเป็นสามีที่ดี แต่เจินสือเหนียงผู้นี้หาใช่คนอ่อนโยนว่าง่าย ด้วยถือว่าพ่อแม่ตนมีอำนาจ จึงดูแคลนบ้านสามีที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ถึงขั้นยกตนข่มแม่สามี
ดังนั้นเสิ่นจงชิ่งจึงแต่งอนุเข้าบ้านคนแล้วคนเล่า แค่เวลาสองปีเขาก็มีอนุถึงสี่คน บวกกับวันนี้อีกคนเป็นห้าคนแล้ว
ย้อนคิดถึงทุกครั้งที่นายท่านแต่งอนุ นายหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นต้องเล่นละครผูกคอตายเรียกร้องความสนใจ ทำเอาจวนจ้วงหยวนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสองสามเดือน หยางอี๋เหนียงพลันยิ้มอย่างรู้ทัน โบกมือขัดเสียงพูดเจื้อยแจ้วของตู้เจวียนและเอ่ยว่า “เจ้าไปดูซิว่านายท่านไปหรือเปล่า” นางกล่าวพลางเอามือลูบหน้าท้องตนเองเบาๆ และภาวนาในใจ อมิตาภพุทธ ขอให้นางรีบๆ ตายไปซะเถอะ ลูกของข้าจะได้ปลอดภัย
ในเรือนของอนุภรรยาลำดับที่สามหม่ารุ่ยชิว อนุภรรยาลำดับที่สองหลี่ไฉ่เซียงกับอนุภรรยาลำดับที่สี่ฟู่ซิ่วกำลังแทะเมล็ดแตงกันอยู่
“นอกจากแขวนคอตาย นางคิดลูกไม้ใหม่ๆ ไม่ออกแล้วหรือไร” หลี่อี๋เหนียงถุยเปลือกเมล็ดแตงลงบนพื้น “น่าเสียดายที่อนุที่แต่งเข้ามาวันนี้หาใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน!” ฉู่ซินอี๋ไม่เหมือนพวกนางที่จะยอมปล่อยให้เจินสือเหนียงรังแกได้ตามใจชอบ
ฟู่อี๋เหนียงหัวเราะขึ้น “ประหลาดจริง นางแขวนคอตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมยังไม่ตายเสียทีนะ” เห็นอี๋เหนียงสามนั่งหน้าซีดไม่พูดจาอยู่ตรงนั้นก็ปลอบโยนว่า “พี่สาววางใจเถอะ วันนี้นางเจอศัตรูเสียแล้วล่ะ คราวนี้พี่สาวไม่ต้องขอร้องย่อมมีคนช่วยระบายความแค้นแทนท่านแน่” ก่อนนางจะเหลือบมองประตูแล้วกดเสียงให้เบาลง “เมื่อวานข้าได้ยินบ่าวเรือนเกล็ดน้ำค้างบอกว่านายหญิงใหญ่รู้แต่แรกแล้วว่าพี่สาวตั้งท้อง ถึงได้จงใจลงโทษท่าน”
ห้าวันก่อนหม่าอี๋เหนียงล่วงเกินนายหญิงใหญ่เข้าและถูกทำโทษให้ยืนหน้าเรือนเกล็ดน้ำค้างหนึ่งวัน พอนางกลับเรือนก็ปวดท้องอย่างรุนแรง ตามหมอมาดูพบว่าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว เสิ่นจงชิ่งมาเฝ้านางด้วยตนเองหนึ่งคืน แต่สุดท้ายก็รักษาเด็กไว้ไม่ได้
“พี่สาวก็ช่างโง่เหลือเกิน ร่างกายผิดปกติก็น่าจะขอให้นายท่านตามหมอมาตรวจดู” ฟู่อี๋เหนียงยังพูดไม่จบ เห็นหม่าอี๋เหนียงนิ่วหน้าจึงหุบปาก ในใจนึกมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ ท่านคิดว่าไม่พูดออกไปแล้วจะรักษาเด็กเอาไว้ได้หรือ ถุย! ฝันหวานไปเถอะ! หากนายหญิงใหญ่ผู้นั้นยังไม่ตั้งครรภ์ บ้านนี้ใครก็อย่าคิดจะมีลูกก่อนนางเลย!
เห็นแววสะใจในตาอีกฝ่าย หม่าอี๋เหนียงก็แค่นเสียงพูดขึ้น “ทุกคนอย่าด่วนดีใจไปเลย ระวังจะตายโดยไม่รู้ตัว!”
“น้องสาวพูดอะไรกัน อยู่ดีๆ จะตายได้อย่างไร” หลี่อี๋เหนียงโยนเมล็ดแตงในมือลงในจาน ถูมือพลางทำท่าจะลุกขึ้น
เสียงของหม่าอี๋เหนียงลอยมาว่า “นายหญิงใหญ่จะพยายามเรียกร้องความสนใจเท่าไร นายท่านก็ไม่มีทางชมชอบนาง แต่คนนี้…” นางชูนิ้วทั้งห้าขึ้น “ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์กับนายท่านตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว พวกท่านก็เห็นแล้วนี่ พวกเราพี่น้องคนไหนบ้างที่ได้แต่งเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกเหมือนนาง”
ในห้องพลันเงียบกริบ
ครู่ใหญ่หลี่อี๋เหนียงจึงผลักชิงเหมยสาวใช้ประจำตัว พลางกล่าว “ไปดูที่เรือนเกล็ดน้ำค้างหน่อยซิ นายท่านไปที่นั่นหรือไม่”
ในใจนางพลันนึกเกรงว่าเพราะก่อเรื่องเรียกร้องความสนใจบ่อยครั้ง สุดท้ายพอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ จึงไม่มีใครเชื่อ
ได้ยินเสียงสาวใช้ร้องโหวกเหวกอยู่ข้างนอก เสิ่นจงชิ่งในห้องหอที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงกลับแค่เพียงแค่นยิ้ม ไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ก่อนเขาจะหยิบไม้คันชั่งบนโต๊ะมาเปิดผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นดวงหน้างดงามชนิดที่จันทราบุปผายังต้องเอียงอาย
“นายท่าน…” ฉู่ซินอี๋ร้องเรียกเสียงหวาน
“อี๋เอ๋อร์…” เสิ่นจงชิ่งทอดสายตาอ่อนโยนมองคนงามตรงหน้า “เจินสือเหนียงเป็นภรรยาที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ ข้ามิอาจหย่านาง จึงต้องให้อี๋เอ๋อร์เป็นอนุ ลำบากเจ้าแล้ว”
ฉู่ซินอี๋สองแก้มแดงระเรื่อ “ต่อให้ไร้ฐานะไร้ตำแหน่ง แต่ขอเพียงได้อยู่กับนายท่าน อี๋เอ๋อร์ก็ดีใจแล้ว อี๋เอ๋อร์ไม่ลำบากใจเลย” น้ำเสียงหวานนุ่มเจือแววขลาดกลัวทำเอาหัวใจของเสิ่นจงชิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้พบความอ่อนโยนเยี่ยงนี้
เปรียบเทียบกับความหยาบกระด้างของเจินสือเหนียงแล้ว ยามเผชิญหน้ากับคนงามที่เข้าอกเข้าใจเขาเช่นนี้ เสิ่นจงชิ่งก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อนาง เขายื่นมือไปเกี่ยวปอยผมนุ่มที่ระอยู่บนหน้าผากของฉู่ซินอี๋อย่างแผ่วเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่หาได้ยาก “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ แม้มิอาจให้ฐานะและตำแหน่งกับเจ้า แต่ในใจข้าอี๋เอ๋อร์ก็คือภรรยาเอก ท่านแม่ร่างกายไม่แข็งแรง อยากจะพักผ่อนนานแล้ว แต่นี้ไปธุระทั้งหมดในจวนจ้วงหยวนยกให้อี๋เอ๋อร์เป็นคนจัดการก็แล้วกัน”
แค่คำพูดเดียวของเขา นับแต่นี้ไปนางย่อมกลายเป็นประมุขหญิงที่แท้จริงของจวนจ้วงหยวน
ฉู่ซินอี๋หัวใจเต้นรัว ทว่าใบหน้ากลับดูอ่อนหวานบอบบางกว่าเดิม นางทำท่าตกใจเหมือนคาดคิดไม่ถึง “แบบนี้…แบบนี้จะได้อย่างไร ไม่พูดถึงเรื่องที่อี๋เอ๋อร์ยังมีพี่สาวอีกสี่คน แค่เรื่องที่นายท่านยังมีภรรยาเอกอยู่ อี๋เอ๋อร์ก็ไม่ควรคิดฟุ้งซ่านแล้ว” นางมองเขาอย่างซื่อๆ “อี๋เอ๋อร์ไม่อยากให้นายท่านวางตัวลำบากเพราะอี๋เอ๋อร์และถูกผู้คนชี้หน้าเยาะหยัน อี๋เอ๋อร์ไม่กลัวความลำบาก ความทุกข์แค่ไหนก็ทนได้ ขอเพียงนายท่านสบายใจ อี๋เอ๋อร์ก็มีความสุขแล้ว”
ไม่ต้องการตำแหน่ง ไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ขอเพียงเขาสบายใจ นางก็พอใจ
ฟังคำพูดนี้แล้ว หัวใจของเสิ่นจงชิ่งบังเกิดความรักใคร่ทะนุถนอมแก่นางมากขึ้นไปอีก เมื่อหวนคิดถึงอุบายร้ายกาจตลอดสองปีที่ผ่านมาของเจินสือเหนียงแล้ว เขาก็พลันทอดถอนใจและเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฝ่ายผิดต่ออี๋เอ๋อร์ อี๋เอ๋อร์อย่า…”
ขณะกำลังพูด เสียงโหวกเหวกก็ดังมาจากข้างนอก “นายหญิงไม่หายใจแล้วจริงๆ พี่ชุนหงได้โปรดให้บ่าวเข้าไปรายงานนายท่านด้วยเถิด” เป็นสี่เชวี่ยที่จากไปและกลับมาใหม่ นางออกแรงผลักชุนหงชุนหลันที่ขวางตนเองไว้ ตะเบ็งเสียงตะโกนเข้าไปบอกสองบ่าวสาวในห้องหอที่คลอเคลียกันอยู่ “นายท่านโปรดเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยา ไปดูนายหญิงสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ป้าหวังบอกว่าคราวนี้นายหญิงหมดทางรอดแล้วจริงๆ!” นางคุกเข่าลงกับพื้น “บ่าวโขกศีรษะให้ท่านแล้ว!” เสียงร้องโหยหวนเจือแววหวาดหวั่นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ก่อนเวลานายหญิงฆ่าตัวตายจะสั่งให้สี่เชวี่ยเฝ้าประตูไว้ พอนายท่านเข้ามาอีกฝ่ายถึงจะยื่นคอเข้าไปในเชือก แต่คราวนี้นายหญิงกลับกันนางออกไปก่อน เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ
นางมาไม้นี้อีกแล้ว!
ครั้นได้ยินคำว่า ‘นายหญิง’ ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งก็เขียวคล้ำ กำลังจะสั่งให้คนไล่สี่เชวี่ยออกไป แต่ฉู่ซินอี๋กลับกุมมือเขาเบาๆ “นายท่านไปดูสักหน่อยเถอะ”
เสิ่นจงชิ่งแค่นเสียงเย็นชา “นางแขวนคอตายหาใช่ครั้งแรก ก็แค่ใช้ลูกไม้เดิมมาข่มขู่ข้าเท่านั้นแหละ”
พวกเขาเป็นคู่สมรสพระราชทาน อดีตฮ่องเต้เป็นผู้จัดการการสมรสครั้งนั้น หากนางฆ่าตัวตายในจวนจ้วงหยวนของเขาจริงก็เท่ากับฉีกพระพักตร์ของอดีตฮ่องเต้ ต่อให้เป็นอัครเสนาบดีหรือท่านโหวที่มีอำนาจบารมียังไม่กล้าทำแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาซึ่งเป็นเพียงจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป
น่าเสียดายที่อดีตกับปัจจุบันแตกต่างกัน ตอนนี้เสนาบดีเจินมีความผิดฐานก่อกบฏ
นางช่างไม่รู้จักประมาณตน เสนาบดีเจินมีความผิด เขาไม่ขับไล่นางไปอยู่ในศาลบรรพบุรุษก็นับว่าเมตตาแล้ว นางยังจะกล้าเอาลูกไม้เดิมๆ มาข่มขู่เขา!
“นายท่านไปดูสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรนายหญิงใหญ่ก็ฆ่าตัวตายเพราะอี๋เอ๋อร์แต่งเข้ามา หากเป็นอะไรไปจริงๆ อี๋เอ๋อร์ย่อมไม่สบายใจ” เห็นสีหน้ารังเกียจของเสิ่นจงชิ่งแล้ว ฉู่ซินอี๋ลอบดีใจ ทว่าปากกลับพูดอย่างขลาดกลัว ท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยสีขาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ขณะที่เสิ่นจงชิ่งกำลังจะปฏิเสธก็ได้ยินสี่เชวี่ยร้องไห้อย่างโศกเศร้าแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ เขาตระหนกตกใจผุดลุกขึ้นทันที “ก็ได้ อี๋เอ๋อร์อาบน้ำและพักผ่อนก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา”
เดิมทีนางคิดจะใช้แผนถอยเพื่อรุกให้เขารักใคร่เอ็นดูตนมากกว่าเดิม แต่เสิ่นจงชิ่งกลับไปจริงๆ!
ฉู่ซินอี๋มองแผ่นหลังของเสิ่นจงชิ่งที่จากไปแล้ว แววตาของนางทอประกายชั่วร้ายอย่างที่เขาไม่มีวันเคยพบเห็นมาก่อน
“คารวะนายท่าน” ป้าหวังออกมาส่งท่านหมอจูพอดี เห็นเสิ่นจงชิ่งก้าวสวบๆ เข้ามาก็รีบถอยหลบไปด้านข้าง
“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของเขาเยียบเย็น
“เพิ่งฟื้นขึ้นมาเจ้าค่ะ…” ป้าหวังตอบอย่างอกสั่นขวัญแขวน แอบใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าของเสิ่นจงชิ่งเงียบๆ
นางยังไม่ตาย!
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับทันที ดวงตาทอประกายเย็นเยือกคมกริบ
สี่เชวี่ยที่ตามมาข้างหลังตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงทันใด “เมื่อกี้ตอนบ่าวไปแจ้งนายท่าน นายหญิงไม่หายใจแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ร่างกายก็แข็งทื่อแล้วด้วย” นางมองป้าหวังกับท่านหมอจูอย่างขอความช่วยเหลือ
ป้าหวังจึงคุกเข่าตามด้วยอีกคน “สี่เชวี่ยไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ เมื่อกี้นายหญิงไม่มีลมหายใจแล้วจริงๆ หากมิใช่…” มิใช่เพราะรอคำสั่งจากนายท่าน ป่านนี้คงเอาเข้าโลงไปแล้ว คำพูดมาถึงปากแล้ว แต่ป้าหวังรู้สึกไม่เหมาะสมจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง แม้แต่ท่านหมอจูก็ยังบอกว่าประหลาดยิ่งนัก”
“ข้าอยู่มาจนปูนนี้ก็เพิ่งเคยเห็น ร่างกายแข็งทื่อไปแล้ว ตามหลักน่าจะหมดทางเยียวยา ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” ท่านหมอจูส่ายหน้าอย่างงุนงง “ยินดีกับใต้เท้าเสิ่นด้วย นายหญิงเสิ่นรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ครานี้มาได้จะต้องพบกับโชคลาภแน่นอน!” ไม่ว่าอย่างไรคนไม่ตายก็นับเป็นโชค ด้วยไม่รู้สถานการณ์ภายในจวนจ้วงหยวน ท่านหมอจูจึงพูดประจบอย่างไม่ถูกกาลเทศะออกไป
สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนแปลงไปมา เขาข่มความเกลียดชังในใจและเอ่ยเสียงทุ้ม “ขอบคุณท่านหมอจูมาก” ก่อนจะหยิบเงินในถุงที่เอวส่งให้ แล้วเดินเข้าไปในเรือนเกล็ดน้ำค้างโดยไม่เหลียวหลัง
ด้วยไม่อยากเข้าไปในห้องนาง เสิ่นจงชิ่งจึงยืนอยู่ตรงเฉลียงมืดสลัว มองเจินสือเหนียงที่นอนอยู่บนเตียงปักลายวิจิตรผ่านม่านลูกปัดท่ามกลางแสงเทียน ใบหน้านางยังคงงดงามถึงเพียงนั้น ราวกับเทพธิดาผู้สูงส่ง ปราศจากมลทินทางโลก
ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่าภายใต้โฉมหน้างดงามนี้ซุกซ่อนจิตใจที่ชั่วร้ายเพียงใดเอาไว้ คิดถึงชีวิตที่เหมือนตกนรกตลอดสองปีที่ผ่านมาของเขา คิดถึงลูกชายที่เขายังไม่ทันเห็นหน้าก็ตายจากไปเสียก่อนแล้ว เสิ่นจงชิ่งก็พลันกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวปูดออกมา
“ฆ่าตัวตายมาก็หลายครั้ง ไฉนเจ้าจึงยังไม่ตายเสียที!” น้ำเสียงเยียบเย็นเต็มไปด้วยแววเสียดสีและรังเกียจดังขึ้น ก่อนจะเห็นเจินสือเหนียงหันมองมาอย่างงุนงงด้วยท่าทางเหมือนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้เหตุใดเสิ่นจงชิ่งจึงบังเกิดความรู้สึกสะใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาอดใจไม่อยู่เปล่งเสียงหัวเราะบาดหูออกมา “ฮ่าๆ สวรรค์ช่างไร้ตาจริงๆ ทั้งที่หมดลมแล้ว ยังจะให้เจ้าฟื้นขึ้นมาอีก…คงเป็นเพราะแม้แต่พญายมยังไม่อยากรับสตรีที่ชั่วร้ายเยี่ยงเจ้าไว้!” นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งใช้วาจาที่ร้ายกาจที่สุดระบายความเกลียดชังในใจของตนออกมาอย่างเต็มที่
เขาด่านางอย่างเจ็บแสบอยู่นาน แต่กลับเห็นเจินสือเหนียงเงียบงันผิดจากปกติก็รู้สึกหมดสนุก เขาจึงหยุดวาจาแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าเห็นข้าได้ดีไม่ได้ พรุ่งนี้ย้ายไปอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษของข้าในเมืองอู๋ถงเถอะ อีกหน่อยหากข้าไม่อนุญาต ห้ามเจ้าก้าวเข้ามาในจวนจ้วงหยวนอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”
บ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นคือบ้านเดิมของเสิ่นจงชิ่งก่อนเขาจะได้เป็นขุนนาง อยู่ห่างจากจวนจ้วงหยวนเป็นระยะเดินทางหนึ่งวัน ที่นั่นมีเรือนมุงกระเบื้องอยู่เพียงไม่กี่หลังกับบ่อน้ำอีกครึ่งหมู่เท่านั้น
เขาขับไล่เจินสือเหนียงไปอยู่ที่นั่น จุดประสงค์ของเสิ่นจงชิ่งชัดเจนมาก คือให้นางใช้ชีวิตตามยถากรรม
ด้วยเกรงว่าเจินสือเหนียงจะไม่ยินยอมและอาละวาด พอพูดจบเขาจึงหมุนตัวจากไปโดยทันที แต่เดินไปสองก้าว ในใจพลันบังเกิดความสงสัยและคิดขึ้นว่า ไฉนวันนี้นางจึงเงียบยิ่งนัก หากเป็นเมื่อก่อนเห็นข้ามา นางต้องอาละวาดโวยวายแล้ว มีหรือจะปล่อยให้ข้าจากมาอย่างง่ายดายเช่นนี้
ระหว่างคิด ภาพดวงตาใสกระจ่างที่เห็นเมื่อครู่พลันผุดขึ้นตรงหน้า นิ่งสงบถึงเพียงนั้น ไม่มีความละโมบโลภมากเหมือนอย่างวันวานแม้แต่น้อย เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า หรือเขาจะตาฝาดไป นางจะมีแววตาแบบนั้นได้อย่างไร
เขาหันขวับกลับไปทันที เบื้องหลังม่านลูกปัดเจินสือเหนียงหลับตาทั้งสองข้างลงแล้ว เหมือนกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งกั้นขวางโลกของทั้งสองออกจากกัน
“ข้าตาฝาดไปจริงๆ” เสิ่นจงชิ่งส่ายหัวแรงๆ ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป
ฝนฤดูใบไม้ร่วงเพิ่งตกไป อากาศเจือกลิ่นอายสดชื่น น้ำค้างแวววาวหยดหนึ่งกลิ้งไปมาอยู่บนใบบัวสีเขียวสดตามแรงส่ายไหว แต่ไม่ตกลงไปเสียที นี่กระมังที่เรียกว่าน้ำค้างกลิ้งบนใบบัว
เจินสือเหนียงถอนสายตากลับมาและหยิบฝักบัวขึ้นมาอีกฝัก หักครึ่งตรงกลางและเก็บเม็ดบัวสีเขียวข้างในลงในตะกร้าไม้ไผ่ เห็นฝักบัวที่เก็บมาเมื่อเช้าถูกแกะเม็ดออกหมดแล้ว เจินสือเหนียงจึงหยิบเม็ดบัวเม็ดหนึ่งขึ้นมากดลงบนใบมีดอย่างชำนิชำนาญ หลังผ่าเปลือกออก เม็ดบัวสีขาวสะอาดก็ร่วงลงมาในมือ
เจินสือเหนียงดึงดีบัวสีเขียวสดออกวางลงในถาด จากนั้นหยิบเม็ดบัวส่งเข้าปากตนเอง ได้รสหวานนิดๆ เจือกลิ่นหอมสดชื่น
ที่แท้เม็ดบัวดิบกินได้จริงๆ ด้วย
นางเดิมทีเป็นคนทางเหนือ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนอยู่ทางตอนเหนือ ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นสระบัวที่มีใบบัวเขียวปรกผืนน้ำ ดอกบัวแดงงามสล้างแบบนี้มาก่อน จำได้ว่าสมัยเรียนเคยท่องกลอนบทหนึ่ง
หลังคากระท่อมเตี้ยเล็ก หญ้าเขียวโยกเยกอยู่ริมธาร เสียงคุยครึ้มสำเนียงอู๋ฟังนุ่มหวาน คนผมขาวผู้นั้นเป็นพ่อเฒ่าบ้านใด ลูกคนโตถางแปลงถั่วฝั่งบูรพา คนกลางหนากำลังสานสุ่มไก่ เจ้าคนเล็กแสนสุดรักขี้เกียจไซร้ นอนแกะเม็ดบัวสบายใจต้นลำธาร
ด้วยถูกกลอนท่อนที่กล่าวถึงลูกคนเล็กแกะเม็ดบัวกินดึงดูดใจ ตอนนั้นนางจึงสงสัยว่าฝักบัวสามารถแกะเม็ดให้เด็กกินแทนขนมได้ด้วยหรือ
นางนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ
เม็ดบัวในความทรงจำล้วนแข็งโป๊ก ต้องแช่น้ำก่อนถึงจะเอามาต้มโจ๊กเม็ดบัวหอมๆ ได้ ตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้เห็นทิวทัศน์ของเจียงหนาน ได้ลิ้มรสชาติสดใหม่จากเม็ดบัว ได้มีอะไรไปคุยโม้กับเพื่อนๆ แล้ว…คิดถึงตรงนี้ นางก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า
นางมาที่นี่ห้าปีแล้ว พยายามทุกวิถีทางก็กลับไปยังโลกใบเดิมของนางไม่ได้ ต่อให้ได้เห็นทิวทัศน์ของเจียงหนาน ต่อให้ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่มีสายน้ำและสะพานห้อมล้อมแล้วมีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่มิติที่นางคุ้นเคย ไม่ใช่โลกที่นางคุ้นเคย
เจินสือเหนียงถอนใจเบาๆ อีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เด็กผู้ชายสองคนที่หน้าตาเหมือนกันและสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันวิ่งไล่ตามกันมา เด็กชายที่อยู่ข้างหน้าใช้นิ้วมือเล็กๆ สองนิ้วคีบหนอนตัวยาวสีแดงไว้ “ท่านดูสิ มังกรดิน ข้าขุดมังกรดินได้…พี่ชิวจวี๋บอกว่านี่คือมังกรดิน!”
ชิวจวี๋เป็นสาวใช้ประจำตัวของเจินสือเหนียง เดิมทีเป็นเด็กกำพร้า สองปีก่อนหิวจนเป็นลมอยู่หน้าบ้านและได้สี่เชวี่ยช่วยเอาไว้ ตอนนั้นนางเองยังเลี้ยงตนเองไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับสาวใช้ เดิมทีคิดว่ารอให้อีกฝ่ายฟื้นแล้วค่อยส่งกลับไป แต่ชิวจวี๋น่าสงสารเหลือเกิน พอคิดว่าไล่นางออกไปนางต้องตายเป็นแน่ ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีข้าวให้นางกิน ประจวบเหมาะกับสี่เชวี่ยเพิ่งจะแต่งงาน เจินสือเหนียงจึงเก็บนางไว้ข้างกาย เด็กคนนี้คล่องแคล่วและขยันขันแข็ง จึงถูกใจเจินสือเหนียงเป็นอย่างมาก
“เหวินเกอ เก่งจริงๆ” พอเห็นพวกเขาเจินสือเหนียงก็ยิ้มจากใจจริง นางวางมีดและยื่นมือไปรับลูกที่โผเข้ามาหา พอสายตามองไปที่ไส้เดือนในมือลูก ขนอ่อนก็พลันลุกชันไปทั้งตัว
บอกตามตรง นางกลัวของที่น่าขยะแขยงพวกนี้จริงๆ แต่ไม่อยากทำลายความสนุกของลูกชาย จึงเบี่ยงตัวกอดลูก แสร้งทำหลบเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘มังกรดิน’ ในมือเขาอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นปัดมันให้หล่นลงบนพื้น “เหวินเกอรู้หรือไม่ว่ามังกรดินมีประโยชน์อะไรบ้าง”
“ข้ารู้ๆ” ด้วยไม่พอใจที่ท่านแม่ถูกพี่ชายยึดไปครองคนเดียว เด็กชายที่วิ่งตามมาจึงโผเข้าสู่อ้อมกอดของเจินสือเหนียงบ้างแล้วชูมือซ้ายขึ้น “พี่ชิวจวี๋บอกว่าเอาไปเลี้ยงนกได้!”
“มังกรดินนี้เรียกอีกอย่างว่าไส้เดือนหรือชวีซั่น ไม่เพียงเป็นอาหารของนกได้ แต่ยังทำเป็นยาได้ด้วย” แม้จะไม่ชอบไส้เดือน แต่ในฐานะบัณฑิตคณะแพทยศาสตร์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและอาจารย์แพทย์ประจำโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอ เจินสือเหนียงคุ้นเคยกับของที่สามารถนำมาทำยาเหล่านี้และสามารถสอนลูกได้อย่างฉะฉาน
เด็กสองคนนี้เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้นาง
ห้าปีก่อน วันแรกที่นางเดินทางมายังโลกใบนี้ ระหว่างที่ยังงุนงงสงสัยก็ได้เห็นฝีปากร้ายกาจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับปากร้ายเทียบขั้นได้กับผู้หญิงหกหมอแม่ในตำนาน ระหว่างทอดถอนใจให้กับความซวยของตนเอง ทะลุมิติมาอย่างแปลกประหลาดก็เรื่องหนึ่งแล้ว ยังมาเจอสามีแบบนี้อีก อีกหน่อยชีวิตจะต้องอาภัพอย่างไม่ต้องสงสัย จู่ๆ ก็ได้ยินสามีปากร้ายคนนั้นไล่นางมาอยู่ที่นี่ด้วยน้ำเสียงห้าวหาญเหมือนต้องการตัดขาดไม่ไปมาหาสู่กับนางอีก สำหรับนางแล้วนั่นไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ นางพรั่งพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาแผ่วเบาเมื่อเขาหันหลังทำท่าว่าจะเดินจากไป…
ใครจะไปคิดว่าช่วงเวลาดีๆ คงอยู่ได้ไม่นาน ย้ายมาที่นี่ไม่กี่วัน นางก็พบว่าร่างที่ตนเองรับสืบทอดมาร่างนี้ตั้งท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว
เดิมทีตอนพบว่าตนเองตั้งท้อง นางคิดว่ารอให้เด็กคลอดแล้วจะส่งกลับไปให้พ่อปากร้ายของพวกเขาเลี้ยงดูเอง บอกตามตรงตอนนั้นนางไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเด็กในท้องเลย นางไม่รู้ว่าคนสองคนที่จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้จะร่วมกันทำเรื่องอย่างว่าได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าตอนที่ทั้งสองแก้ผ้าล่อนจ้อนและเจ้าของร่างปล่อยให้เขาหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในท้องจะมีความสุขหรือเจ็บปวด ยินยอมพร้อมใจหรือเพราะถูกบีบบังคับ
แต่หลังผ่านพ้นความยากลำบากจากการตั้งท้องสิบเดือนและคลอดลูกออกมาอย่างทรมาน พอเด็กสองคนนี้ลืมตาดูโลก นางก็ตัดใจจากพวกเขาไม่ลง โดยเฉพาะเวลาพวกเขาเบิกตาดำขลับคู่เล็กจ้องมองนาง นางก็สาบานว่าจะไม่ปล่อยให้เหวินเกอ อู่เกอไปอยู่กับพ่อปากจัดของพวกเขาแน่นอน!
“ทำไมคุณหนูลงไปนั่งบนพื้นเปียกๆ อีกแล้วล่ะเจ้าคะ” ชิวจวี๋ถือเสื้อผ้าของเหวินเกอ อู่เกอไล่ตามมา “ฝนเพิ่งตกไป พื้นดินชื้นมาก” นางพูดพลางดึงตัวเหวินเกอ อู่เกอออกมา ก่อนจะหันไปประคองเจินสือเหนียง “เหวินเกอ อู่เกอคนดี ท่านแม่ร่างกายไม่แข็งแรง อย่าเกาะแกะท่านแม่ คุณหนูรีบเข้าไปพักในบ้านเถอะเจ้าค่ะ งานพวกนี้รอให้ป้าสวีกลับมาแล้วบ่าวจะทำเอง”
ป้าสวีเป็นแม่นมของเหวินเกอ อู่เกอ ตอนเจินสือเหนียงตั้งท้องลูกสองคนนี้ นางอายุแค่สิบสามเท่านั้น ตามมาตรฐานของยุคปัจจุบัน ร่างกายยังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางตายมาแล้วหนึ่งหน แถมท้องนี้ยังเป็นลูกแฝด สุดท้ายจึงตกเลือดหลังคลอดจนเกือบลงไปอยู่ในปรโลก แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ร่างกายอ่อนแอมาตลอด แม้แต่ลูกก็เลี้ยงไม่ไหว จำต้องจ้างแม่นม
น้องชายของป้าสวีแต่งภรรยา สามวันก่อนนางจึงลาหยุดเข้าเมือง ชิวจวี๋จำต้องรับบทพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว ทิ้งงานมากมายในลานหลังบ้านไว้ก่อน
“แสงแดดออกจะอบอุ่น จะจับไข้ง่ายๆ ได้อย่างไร” เจินสือเหนียงส่ายหัวแย้มยิ้มเมื่อเห็นชิวจวี๋ทำท่าเหมือนกระต่ายตื่นตูม แต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายพยุงตนขึ้นมา
นั่งแค่ครู่เดียวก็รู้สึกขาชาไม่มีแรงแล้ว เจินสือเหนียงอดก่นด่าในใจไม่ได้ สังคมโบราณเฮงซวย! ปล่อยให้เด็กอายุสิบเอ็ดแต่งงานได้อย่างไรกันนะ
อายุสิบเอ็ดปี! หากเป็นยุคปัจจุบันยังเป็นเด็กนักเรียนที่ซุกอกแม่ออดอ้อนออเซาะอยู่เลย แต่เจ้าของร่างเดิมที่นางอาศัยอยู่นี้กลับแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว นางยังสงสัยด้วยซ้ำว่าที่สี่เชวี่ยพูดเป็นความจริงหรือเปล่า นางเป็นลูกสาวของเสนาบดีเจินที่ก่อความผิดฐานกบฏจริงๆ หรือ ทำไมถึงให้นางแต่งออกมาตั้งแต่อายุแค่สิบเอ็ด แม่ของนางตัดใจได้อย่างไร
อยู่ที่นี่มาห้าปีนางก็พอเข้าใจอยู่บ้างว่าคนยุคนี้แต่งงานเร็ว แต่ส่วนใหญ่เด็กผู้หญิงมักต้องรอให้อายุครบสิบสามปีก่อนถึงจะออกเรือน ยกเว้นสะใภ้ที่เลี้ยงไว้แต่เด็กเพื่อแต่งเป็นภรรยาในอนาคต แต่ว่ากันว่าตอนที่เจ้าของร่างเดิมของนางออกเรือน เสนาบดีเจินผู้นั้นมีอำนาจล้นฟ้า แดงจนเกือบเป็นม่วง
เจินสือเหนียงคิดพลางพาเหวินเกอ อู่เกอเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณหนูไปไหนมาเจ้าคะ” สี่เชวี่ยที่เหงื่อไหลไคลย้อยกำลังจะออกไปตามหานาง เห็นพวกนางกลับมาพอดีก็ปรี่เข้าไปหา “บ่าวกำลังจะออกไปตามคุณหนูอยู่พอดี”
“วันนี้ทำไมถึงกลับเร็วนักล่ะ” พอเห็นสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงก็ตาเป็นประกาย “เออเจียวขายได้เท่าไร เก็บค่าของกลับมาหรือเปล่า”
สี่เชวี่ยยิ้มระรื่น “ขายหมดเจ้าค่ะ หลงจู๊หลี่พูดไม่หยุดว่าไม่พอขาย ถามคุณหนูว่าจะทำเพิ่มอีกได้หรือไม่” มือล้วงก้อนเงินเล็กๆ หนึ่งก้อนกับเหรียญทองแดงหลายพวงยื่นมาให้ “เออเจียวของคุณหนูขายได้ทั้งหมดยี่สิบตำลึงหกเฉียน บ่าวซื้อยามาให้คุณหนูอีกสามเทียบ ซื้อหนังลามาอีกห้าผืน เหล้าเหลืองสิบชั่ง น้ำตาลกรวดสิบชั่ง และน้ำมันหอมอีกห้าชั่ง หักนิ้วคิดคำนวณทีละอย่าง ใช้เงินไปทั้งหมดสิบหกตำลึงแปดเฉียน ยังเหลืออีกสามตำลึงแปดเฉียน อยู่ตรงนี้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
ยานั้นให้เจินสือเหนียงกิน ส่วนพวกหนังลากับเหล้าเหลืองไว้ใช้ทำเออเจียว
ตั้งแต่ถูกขับไล่มาอยู่ที่นี่ เจินสือเหนียงก็ไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากตระกูลเสิ่นอีกแม้แต่แดงเดียว สองปีก่อนนางเอาสินเจ้าสาวชิ้นสุดท้ายไปจำนำ ชีวิตเริ่มยากจนข้นแค้นจนถึงขีดสุด ไม่พูดถึงเรื่องที่นางต้องกินยาต่อเนื่องมานานปี แค่การหาเลี้ยงห้าหกชีวิตในบ้านหลังนี้ก็เป็นปัญหาแล้ว ครั้นเห็นว่าสระบัวสองสระในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นไม่เพียงพอจะเลี้ยงปากท้อง เจินสือเหนียงจึงคิดถึงอาชีพในชาติก่อนของตนเอง โชคดีที่นางเองก็ต้องกิน บางครั้งจึงต้มเออเจียวไว้ใช้เอง ดังนั้นจึงลองต้มเออเจียวไปขายในเมือง
แต่คิดดูก็รู้ นางเป็นผู้หญิง ทั้งยังไร้ชื่อไร้เสียง ใครจะไปเชื่อว่านางจะต้มเออเจียวเป็น
แรกเริ่มร้านยาใหญ่ๆ ต่างไม่ยอมรับเออเจียวของนางไปขาย ประจวบเหมาะวันหนึ่งนางกำลังขอร้องหลี่ฉี หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงให้ช่วยขายเออเจียวให้ พบเฝิงสี่หมอที่นั่งตรวจประจำร้านยาวินิจฉัยโรคไข้หวัดผิด คิดว่าเป็นโรคจากความร้อนจนคนไข้ตามมาเอาเรื่องที่ร้าน
ตอนนั้นเฝิงสี่ตรวจอาการคนไข้แล้วพบว่าตาแดง คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งล้วนเป็นอาการต้นแบบของโรคจากความร้อน เขาไม่ได้คิดมากและเขียนตำรับยาเฉิงชี่ทังให้ คิดไม่ถึงว่าคนไข้กินแล้วอาการจะทรุดหนัก ถูกครอบครัวหามพามาที่ร้านยาในสภาพปางตาย ชาวบ้านมามุงดูหน้าร้านยามากขึ้นเรื่อยๆ จนชื่อเสียงแทบป่นปี้ สุดท้ายเจินสือเหนียงเป็นคนตรวจหาสาเหตุของโรคได้
แม้ชีพจรเต้นเร็วจะเป็นอาการของโรคจากความร้อน ชีพจรเต้นช้าเป็นอาการของโรคจากความเย็น แต่ไม่เสมอไปทุกครั้ง บางครั้งก็ปรากฏชีพจรที่สวนทางกับโรค คนไข้รายนั้นเข้าลักษณะอาการหยินแกร่งจนกลบหยาง พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยคือ ธาตุหยินในร่างกายเขาแข็งแกร่งเกินไปจนดันธาตุหยางที่อ่อนแอกว่าให้แสดงออกมาภายนอก อาการที่พบจึงเป็นหน้าแดง ปากแห้งเหมือนเป็นโรคจากความร้อน แต่แท้จริงแล้วเป็นโรคจากความเย็น ตอนนั้นนางตัดสินใจอย่างเฉียบขาดให้รักษาด้วยขิงแก่แห้ง โหราเดือยไก่ ตลอดจนยาที่มีสรรพคุณร้อนอื่นๆ
ตามคาด คนไข้เหงื่อออกทั่วทั้งตัว ไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ
หลังจากช่วยร้านยารุ่ยเสียงแก้วิกฤตครั้งนั้น หลงจู๊หลี่ฉีซาบซึ้งใจจึงยอมให้นางวางเออเจียวไว้ในร้าน เขาจะลองช่วยขายให้
แรกเริ่มเออเจียวหนึ่งหม้อต้องขายอยู่หลายเดือน ยังดีที่หลี่ฉีเชื่อในวิชาแพทย์ของนาง หากเฝิงสี่ไม่ว่างหรือเจอโรคที่เขารักษาไม่หายก็จะตามนางไปช่วย หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้บ้าง
ใครจะคิดว่าไปๆ มาๆ นางกลับมีชื่อเสียง ตอนนี้เออเจียวหนึ่งหม้อไม่ถึงครึ่งเดือนก็ขายหมดเกลี้ยง เหมือนอย่างหม้อนี้ นางจำได้ว่าเพิ่งจะส่งไปได้ห้าหกวันเท่านั้น เนื่องจากต้องเก็บรากบัวแล้ว นางต้องใช้เงินจ้างคนงานจึงให้สี่เชวี่ยไปร้านยารุ่ยเสียงหาหลี่ฉีแต่เช้า ดูว่าจะขอเบิกเงินล่วงหน้าได้หรือไม่
คิดไม่ถึงว่าจะขายหมดแล้ว!
“ดูท่าชาวเมืองอู๋ถงจะยอมรับเออเจียวของข้าแล้ว” เจินสือเหนียงรับเงินมาด้วยความดีใจยิ่ง
หากก้าวแรกประสบความสำเร็จ สักวันนางจะต้องมีร้านยาเป็นของตนเองได้เป็นแน่
“ไม่ใช่แค่ยอมรับนะเจ้าคะ ได้ยินพี่หลี่บอกว่าเออเจียวของคุณหนูรอบนี้ถูกแย่งกันซื้อเลยล่ะ” สี่เชวี่ยยิ้มอย่างยินดีปรีดา “พี่หลี่ยังบอกว่าถ้าบ่าวไม่ไปหา เขาจะมาหาคุณหนูด้วยตนเองอยู่แล้ว อยากหารือกับคุณหนูว่าจะเคี่ยวเออเจียวให้มากหน่อยได้หรือไม่”
เจินสือเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็พลันทอดถอนใจ “มีเงินให้กอบโกยใครบ้างที่ไม่อยากได้ แต่ร่างกายข้าจะรับไหวเสียที่ไหน” เดือนหนึ่งเคี่ยวสองหม้อนางก็แทบแย่แล้ว จะโลภมากกว่านี้ได้อย่างไร
สีหน้าของสี่เชวี่ยหม่นลง นางเองก็คิดไม่ถึงว่าภายหลังร่างกายของคุณหนูจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้
“หาเงินได้สิบเจ็ดตำลึงแปดเฉียนแล้ว” เจินสือเหนียงอุ้มไหใบเล็กออกมาจากใต้ตู้สี่ลิ้นชักที่ถูกขัดจนเป็นสีขาว เทเศษเงินข้างในออกมานับดูและเก็บเข้าไปใหม่พร้อมกับเงินที่สี่เชวี่ยนำกลับมา “ปีนี้รากบัวออกเยอะ อย่างไรก็ต้องเก็บได้สามสี่พันชั่ง ในที่สุดก็ได้ฉลองปีใหม่อย่างเต็มที่เหมือนคนอื่นเสียที!” นางยิ้มมองสี่เชวี่ย “รอไว้ขายรากบัวได้เมื่อไร ปีนี้ข้าจะตัดเสื้อใหม่ให้คนละชุด”
พอย้อนคิดดู พวกนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าใหม่มาสองสามปีแล้ว
สี่เชวี่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ แต่เล็กจนโตคุณหนูของนางเคยต้องลำบากลำบนแบบนี้เสียที่ไหน แต่ก่อนแม้แต่นางที่เป็นสาวใช้ประจำตัวยังไม่เห็นเงินสิบเจ็ดตำลึงนี่อยู่ในสายตา บัดนี้กลับต้องใส่ใจทุกอีแปะ
“ดีจังเลย!” ไม่ทันสังเกตสีหน้าผิดปกติของสี่เชวี่ย พอได้ยินว่าจะได้สวมเสื้อใหม่ ชิวจวี๋ก็กระโดดเหยงเป็นคนแรก “บ่าวจะเอาสีแดงกุหลาบแบบที่เอ้อร์ยาใส่!”
เอ้อร์ยาเป็นลูกสาวคนที่สองของอวี๋เหลียงที่บ้านอยู่ตรอกข้างหน้า หมู่นี้ชอบสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอไขว้สีแดงกุหลาบตัวใหม่เอี่ยม นั่นเป็นชุดที่ตัดตอนพี่สาวคนโตของนางแต่งงาน ชิวจวี๋เห็นแล้วทำท่าทางคล้ายว่าน้ำลายจะหกอย่างไรอย่างนั้น
“ได้” เจินสือเหนียงยิ้มน้อยๆ “ถึงเวลาให้เจ้าไปเลือกเองเลย”
“คุณหนูช่างเป็นคนใจดีที่สุดในโลก!” ชิวจวี๋ขอบตาร้อนผ่าว พอนึกอะไรได้ก็หันขวับกลับไป “ใช่แล้ว อาสี่เชวี่ย ในเมืองตีฆ้องลั่นกลองกันดังสนั่น เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“อุ๊ย!” สี่เชวี่ยเหลือบตามองกาน้ำหยดและร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ “ตายจริง มัวแต่คุย เที่ยงแล้วหรือนี่” นางเงยหน้าสั่งชิวจวี๋ “เจ้าเอาหนังลาพวกนี้ไปแช่น้ำก่อน ข้าจะเตรียมทำอาหารกลางวัน”
“เจ้าค่ะ” ชิวจวี๋ที่ลืมคำถามเมื่อครู่นี้ไปอย่างสิ้นเชิง นางรับคำและเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียง “บ่าวซื้อเนื้อหมูมาครึ่งชั่ง มื้อเที่ยงวันนี้ทำหมูสับนึ่งแป้งแล้วกัน คราวก่อนคุณหนูทำอร่อยมาก เหวินเกอ อู่เกอยังกินไม่หนำใจเลย”
“พูดมาเถอะ เรื่องอะไรกัน” เจินสือเหนียงนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองสี่เชวี่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
“เอ่อ…” สี่เชวี่ยบิดนิ้วแรงๆ “คือ…นายท่านชนะสงครามอีกแล้ว ระหว่างเดินทางกลับผ่านมาทางนี้ ได้ยินว่า…” นางแอบชำเลืองมองสีหน้าของผู้เป็นนาย “พรุ่งนี้เที่ยงจะทำพิธีส่งมอบเชลยศึกที่ประตูอู่เหมิน ฮ่องเต้จะเสด็จออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ”
ที่สี่เชวี่ยไม่ได้พูดคือ ใครๆ ต่างรู้ว่าพวกนางถูกทอดทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ตอนนี้เสิ่นจงชิ่งมีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ขุนนางเจ้านายและคนใหญ่คนโตในราชสำนักต่างแย่งกันยัดเยียดลูกสาวตนให้แต่งเป็นภรรยาเขา
เสิ่นจงชิ่งเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ เพียบพร้อมทั้งด้านบู๊และบุ๋น ห้าปีมานี้เขาปราบวอโค่ว ตีหนานอี๋ และเพิ่งจะเผด็จศึกหนานเยวี่ย ได้เลื่อนตำแหน่งจากเซี่ยวเว่ยขั้นหกไปเป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วขั้นสองแล้ว
แม้หลังจากฆ่าตัวตายครั้งนั้น เจินสือเหนียงจะเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนและลืมเรื่องต่างๆ ไปมากมาย แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่ถูกเสิ่นจงชิ่งทอดทิ้ง ไม่ว่าภายนอกนางจะสุขุมเยือกเย็นเพียงใด สี่เชวี่ยก็ไม่คิดว่านางจะตัดใจจากเขาได้แล้วจริงๆ ที่ผ่านมาจึงไม่กล้าเอ่ยถึงเสิ่นจงชิ่งต่อหน้านาง โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขากำลังประสบความสำเร็จ สี่เชวี่ยยิ่งไม่กล้าเอ่ยถึงเขาต่อหน้านางเข้าไปใหญ่ แม้แต่ชิวจวี๋ที่สนิทสนมกันมากก็ยังไม่รู้ว่าพ่อแท้ๆ ของเหวินเกอ อู่เกอเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว
ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจึงไม่รู้ว่าเหตุผลหลักที่นางถูกทอดทิ้งให้อยู่ในเมืองทุรกันดารที่กระต่ายยังไม่อยากขับถ่ายแห่งนี้เป็นเพราะเจ้าของเดิมของร่างนี้ทำตัวหยาบคายไร้เหตุผลเกินไป ทำให้เสิ่นจงชิ่งไม่พอใจไม่น้อยทีเดียว
แน่นอนว่าต่อให้นางในอดีตจะไร้เหตุผลมากเพียงใด ร้ายกาจมากเพียงใด สี่เชวี่ยก็ไม่กล้าพูดตรงๆ ดังนั้นในสายตาของเจินสือเหนียง ที่ชีวิตนางต้องเป็นเช่นวันนี้ล้วนเป็นเพราะเสิ่นจงชิ่งได้ใหม่ลืมเก่า วันนั้นแม้จะมีม่านลูกปัดบังอยู่ทำให้นางไม่เห็นโฉมหน้าเขา แต่ชุดแต่งงานสีแดงสดนั้นเจินสือเหนียงเห็นชัดเต็มสองตา
นางยังมีชีวิตอยู่ แต่เขากลับแต่งงานใหม่เสียแล้ว ไม่เรียกว่าได้ใหม่ลืมเก่าจะเรียกว่าอะไร
อย่าว่าแต่เป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ผู้ชายห่วยๆ แบบนี้ให้ฟรีนางยังไม่อยากได้ เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างขบขัน
สี่เชวี่ยผู้นี้กังวลเกินกว่าเหตุเสียแล้ว!
อยู่กับนางมาห้าปีกลับดูไม่ออกว่านางเป็นคนสมถะ ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ ชั่วชีวิตนี้ต่อให้ต้องสวมเสื้อผ้าเก่าขาด แต่ขอเพียงได้พบคนที่จริงใจกับนาง ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไปแค่สองคนนางก็พอใจแล้ว
พอได้มาอยู่ในสังคมสมัยโบราณ เจินสือเหนียงถึงรู้ว่าสังคมโบราณไม่ได้เป็นอย่างที่คนยุคปัจจุบันคิด ผู้ชายไม่ได้มีสามภรรยาสี่อนุกันทุกคน ดูอย่างชาวเมืองอู๋ถงสิ คนส่วนใหญ่ล้วนผัวเดียวเมียเดียว มีแต่ตระกูลใหญ่หรือบ้านเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีภรรยาและอนุห้อมล้อมเป็นฝูง นางเชื่อว่าขอเพียงไม่เลือกคนรวย นางต้องเจอคนที่ยอมครองคู่อยู่กับนางไปจนแก่เฒ่าแน่นอน
ทว่า… นางถอนใจเบาๆ เรื่องนี้ง่ายดายเสียที่ไหน!
สตรีที่ถูกสามีทิ้งและไม่มีหนังสือหย่า แถมยังมีลูกติดอีกสองคน ตระกูลสามีเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่อำนาจเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เขาหรือจะยอมปล่อยให้นางพาลูกของเขาไปแต่งงานใหม่
“คุณหนูบอกนายท่านเรื่องเหวินเกอ อู่เกอเถอะเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเอกของนายท่าน” ด้วยไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงกำลังเป็นห่วงอนาคตของตนเอง คิดว่านางไม่พอใจที่เห็นเสิ่นจงชิ่งกลับจากสงครามอย่างมีเกียรติ สี่เชวี่ยจึงเกลี้ยกล่อม “ได้ยินว่าหลายปีมานี้ในจวนแม่ทัพนอกจากอี๋เหนียงใหญ่ที่ให้กำเนิดลูกสาวกับอี๋เหนียงสามที่คลอดลูกชายได้สามวันเด็กก็ตายแล้ว นายท่านก็ไม่มีทายาทอีก เชื่อว่าหากได้เห็นเหวินเกอกับอู่เกอ นายท่านจะต้องรีบรับคุณหนูกลับไปแน่” แต่ไรมามารดาเป็นใหญ่ได้เพราะบุตร โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทายาท
สี่เชวี่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจินสือเหนียงถึงไม่ยอมบอกเรื่องลูกกับเสิ่นจงชิ่ง ด้วยนิสัยจิตใจกว้างขวางของเขา หากรู้ว่าเจินสือเหนียงเกือบเสียชีวิตเพราะลูกทั้งสอง ต่อให้เคยมีความแค้นใหญ่โตเพียงใด เขาก็ต้องดีกับเจินสือเหนียงและให้พวกนางแม่ลูกได้อยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต
“ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่พบเจอเขาอีก ทางที่ดีเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ!” เจินสือเหนียงน้ำเสียงเฉียบขาด “เหวินเกอ อู่เกอเป็นของข้าเพียงคนเดียว พวกเขาใช้แซ่เจี่ยนตามข้า! อีกหน่อยไม่ว่ากับใครก็ห้ามเอ่ยว่าพวกเขาเป็นเลือดเนื้อตระกูลเสิ่น รวมถึงต่อหน้าผู้ชายของเจ้าด้วย!”
ชื่อของเจินสือเหนียงเมื่อชาติก่อนคือเจี่ยนโยว หลังถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันปัญหา นางจึงตัดสินใจบอกคนนอกว่าพวกนางเช่าบ้านหลังนี้กับสกุลเสิ่น เป็นแม่ม่ายแซ่เจี่ยนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่เงียบๆ ลูกสองคนตั้งชื่อให้ว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่
ห้าปีมานี้สกุลเสิ่นไม่เคยมาที่นี่ กอปรกับเจินสือเหนียงร่างกายไม่แข็งแรง จึงอยู่แต่บ้านไม่ค่อยออกไปไหน คนในเมืองจึงไม่สงสัย
นานแล้วที่ไม่เห็นเจินสือเหนียงดุแบบนี้ สี่เชวี่ยรีบคุกเข่าลงทันที “บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” เจินสือเหนียงถอนใจ “เจ้าไม่รู้หรอก ข้ายอมหาสามีชาวชนบทที่รักและห่วงใยข้า ยังดีกว่าใช้ชีวิตอีกครึ่งที่เหลือกับเขา”
“คุณหนู…คุณหนูจะ…” สี่เชวี่ยปากอ้าตาค้าง
คุณหนูของนางคงไม่คิดจะแต่งงานใหม่จริงๆ หรอกนะ แบบนี้ขัดต่อขนบธรรมเนียมเกินไปแล้ว!
ด้วยรู้ว่าสี่เชวี่ยยึดคติสตรีต้องมีสามีเดียว จะให้นางยอมรับความคิดนี้ในชั่วเวลาสั้นๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจินสือเหนียงจึงลุกขึ้น “ไปเถอะ ได้เวลาทำอาหารกลางวันแล้ว”
สี่เชวี่ยขยับปากไปมาทำท่าจะถามให้ชัดเจน แต่เห็นเจินสือเหนียงเดินออกไปแล้ว จึงส่ายหน้าและรีบก้าวตามไป
นอกจากเหวินเกอ อู่เกอที่เป็นผู้ชาย ในบ้านมีแต่ผู้หญิงสามคน หลังบ้านมีสระบัวสองหมู่กับแปลงผักครึ่งหมู่ ปกติแล้วงานที่ต้องใช้แรงสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋จะเป็นผู้รับผิดชอบ ในบรรดาผู้หญิงสามคนเจินสือเหนียงร่างกายอ่อนแอ นางจึงรับหน้าที่ทำกับข้าว
โชคดีที่ชาติก่อนเจินสือเหนียงชอบกินของอร่อยและชอบดูรายการ ‘ประเทศจีนที่ปลายลิ้น’* เป็นที่สุด การทำอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับนาง แถมยังสร้างความสุขเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะทุกครั้งที่สามารถเปลี่ยนวัตถุดิบที่แสนจะธรรมดาให้เป็นอาหารรสเลิศได้ ทำเอาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กินจนพุงกาง เจินสือเหนียงจะรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ
นางให้สี่เชวี่ยไปจับปลาไนจากสระบัวมาตัวหนึ่งและนำไปนึ่ง จากนั้นทำหมูสับนึ่งแป้ง ต้มโจ๊กเม็ดบัวอีกหม้อ เอาผักก้อนนึ่งแป้งที่ทำไว้แล้วไปอุ่นสักหน่อยกับผักดองอีกสองจาน แค่ครึ่งชั่วยาม อาหารหอมฉุยก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
อาศัยช่วงที่นางทำกับข้าว สี่เชวี่ยพาชิวจวี๋กับเด็กสองคนไปเก็บฝักบัวมาอีกหลายฝัก “ฝีมือของคุณหนูดีขึ้นทุกวัน” เห็นอาหารหอมฉุยบนโต๊ะแล้ว ชิวจวี๋ก็น้ำลายหกเป็นคนแรก
“เนื้อ! เนื้อ!” เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นเนื้อ พอได้กลิ่นหอมของเนื้อ เหวินเกอ อู่เกอก็รีบปีนขึ้นไปบนเตียงเตา** “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะกินเนื้อ! หมูสับนึ่งแป้งอร่อย!”
“ได้ พวกเราทุกคนได้กินเนื้อแน่” เจินสือเหนียงก้มตัวยั้งลูกทั้งสองไว้ก่อน “แต่เหวินเกอ อู่เกอต้องล้างมือให้สะอาดก่อน”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยื่นสองมือที่เปื้อนดินโคลนออกมาแล้วแลบลิ้นใส่กัน ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปโดยไม่ลืมบอกว่า “ท่านแม่รอข้าด้วย!” อู่เกอวิ่งชนชิวจวี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตู เด็กน้อยผงะและตะโกนว่า “ข้าจะไปล้างมือ พี่ชิวจวี๋ห้ามแอบกินเนื้อนะ!”
ชิวจวี๋หัวเราะคิก “เดี๋ยวพี่สาวพาเจ้าไปล้างมือ”
“ข้าพาพวกเขาไปดีกว่า เจ้าไปช่วยคุณหนูตักโจ๊ก” สี่เชวี่ยที่เพิ่งเก็บฝักบัวเรียบร้อยและเดินเข้ามาในบ้านเห็นเข้า จึงดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไป
ชิวจวี๋ขานรับและไปหยิบชามในห้องครัว
เหวินเกอ อู่เกออายุน้อยก็จริง แต่กลับโตกว่าวัย กินข้าวไม่ต้องให้คนป้อน เจินสือเหนียงคีบกับข้าวใส่ชามของทั้งสอง พวกเขาก้มหน้ากินอย่างเอร็ดอร่อย
คนเยอะแต่เนื้อมีน้อย เห็นสี่เชวี่ยตักเนื้อไปกินคำหนึ่งก็ไม่ยอมกินอีก เหลือไว้ให้เด็กๆ กิน ด้วยรู้ว่าพูดโน้มน้าวไปก็ไร้ประโยชน์ เจินสือเหนียงจึงเลื่อนปลาตรงหน้าเหวินเกอไปตรงหน้าสี่เชวี่ย “เอ้า ปลานึ่งของโปรดของเจ้า”
ที่บ้านมีสระบัว ฤดูใบไม้ผลิเจินสือเหนียงปล่อยลูกปลาลงไปในสระเยอะมาก พวกนางจึงได้กินเนื้อปลาบ่อยๆ
“คุณหนูร่างกายไม่แข็งแรง ควรกินเนื้อให้มากหน่อย” สี่เชวี่ยคีบเนื้อหมูสับใส่ลงในชามเจินสือเหนียง ส่วนตนเองคีบเนื้อปลาไปกิน พอตะเกียบถึงปาก นางก็รู้สึกคลื่นไส้
“เป็นอะไรไป” เห็นสีหน้าผิดปกติของนาง เจินสือเหนียงจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า ฝืนยัดเนื้อปลาใส่ปาก คิดไม่ถึงว่าไม่กินยังพอทน พอฝืนกลืนลงไป ท้องไส้ของนางก็ปั่นป่วนทรมาน สี่เชวี่ยอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ปิดปากวิ่งออกไปข้างนอก ทำเอาชิวจวี๋ตกใจกระโดดลงจากเตียงเตาและวิ่งตามออกไปเท้าเปล่า
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ตกใจจนวางตะเกียบ “อาสี่เชวี่ยเป็นอะไรหรือ” เจี่ยนอู่ลุกขึ้นทำท่าจะลงจากเตียงเตา
“กินข้าวต่อ” เจินสือเหนียงยื่นมือกดตัวเขาไว้และคีบผักก้อนนึ่งแป้งให้พวกเขาคนละก้อน “กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ” ทว่าสายตากลับมองไปที่หน้าประตูอย่างเป็นห่วง
ชิวจวี๋ประคองสี่เชวี่ยเดินเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจินสือเหนียงถาม
“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยยิ้ม แต่ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย “อาจเพราะตอนเช้าไปโน่นมานี่ ตากแดดมากเกินไป บ่าวดื่มโจ๊กดีกว่า” นางยกชามโจ๊กเม็ดบัวขึ้นมาและก้มหน้าดื่มทันที
เจินสือเหนียงกลับนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด
“ข้ากินอิ่มแล้ว” เจี่ยนเหวินวางตะเกียบ “ข้าจะไปแกะฝักบัว!”
เห็นพี่ชายวางตะเกียบ เจี่ยนอู่ก็รีบยัดผักก้อนนึ่งแป้งที่เหลือในมือใส่ปากและลุกขึ้นบ้าง แต่ถูกเจินสือเหนียงกดตัวไว้ “กลืนข้าวในปากลงไปก่อน” นางเงยหน้าเรียกเจี่ยนเหวิน “รอน้องชายด้วย”
เจี่ยนอู่รีบกลืนข้าวในปาก รับน้ำที่ชิวจวี๋ยื่นให้ดื่มคำหนึ่ง หอบหายใจคำโตและชูมือขวา “ข้าก็จะไปแกะฝักบัวเหมือนกัน!”
“รออาหารย่อยแล้วกลับมานอนกลางวันล่ะ” เจินสือเหนียงกำชับ
“อื้ม…” เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังมาจากลานบ้าน
“ระดูครั้งล่าสุดของเจ้ามาเมื่อไร” เห็นชิวจวี๋และเด็กๆ เดินออกไปแล้ว เจินสือเหนียงถึงหันไปถามสี่เชวี่ย
“เดือนก่อนเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยชะงัก ดวงตาเป็นประกายพลางมองเจินสือเหนียงอย่างตื่นเต้นดีใจ “ดูเหมือนจะไม่มาสองเดือนแล้ว คุณหนู…บ่าว…”
แต่งงานมาเกือบสามปี แต่ท้องกลับนิ่งมาตลอด แม้สามีจะไม่พูด แต่สี่เชวี่ยเองก็ร้อนใจ
“เจ้านี่นะ” เจินสือเหนียงคว้าแขนนาง “ให้ข้าดูหน่อย”
“ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเจินสือเหนียงแล้ว สี่เชวี่ยแทบกลั้นหายใจ
“ไม่ใช่” เจินสือเหนียงส่ายหน้า
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงหน้าเล็กของสี่เชวี่ยหม่นลง
“หลอกเจ้าต่างหาก” เจินสือเหนียงหัวเราะคิก “สองเดือนกว่าแล้ว”
“คุณหนูชอบแกล้งบ่าวอยู่เรื่อยเลย” สี่เชวี่ยน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่เพราะความตื่นเต้นยินดี
“เอาล่ะๆ” เจินสือเหนียงลูบหลังนาง “ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะเช่นนี้จะไม่ดีต่อครรภ์ได้”
สี่เชวี่ยไม่กล้าร้องไห้อีก “วิชาแพทย์ของคุณหนูเยี่ยมยอดจริงๆ คราวนี้บ่าวนี่แหละที่เป็นตัวอย่าง บ่าวจะออกไปป่าวประกาศให้ทั่ว”
เห็นนางแต่งงานมาสามปียังไม่ตั้งครรภ์ เจินสือเหนียงจึงเขียนสูตรยาให้ เพิ่งจะกินได้สามเดือนเท่านั้นก็เห็นผลถึงเพียงนี้
“ระวังผู้อื่นจะว่าเจ้าขี้โม้” เจินสือเหนียงหัวเราะ คิดอะไรบางอย่างได้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เพิ่งจะสองเดือน ครรภ์ยังไม่มั่นคง อีกหน่อยอย่าไปเก็บฝักบัวอีกเลย”
“แต่ว่า…”
“ปีนี้เก็บเกี่ยวดี ข้าว่างานในสระบัวจ้างคนมาทำดีกว่า เจ้ากับชิวจวี๋จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
สี่เชวี่ยส่ายหน้า “แบบนั้นก็ต้องเสียเงินอีก” ปีหน้าเหวินเกอ อู่เกอต้องเข้าศึกษาแล้ว มีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก “หรือว่า…” นางเงยหน้าทันใด “ให้ฉางเหอมาช่วยสักสองสามวันเถอะเจ้าค่ะ” จะได้เป็นการประหยัดเงินไปหน่อย
ฉางเหอนามว่าหลี่ฉางเหอ เป็นสามีของสี่เชวี่ย บ้านมีที่นาแปลงเล็กๆ ยามว่างจากงานในท้องนาจะรับจ้างทำงานให้คนอื่น เขากับสี่เชวี่ยรู้จักกันก็เพราะเจินสือเหนียงจ้างเขามาช่วยทำงานในสระบัวที่บ้าน หลี่ฉางเหอเป็นคนดีมีน้ำใจ หลายปีมานี้ช่วยเหลือเจินสือเหนียงไว้ไม่น้อย
“อย่าเลย” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “แม้แต่เงินเดือนของเจ้าข้ายังไม่มีปัญญาจ่าย ขืนให้เขามาทำงานเปล่าๆ อีก คลอดลูกมาแล้วพวกเจ้าจะกินลมต่างข้าวหรือไร” นางเห็นสี่เชวี่ยทำท่าจะพูดต่อก็ชิงเอ่ยว่า “เจ้าวางใจ ไว้เก็บเงินพอเปิดร้านยาได้เมื่อไร เขาไม่อยากมาก็คงไม่ได้!”
เปิดร้านยาอย่างน้อยต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง! นางเป็นแม่ม่ายสามีทิ้งจะมีปัญญาเปิดได้อย่างไร อีกอย่าง ร้านยาใช่สิ่งที่สตรีจะเปิดได้เสียที่ไหน ยังไม่พูดถึงฐานะของพวกนางที่ไม่ธรรมดา แอบขายยาแบบนี้ยังพอได้ แต่ถ้าเปิดร้านขายยาอย่างเอิกเกริก หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่าภรรยาเอกของเขาแอบทำอาชีพชั้นต่ำเยี่ยงนี้ เกรงว่าคงฆ่านางปิดปากทันทีแน่
ด้วยคิดว่าเจินสือเหนียงแค่พูดปลอบใจตน สี่เชวี่ยจึงไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง ถือโอกาสพูดต่อว่า “…ในเมื่อคุณหนูอยากเก็บเงินเปิดร้านยา ตอนนี้ย่อมต้องประหยัดให้มากที่สุด ฉางเหอไม่มีดีอย่างอื่น มีแต่แรงงาน เมื่อวานหลงจู๊สวี่ทางตะวันออกของเมืองเรียกเขาไปช่วยงาน เขายังบอกว่าจะมาทำงานที่นี่เลย”
เจินสือเหนียงครุ่นคิด “ก็ได้ หากเขาไม่มีงานก็มาเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องไปจ้างคนอื่น แต่ค่าแรงต้องคิดตามราคาตลาด คราวนี้ห้ามเขาไม่รับเงิน มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมา!”
“คุณหนู!” สี่เชวี่ยหน้าแดงซ่าน
“ตกลงตามนี้แหละ” เจินสือเหนียงโบกมือ มองนางและพูดต่อว่า “ปีหน้าเหวินเกอ อู่เกอถึงวัยเข้าศึกษาแล้ว ข้าว่าหน้าหนาวปีนี้จะเลิกจ้างแม่นม”
สี่เชวี่ยอึ้งไปก่อนตอบว่า “ก็ดีเจ้าค่ะ แบบนี้ปีหนึ่งจะประหยัดได้อีกหกตำลึงกว่า หาเพิ่มอีกนิดหน่อยก็พอเป็นค่าเล่าเรียนของพวกเขาแล้ว ถึงอย่างไรอีกหน่อยบ่าวก็ลงสระบัวไม่ได้ บ่าวจะเป็นคนดูแลพวกเขาเอง เพียงแต่…” นางถอนใจ “จะอย่างไรก็เป็นทายาทของท่านแม่ทัพ มีพรสวรรค์ออกขนาดนี้ ส่งไปเรียนที่สถานศึกษาทั่วไป พรสวรรค์จะถูกละเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางพูดต่อ “บ่าวเห็นพวกเขาสองคนล้วนอยู่ไม่สุข โดยเฉพาะอู่เกอที่ยิงธนูแม่นยิ่งนัก…” หากได้อยู่ในจวนแม่ทัพ เสิ่นจงชิ่งจะต้องควักเงินก้อนโตจ้างครูฝึกยุทธ์กับอาจารย์สอนวิชาที่ดีที่สุดมาถ่ายทอดความรู้ให้พวกเขาแน่ สิบปีให้หลังย่อมกลายเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกคน ในใจคิดเช่นนี้ แต่พอนึกถึงท่าทีของเจินสือเหนียง สี่เชวี่ยจึงหยุดพูดเพียงแค่นั้น เอาแต่มองผู้เป็นนายด้วยสายตาหม่นหมอง
เจินสือเหนียงจะไม่เข้าใจหลักการข้อนี้ได้อย่างไร จำได้ว่าคำพูดติดปากของพ่อแม่ที่หวังให้ลูกเจริญก้าวหน้าคือ ‘จะปล่อยให้เด็กแพ้ที่จุดสตาร์ตไม่ได้เด็ดขาด’
เด็กสองคนนี้เฉลียวฉลาดแต่กำเนิดทั้งยังอยู่ไม่สุข นางควรหาครูฝึกยุทธ์มาสอนวิชาให้พวกเขา
แต่นางมีเงินเสียที่ไหน
บิดาของพวกเขาน่ะมีเงิน แต่น่าเสียดาย… คิดถึงความเย็นชาและวาจาร้ายกาจของเสิ่นจงชิ่งแล้ว เจินสือเหนียงส่ายหน้าในใจ “ช่างเถอะ พ่อแบบนั้นถึงมีเงินมากแค่ไหนก็สอนลูกให้ดีไม่ได้หรอก หาไม่จะมีลูกที่รู้จักแต่ล้างผลาญสมบัติพ่อแม่ได้อย่างไร” การอบรมบ่มสอนเด็กไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว คำสอนและการทำตัวเป็นแบบอย่างของพ่อแม่มีความสำคัญยิ่งกว่า นางถอนใจและเอ่ยว่า “เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน ใครว่าลูกคนจนจะไม่ประสบความสำเร็จเล่า”
สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ ไม่สะดวกจะเทียวไปเทียวมา งานส่งยาทวงเงินจึงตกอยู่ที่เจินสือเหนียง เนื่องจากการเคี่ยวเออเจียวเปลืองเวลาและเปลืองแรง เพื่อเก็บค่าเล่าเรียนและเงินทุนในการเปิดร้านยาให้ได้โดยเร็วที่สุด เจินสือเหนียงตัดสินใจเอาเงินที่หาได้ทั้งหมดมาซื้อวัตถุดิบและปรุงยาลูกกลอนขึ้น
“ยานี้มีชื่อว่าลูกกลอนไก่ดำพญาหงส์ขาว” วันนี้เจินสือเหนียงนำยาลูกกลอนที่เพิ่งปรุงเสร็จมาที่ร้านขายยารุ่ยเสียง “ปรุงจากไก่ดำ กาวเขากวาง กระดองตะพาบ โสม แก่นหวงฉี และตัวยาอื่นๆ ช่วยบำรุงเลือดลม ปรับระดูให้เป็นปกติและรักษาตกขาว เหมาะกับคนที่เลือดลมไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ปวดเอวปวดหัวเข่า…” นางเปิดยาออกเม็ดหนึ่งพลางอธิบายสรรพคุณและวิธีใช้ให้เฝิงสี่หมอที่นั่งประจำร้านและหลงจู๊หลี่ฉีฟังอย่างใจเย็น สุดท้ายเอ่ยว่า “ยาลูกกลอนเหล่านี้พบเห็นน้อยในต้าโจว แต่ประสิทธิภาพไม่มีปัญหาแน่นอน พี่หลี่ลองขายให้ข้าที”
ปัจจุบันยาเม็ดไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ถึงขั้นถูกแทนที่ด้วยยาตะวันตกแล้วด้วยซ้ำ แต่ในต้าโจวที่การแพทย์ยังล้าหลัง การรักษาโรคส่วนใหญ่จะใช้ยาต้ม นอกจากสำนักแพทย์หลวงในวังแล้ว น้อยคนนักที่สามารถปรุงยาเม็ดได้ ร้านยาทั่วไปก็ไม่ขายยาพวกนี้ หนึ่งเพราะไม่มีแหล่งนำเข้าสินค้า สองเพราะชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อ แม้จะรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่เจินสือเหนียงก็จนปัญญา
ร่างกายนางอ่อนแอ ให้นางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาขายย่อมเป็นไปไม่ได้ แค่ให้มานั่งเป็นหมอประจำอยู่ที่นี่นางยังไม่ไหว ด้วยจนใจจึงคิดปรุงยาลูกกลอนมาลองเสี่ยงโชคดู
ยาลูกกลอน!
หลงจู๊หลี่ตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “แม่นางเจี่ยนปรุงยาลูกกลอนเป็นด้วยหรือ” แต่แล้วใบหน้าก็หม่นลง “ของนี้ดีก็จริง แต่ท่านก็รู้ว่าเมืองเล็กๆ ของเรามีคนรวยเสียที่ไหน” ต่อให้มีก็ไปให้หมอหลวงในเมืองซั่งจิงตรวจโรคให้และรับยาที่นั่น เขาส่ายหน้า “แม่นางเจี่ยน ใช่ว่าข้าไม่เชื่อฝีมือของแม่นาง…” เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่เกรงว่าจะขายไม่ออก”
“ไม่เป็นไร” เจินสือเหนียงยิ้ม “ยาลูกกลอนนี้มีอายุปีกว่า เม็ดละสามสิบอีแปะ พี่หลี่ช่วยวางไว้ในร้านลองดูหน่อยเถอะ หากขายไม่ออกจริงๆ ค่อยนำมาคืนข้าก็ได้” นางรับรองอีกครั้ง “ท่านวางใจได้ ข้าไม่ให้ท่านเสียเงินสักอีแปะแน่นอน”
“สามสิบอีแปะ?” หลงจู๊หลี่เบิกตากว้าง “ถูกขนาดนี้เชียวหรือ” ตอนฤดูใบไม้ผลิเขาไปสำนักแพทย์หลวง ยาลูกกลอนที่นั่นขั้นต่ำก็ต้องเม็ดละห้าสิบอีแปะ
“เป็นสูตรลับที่บิดาทิ้งไว้ให้น่ะ ข้าปรุงขึ้นเอง” เจินสือเหนียงพยักหน้า เห็นหลงจู๊หลี่ทำท่าสงสัยจึงเสริมว่า “หลงจู๊หลี่วางใจได้ เป็นของชั้นดีทั้งนั้น” นางถอนหายใจ “บอกตามตรง สามสิบอีแปะข้าได้แค่ต้นทุนเท่านั้น ปีหน้าเด็กๆ ต้องเข้าเรียนแล้ว มีเรื่องให้ต้องใช้เงินมากเหลือเกิน”
ได้ยินเสียงทอดถอนใจเบาๆ ของนาง หลงจู๊หลี่ใจอ่อนทันที “ลองวางขายในร้านดูแล้วกัน จะขายออกหรือไม่คงต้องอาศัยโชคของแม่นางเจี่ยนเองแล้ว” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “เออเจียวของแม่นางเจี่ยนขายดีมาก มิสู้ท่านต้มเออเจียวให้มากหน่อย…” ครั้นคิดถึงวิชาแพทย์สูงส่งของนางก็ชี้ที่ว่างข้างเฝิงสี่ “หากท่านยินดี ข้าจะจัดที่ไว้ตรงนั้น อีกหน่อยให้ท่านมานั่งตรวจคนไข้ที่นี่ทุกวัน” หากนางยอมมานั่งประจำที่ร้านจริง ที่นี่จะต้องคึกคักยิ่งกว่าตลาดสดแน่ “ค่าตรวจรักษาเป็นของท่านทั้งหมด ข้าขอกำไรแค่ค่ายาเท่านั้น” เขาหันไปมองเฝิงสี่ “เจ้าเองก็อย่าคิดเปรียบเทียบเลย นางไร้ที่พึ่งพิง ใช้ชีวิตยากลำบาก ล้วนเป็นชาวเมืองเดียวกัน พวกเราช่วยได้ก็ช่วยกันหน่อย”
ตามธรรมเนียมเมืองอู๋ถง ค่าตรวจรักษาของหมอที่นั่งประจำร้านยาจะแบ่งสามส่วนเจ็ดส่วน หมอได้รับเจ็ดส่วน ร้านยาได้รับสามส่วน
“ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” เฝิงสี่ส่ายหน้าไปมา “แม่นางเจี่ยนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกสองคนก็ลำบากมากแล้ว หากเจ้ายังเก็บค่านั่งร้านกับนาง ข้ายังจะดูถูกเจ้าด้วยซ้ำ” ตั้งแต่สองปีก่อนที่นางช่วยเขาไว้จากสถานการณ์คับขัน เฝิงสี่ก็เลื่อมใสนางจากใจจริง
ร้านยาแห่งนี้ไม่ใหญ่โต หากมีหมอนั่งประจำร้านสองคนจริง ด้วยฝีมือของนาง เกรงว่าไม่ถึงครึ่งเดือนเฝิงสี่คงต้องกินลมแทนข้าวแล้วล่ะ ฟังคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงยิ้ม “ขอบคุณพี่หลี่” แต่นางปฏิเสธ “ร่างกายข้าท่านเองก็รู้ เคี่ยวเออเจียวแต่ละครั้งยังต้องพักผ่อนอย่างน้อยครึ่งเดือนเรี่ยวแรงถึงจะกลับมา แล้วจะนั่งตรวจโรคที่ร้านยาไหวได้อย่างไร”
หลงจู๊หลี่กับเฝิงสี่มองร่างแบบบางของเจินสือเหนียงที่แค่ลมพัดก็ปลิวได้ ก่อนจะพากันส่ายหน้า
“อะแฮ่ม…” เฝิงสี่กระแอมสองครั้งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “แม่นางเจี่ยนนั่งตรวจโรคที่นี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไว้วันใดข้าเจอคนไข้รายใหญ่จะแนะนำท่านไปตรวจรักษาแน่นอน หากแม่นางเจี่ยนได้ไปตรวจโรคให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูตระกูลใหญ่ แค่เงินที่ได้จากการตกรางวัลก็มากกว่าเงินจากการนั่งตรวจโรคในร้านทั้งเดือนแล้ว!”
คำพูดนี้ของเฝิงสี่ไม่เกินจริงเลย บางครั้งเวลาบรรดาฮูหยินกับคุณหนูตระกูลใหญ่มีโรคสตรีที่ยากจะเอ่ยปาก เขาซึ่งเป็นบุรุษย่อมไม่เหมาะจะไปตรวจรักษา ที่สำคัญคือเฝิงสี่อยากแนะนำตระกูลดีๆ ให้เจินสือเหนียงจากใจจริง แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่า แต่หากพิจารณาให้ดี เจินสือเหนียงนับเป็นคนงามที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง หากนายท่านตระกูลใหญ่คนใดพึงใจนางเข้า แม้ต้องเป็นอนุก็ยังดีกว่าใช้ชีวิตลำบากลำบนอย่างทุกวันนี้
หากโชคดีได้แต่งเป็นภรรยาของบุรุษที่เป็นม่าย พวกนางแม่ลูกย่อมลืมตาอ้าปากได้ ปีก่อนเฝิงสี่ก็แนะนำนางไปตรวจโรคให้คุณหนูในจวนแห่งหนึ่ง ฮูหยินตระกูลนั้นตกรางวัลทีเป็นเงินตั้งสิบตำลึง
กระนั้นเจินสือเหนียงรู้ว่าเรื่องแบบนี้ล้วนขึ้นอยู่กับโชค ฟังคำพูดของเขาแล้ว นางไม่ตระหนักว่าเฝิงสี่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจึงพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาเฝิงมาก”
ระหว่างที่พูดได้ยินเสียงประตูร้านยาถูกเปิดออก เสียงกังวานใสเอ่ยถามว่า “หลงจู๊ ที่นี่มีเออเจียวสกุลเจี่ยนขายหรือไม่”
ได้ยินคนถามหายาที่นางทำเอง เจินสือเหนียงเงยหน้ามองด้วยความสงสัยและสูดหายใจโดยไม่รู้ตัว
ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด ไม่โดดเด่นอะไร ที่ทำให้เจินสือเหนียงตะลึงคือบุรุษข้างหลังที่แลดูสง่าน่าเกรงขามต่างหาก
ชาติก่อนนางเคยเห็นดาราและคนดัง แต่เพิ่งจะตอนนี้เองที่นางเข้าใจคำว่าเหนือชั้นอย่างไม่มีใครเทียบติดอย่างถ่องแท้ เส้นผมของเขาดำเหมือนหมึก เครื่องหน้าคมเข้มชัดเจน ริมฝีปากบางชุ่มชื้น ดวงตารียาว แววตากระจ่างใสเหมือนดวงดาวกลางท้องฟ้ายามราตรี ทำให้คนเห็นแล้วมิอาจละสายตาจริงๆ
ของสวยๆ งามๆ มองแล้วย่อมเจริญตาเจริญใจ แถมผู้ชายคนนี้ยังดูเย็นชาและเท่ชะมัด เป็นสไตล์ที่นางชอบพอดี เจินสือเหนียงมองตาค้างโดยไม่รู้ตัว
ด้วยรู้สึกว่าถูกจ้อง ชายหนุ่มจึงหันมามองนาง
ดวงตาสองคู่สบประสานกัน เจินสือเหนียงหัวใจเต้นแรง รีบก้มหน้าลงทันที ชายผู้นั้นแววตาไหวระริก นิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด
“ใช่แล้วขอรับ เออเจียวสกุลเจี่ยนมีร้านผู้น้อยจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว!” แม้ชายผู้นั้นจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่หลี่ฉีที่เห็นคนมามากมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาทิ้งเจินสือเหนียงและปรี่เข้าไปต้อนรับอย่างพินอบพิเทา
“เอามาสิบชั่ง” เด็กหนุ่มที่เป็นบ่าวร้องบอก
“เอ่อ…” หลงจู๊หลี่ลังเล เหลือบมองบุรุษด้านหลังเด็กหนุ่มอย่างเก้อๆ “ลูกค้ามาผิดจังหวะ เออเจียวสกุลเจี่ยนเพิ่งจะขายหมดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หากลูกค้าต้องการซื้อคงต้องรอถึงเดือนหน้า”
“เดือนหน้า?” คิดว่าหลงจู๊จงใจหาข้ออ้าง บ่าวผู้นั้นจึงเลิกคิ้ว “วันนี้เพิ่งจะวันที่ยี่สิบ ทำไมถึงบอกปัดไปถึงเดือนหน้าล่ะ” เห็นหลี่ฉีทำท่าจะเอ่ยปากเขาก็ชิงพูดต่อ “เจ้าอย่าหวังกำไรผิดทาง รู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าเป็นใคร” เขาหันไปชี้บุรุษด้านหลัง “นายท่านของข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่เพิ่งชนะสงครามกลับมา!”
เขาหยุดพูดและถลึงตาจ้องหลี่ฉี “หากใช้เออเจียวของเจ้าแล้วติดใจย่อมมีรางวัลให้แน่นอน!”
บุรุษผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเสิ่นจงชิ่งที่เพิ่งชนะศึกกลับมา ทั้งยังเป็นสามีที่ไม่ได้พบหน้ากันมาห้าปีของเจินสือเหนียง วันนี้ออกมาทำธุระข้างนอกและถือโอกาสแวะซื้อเออเจียวกลับไปให้อนุคนที่ห้าฉู่ซินอี๋
“หรงเซิง อย่าเสียมารยาท!” เห็นพูดได้ไม่กี่คำ หรงเซิงก็ยกเอาชื่อเสียงของเขาออกมาข่มผู้อื่น ทำท่าเหมือนจะใช้อำนาจรังแกผู้น้อย เสิ่นจงชิ่งจึงเอ่ยปากห้ามเขา แม้เสียงไม่ดัง แต่กลับเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม หรงเซิงไม่กล้าพูดมากอีก หลบไปยืนด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม
แม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว?!
หลี่ฉีตกตะลึง จากนั้นสองตาเป็นประกาย “ท่านคือแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่ส่งมอบเชลยศึกที่ประตูอู่เหมิน ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วต้าโจวหรือขอรับ” เขาค้อมกายคำนับเสิ่นจงชิ่งอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัยด้วย เชิญท่านแม่ทัพนั่งก่อนขอรับ” หลี่ฉีหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์ในร้านที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง “รีบยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ ชงชาต้าหงเผาที่ฟู่ไป่วั่นเพิ่งส่งมาให้!”
“เจ้าของร้านเกรงใจแล้ว” เสิ่นจงชิ่งยืนนิ่งไม่ขยับ พูดด้วยสีหน้าสุภาพว่า “ได้ยินมาว่าเออเจียวสกุลเจี่ยนของร้านท่านคุณภาพดีมาก เจ้าของร้านแบ่งออกมาหน่อยได้หรือไม่” เขาเองก็คิดว่าคำพูดหลี่ฉีที่บอกว่าไม่มีของนั้นเป็นคำโกหกเช่นกัน
ยาที่ขายดีขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปหรอก ต่อให้ของหมดจริง ไม่กี่วันก็น่าจะสั่งเข้ามาเพิ่มได้ จะผัดไปถึงเดือนหน้าได้อย่างไร
หน้าผากของหลี่ฉีมีเหงื่อซึม “ผู้น้อยไม่ได้โกหกท่านแม่ทัพจริงๆ ขอรับ” เขากลืนน้ำลาย “เออเจียวสกุลเจี่ยนนี้เป็นฝีมือของท่านหมอเจี่ยนผู้โด่งดังของเมืองอู๋ถง ใต้เท้าไม่ทราบว่าร่างกายของท่านหมอเจี่ยนอ่อนแอ ออกแรงมากไม่ได้ แต่ละเดือนอย่างมากก็ผลิตได้แค่เจ็ดแปดสิบชั่งเท่านั้น ส่งมาไม่กี่วันก็ขายหมดแล้ว หากจะซื้อก็ต้องรอ หรือหากใต้เท้าต้องการก็ทิ้งที่อยู่ไว้เถิดขอรับ รอไว้เดือนหน้าสินค้ามาเมื่อไร ผู้น้อยจะส่งไปให้ถึงจวนด้วยตนเองทันที” พูดจบหลี่ฉีก็มองเสิ่นจงชิ่งอย่างกระตือรือร้น
หากได้ติดต่อกับแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วผู้นี้และได้ขายยาให้ทางกองทัพ เงินทองย่อมไหลมาเทมา!
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เห็นท่าทีเขาไม่เหมือนโกหก เสิ่นจงชิ่งจึงพยักหน้าอย่างผิดหวัง
ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินฉู่ซินอี๋พูดถึง เห็นว่าเป็นทางผ่านจึงแวะมาดู ใช่ว่าจำต้องซื้อให้ได้ ครั้นเห็นในร้านไม่มีของก็ไม่อาลัย หมุนตัวเดินออกไปทันที
เห็นเขาหันหลังจากไป หลี่ฉีผิดหวังอย่างหนัก จู่ๆ พลันคิดได้ว่าเจินสือเหนียงอยู่ในร้านยานี้เอง จึงร้องเรียกเสิ่นจงชิ่งไว้ “ใช่แล้ว แม่ทัพเสิ่น ท่านหมอเจี่ยน…” เขาตะโกนพลางหันไปมอง แต่ไหนเลยจะเห็นเงาของเจินสือเหนียง
หลี่ฉีตกใจ คำพูดท่อนหลังติดคาอยู่ในลำคอขณะตะลึงมองเสิ่นจงชิ่งที่ค่อยๆ หันกลับมา
“มีอะไรหรือ” เสิ่นจงชิ่งมองตามสายตาเขาไปยังเฝิงสี่ที่เป็นหมอประจำอยู่ที่นี่
“ผู้น้อย…ผู้น้อยอยากจะบอกว่าท่านหมอเจี่ยนอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมือง ท่านแม่ทัพอยากให้ผู้น้อยพาไปพบหรือไม่ เผื่อว่ายังมีเออเจียวเหลืออยู่ ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าหมอเจี่ยนท่านนี้วิชาแพทย์ล้ำเลิศ เชี่ยวชาญรักษาโรคที่หายยาก” หลี่ฉีต่อคำพูดที่ค้างไว้อย่างตกใจไม่หาย สายตากวาดมองไปทั่วพลางคิดในใจ ค่าเออเจียวเดือนนี้ยังไม่ได้คิดเลย แค่ครู่เดียวเท่านั้น นางหายไปไหนเสียแล้ว คิดถึงความงามของเจินสือเหนียงแล้ว เขาแอบหวังว่านางจะสามารถใช้โอกาสนี้เกี่ยวดองกับแม่ทัพใหญ่ซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ น้ำเสียงยามเอ่ยถึงนางจึงยกยอปอปั้นโดยไม่รู้ตัว
ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มีอนุถึงห้าคน แต่ละคนสวยไม่แพ้กัน เห็นได้ว่าเป็นคนนิยมชมชอบคนงาม ด้วยรูปโฉมของหมอเจี่ยน เขาไม่พึงใจสิแปลก!
เสิ่นจงชิ่งมองตำแหน่งที่เจินสือเหนียงนั่งอยู่เมื่อครู่นี้อย่างใช้ความคิดและส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า” เขาก้าวออกจากร้านยา จู่ๆ ก็ชะงัก อุทานว่า “ข้านึกออกแล้ว!”
“นายท่านนึกอะไรได้ขอรับ” หรงเซิงถามอย่างงุนงง
“คนป่วยเมื่อครู่นี้!” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางสืบเท้าออกไปข้างนอก
เขาไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงมาขายยา คิดว่านางเป็นคนป่วยที่มาหาหมอ ตอนนี้เขานึกออกแล้ว มิน่าพอเข้าไปในร้านเขาถึงรู้สึกคุ้นตา ดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาที่ถูกเขาทอดทิ้งให้อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษเมื่อห้าปีก่อน ดวงตาสงบนิ่งในคืนนั้นประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อครู่ตอนเขาสบตากับนางถึงได้ตะลึงงัน
ห้าปีแม้ไม่นับว่ายาวนาน แต่จากเด็กสาวไม่ประสีประสาอายุสิบสามกลายเป็นหญิงสาววัยสิบแปดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ใหญ่ อีกทั้งวิญญาณในร่างยังเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงของเจินสือเหนียงนับว่าไม่น้อยเลย อีกทั้งตอนนี้นางอยู่ในชุดเก่าๆ ไม่ได้สวมเสื้อผ้างดงามหรูหราเช่นเมื่อก่อน แวบแรกที่เห็น เสิ่นจงชิ่งจำนางไม่ได้ย่อมไม่แปลก
จำได้รางๆ ว่านางฉวยโอกาสตอนที่เขาคุยกับหลี่ฉีแอบหลบออกไปทางด้านข้างเงียบๆ เสิ่นจงชิ่งรีบวิ่งตามออกไปข้างนอกทันที
บนท้องถนนว่างเปล่า ไหนเลยจะเห็นเงาของนาง
นางเป็นอะไร ป่วยเป็นโรคอะไร เสิ่นจงชิ่งขมวดคิ้วมองท้องถนนอันว่างเปล่าพลางนึกสงสัย
จู่ๆ เขาก็หมุนตัวก้าวฉับๆ เข้าไปในร้านขายยาอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพจะไปไหนขอรับ” หรงเซิงเดินตามไปมาอย่างงุนงง
เจินสือเหนียงโผล่ออกมาจากหลังเสาไม่ห่างออกไป มองแผ่นหลังของเสิ่นจงชิ่งที่หายลับเข้าไปในร้านขายยาแล้วปล่อยลมหายใจยาวๆ
เมื่อกี้น่าขายหน้าชะมัด!
สองชาตินี้นางไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนมาก่อน วันนี้พอจะเรียกได้ว่าชอบตั้งแต่แรกเห็น คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นสามีปากร้ายที่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ห่วยจนไม่รู้จะห่วยอย่างไรของนาง!
คืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน เขายืนอยู่บนเฉลียงทางเดินมืดสลัว ทั้งยังมีม่านลูกปัดบังอยู่ นางจึงเห็นหน้าเขาไม่ชัด คิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ มิน่าเจ้าของร่างคนเดิมถึงได้จะเป็นจะตายเพราะเขา พอคิดว่าถ้าหรงเซิงแจ้งฐานะเขาช้ากว่านี้หน่อย นางเกือบจะเข้าไปทำความรู้จักและให้เขาตามไปเอาเออเจียวที่บ้านแล้ว เจินสือเหนียงก็อยากขุดหลุมฝังตนเองเหลือเกิน
เจินสือเหนียงมุ่งหน้าไปทางตะวันออกพลางขมวดคิ้วมุ่น คิดในใจว่า เมื่อกี้เขารีบร้อนตามออกมา คิดจะทำอะไรนะ จำนางได้อย่างนั้นหรือ
เขาไม่เหมือนกับนาง เขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำและไม่ได้เปลี่ยนวิญญาณ ต่อให้ไม่เจอกันห้าปี จำไม่ได้ในแวบแรกที่เห็น แต่หากย้อนคิดดูก็น่าจะนึกออก
พอบังเกิดความคิดนี้ เจินสือเหนียงร้องในใจว่าแย่แล้ว ลูบกระเป๋าเห็นว่ายังมีเงินอยู่หลายพวงก็รีบจ้างรถม้ากลับบ้านทันที