ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8

บทที่ 2

 เหวินเกอ อู่เกอเล่นหมากห้าเม็ดอยู่หน้าประตู อู่เกอเห็นตนเองกำลังจะแพ้ เงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงลงจากรถม้าก็ใช้เท้าขยี้กระดานหมาก “ท่านแม่กลับมาแล้ว ข้าไม่เล่นแล้ว!” จากนั้นวิ่งไปหาเจินสือเหนียงทันที “ท่านแม่ ท่านแม่!”

“เจ้าขี้โกง!” ไม่ง่ายเลยกว่าจะชนะได้สักตา คิดไม่ถึงว่ากระดานหมากจะถูกเจี่ยนอู่ทำลาย เหวินเกอไม่ยอม กระโจนเข้าไปลากตัวอู่เกอกลับมา “ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องแพ้ได้ เจ้ากลับมาเล่นหมากตานี้กับข้าให้จบ!”

“ใครว่าข้าขี้โกง!” อู่เกอหน้าแดง “ข้าไปรับท่านแม่ต่างหาก!”

“แพ้แล้วทำลายกระดานหมาก เจ้าขี้โกง!” เหวินเกอคว้าตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

อู่เกอเขินอายจนกลายเป็นโทสะ หันกลับไปสู้กับเหวินเกอ

“เหวินเกอ อู่เกอหยุดก่อน ระวังจะบาดเจ็บเข้า” แม่นมที่เฝ้าอยู่ด้านข้างรีบเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน

แม้อายุจะแค่สี่ขวบกว่า แต่พอเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ทะเลาะกันแล้วไม่ต่างจากลูกเสือสองตัว แม่นมหรือจะแยกพวกเขาออกจากกันได้

เด็กสองคนนี้ทะเลาะกันได้ทุกวัน

เห็นพริบตาเดียวลูกสองคนก็ทะเลาะกันอีกแล้ว เจินสือเหนียงถอนหายใจ หันกลับไปจ่ายค่ารถและก้าวเข้าบ้าน “เหวินเกอ อู่เกอปล่อยมือ!” แม้สุ้มเสียงของนางไม่ดัง แต่สีหน้าเคร่งขรึมมาก

เหวินเกอ อู่เกอปล่อยมือทั้งคู่ ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ จ้องหน้ากันเหมือนไก่ชน

แม่นมถือโอกาสนี้เข้าไปจัดเสื้อผ้าให้ทั้งสอง ปากบ่นพึมพำว่า “แค่ก้อนหินไม่กี่ก้อน ชนะหรือแพ้จะกินแทนข้าวได้หรือ” เงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงตีหน้าบึ้งจึงรีบหุบปาก

“เรื่องอะไรกัน” เจินสือเหนียงถาม

“เขาไม่มีเหตุผล!”

“เขาขี้โกง!”

เหวินเกอ อู่เกอพูดขึ้นพร้อมกัน

เจินสือเหนียงไม่พูดอะไร เอาแต่มองทั้งสองเงียบๆ จนกระทั่งทั้งสองหยุดและเงยหน้ามองนาง จึงเอ่ยปากว่า “เหวินเกอพูดก่อน”

“พวกเราเล่นหมากห้าเม็ด เขาแพ้แล้วทำลายกระดานหมาก!” เจี่ยนเหวินชี้เจี่ยนอู่อย่างดุดัน “ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องแพ้ได้ ไม่ใช่แพ้แล้วขี้โกง! เจ้านั่นแหละที่ผิด!”

เจินสือเหนียงมองเจี่ยนอู่

“ข้าแค่ไปรับท่านแม่!” เจี่ยนอู่เถียง

เจินสือเหนียงก้มหน้ามองกระดานหมากที่ถูกปัดทำลายไปกว่าครึ่งและพอเข้าใจ สายตาหยุดอยู่ที่เจี่ยนอู่ “เห็นแม่กลับมา อู่เอ๋อร์รู้จักไปรับ นี่คือความกตัญญู แม่ดีใจมาก” เจี่ยนอู่เชิดคางใส่เจี่ยนเหวินอย่างได้ใจ แต่แล้วเจินสือเหนียงกลับพูดต่อว่า “อู่เอ๋อร์อยากมารับแม่ แล้วทำไมต้องทำลายกระดานหมากด้วย”

“ข้า…” พอถูกจับได้ เจี่ยนอู่ก้มหน้าไม่พูดจา

“เจี่ยนอู่!” เจินสือเหนียงเรียกเขาด้วยชื่อและแซ่เต็มยศ

“ข้า…ข้าผิดไปแล้ว” เจี่ยนอู่อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะรีบกล่าวยอมรับผิดออกมา

“รู้หรือยังว่าตนเองผิดตรงไหน” เจินสือเหนียงยังคงตีหน้าบึ้ง

“ข้าไม่ควรกลัวแพ้และหาข้ออ้างไม่เล่นต่อ!” เจี่ยนอู่งึมงำเสียงค่อย

“อืม กล้ารับผิด อู่เกอเป็นเด็กดี” เจินสือเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่แล้วสีหน้ากลับขรึมลง “ผิดแล้วต้องถูกทำโทษ แม่ให้เจ้าคัดคำนี้สามสิบรอบแล้วกัน!”

“ท่านแม่…” ใบหน้าเล็กๆ ของเจี่ยนอู่งอง้ำทันที

เจินสือเหนียงไม่สนใจเขา หันไปหาเจี่ยนเหวิน “เจ้าเป็นพี่ชาย รู้ว่าน้องทำผิดก็ควรตักเตือนดีๆ ทำไมไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว”

“ท่านแม่บอกว่าข้าโตกว่าแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้ เจี่ยนอู่เอาจริงขึ้นมาแรงเยอะกว่าเขาอีก เรื่องอะไรเขาต้องยอมด้วย

“หืม?” เจินสือเหนียงขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย

“ข้ารู้แล้ว” เจี่ยนเหวินตอบเสียงเจื่อน

“ทำโทษให้เจ้าคัดหนังสือเป็นเพื่อนน้องสิบรอบแล้วกัน”

พอได้ยินว่าเจี่ยนเหวินถูกทำโทษด้วย เจี่ยนอู่ดีใจทันที ใช้มือดึงปากทำหน้าทะเล้นล้อเลียนเจี่ยนเหวิน

ชิวจวี๋ผ่าฟืนอยู่ในลานบ้าน ได้ยินเสียงเจินสือเหนียงก็ทิ้งงานในมือและวิ่งออกมา “ทำไมวันนี้คุณหนูกลับเร็วจัง” เห็นสองมือของนางว่างเปล่าก็อุทาน “ท่านไม่ได้ซื้อหนังลามาด้วยหรือ เออเจียวขายไม่ดี ไม่ได้เงินหรือเจ้าคะ”

หากได้รับค่าสินค้า คุณหนูของนางไม่มีทางลืมเรื่องพวกนี้แน่

พอชิวจวี๋เตือน เจินสือเหนียงจึงนึกเรื่องที่นางเจอเสิ่นจงชิ่งในร้านยาขึ้นมาได้ อุทานทันที “เกือบลืมเรื่องสำคัญไปแน่ะ” นางหันไปสั่งแม่นมกับชิวจวี๋ “พวกเจ้าพาเหวินเกอ อู่เกอไปบ้านสี่เชวี่ยก่อน” นางหันมากำชับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ว่า “ทำตัวเป็นเด็กดีคัดหนังสือที่แม่สั่งอยู่ที่บ้านของอาสี่เชวี่ยให้เสร็จ หากไม่มีคำสั่งของแม่ ห้ามกลับมา!” น้ำเสียงของนางเข้มงวดอย่างเห็นได้น้อยครั้ง

“แต่บ่าวยังผ่าฟืนไม่เสร็จเลย” ชิวจวี๋มองเจินสือเหนียงอย่างงุนงง

“ตอนบ่ายค่อยมาผ่าต่อ” กล่าวจบนางก็เดินเข้าเรือนไป

ไม่บ่อยที่จะเห็นเจินสือเหนียงขึงขังจริงจังเช่นนี้ แม่นมกับชิวจวี๋มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ดึงตัวเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปบ้านของสี่เชวี่ยทันที

หลังยุ่งง่วนอยู่พักหนึ่ง ข้าวของของเด็กในบ้านก็ถูกเจินสือเหนียงเก็บไปจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

นางนั่งหอบหายใจอยู่บนเก้าอี้ได้สักพักก็เงยหน้ามองดวงหน้างามผุดผาดของตนเองในกระจก พลันตกใจและคิดในใจว่า ข้าแต่งตัวแบบนี้ เขามองปราดเดียวต้องจำได้แน่ว่าข้าคือผู้หญิงที่เขาเจอในร้านยา! อีกทั้งหลี่ฉีกับเฝิงสี่ต่างรู้ว่าข้ามีลูกชายสองคน! ไม่รู้ว่าทั้งสองได้พูดคุยกับเขาหรือไม่!

คิดได้เช่นนี้ เจินสือเหนียงจึงลุกพรวดไปรื้อของในตู้ออกมาแต่งตัว นางต้องแปลงโฉมให้เขาคิดว่าเขาจำคนผิดในร้านยา!

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ขณะกำลังยุ่ง เสียงร้อนรนของสี่เชวี่ยดังมาจากด้านนอก พอได้ยินชิวจวี๋บอกว่าเจินสือเหนียงกลับมาถึงก็ไล่พวกนางไปที่บ้านของตนเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สี่เชวี่ยที่พักผ่อนอยู่ที่บ้านจึงรีบรุดมาหา เข้ามาในเรือนแล้วอดตกใจไม่ได้ “สวรรค์ คุณหนู ท่านทำอะไรของท่าน!”

“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงกำลังทาปาก พอได้ยินเสียงร้องของสี่เชวี่ยมือก็สั่น ชาดจึงเลยมุมปากออกมา นางรีบทำท่าบอกให้อีกฝ่ายเงียบ “เมื่อครู่ข้าเจอแม่ทัพเสิ่นที่ร้านยา”

“ใครเจ้าคะแม่ทัพเสิ่น” สี่เชวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตาโต “คุณหนูบอกว่าท่านแม่ทัพมาหรือเจ้าคะ” นางร้องเสียงแหลมทันใด “ท่านแม่ทัพจำท่านได้? รู้ว่าท่านไปขายยา? เขารู้ว่าท่านไปขายยาที่ร้านยาหรือเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยหน้าซีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ขืนเรื่องแพร่ออกไปว่าภรรยาเอกของแม่ทัพใหญ่แอบไปขายยา ฉีกหน้าของท่านแม่ทัพย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดีไม่ดีอาจตายได้! ตอนแรกหากไม่เพราะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ให้ตายนางก็ไม่ยอมให้คุณหนูของนางไปเป็นหมอและขายยาแน่นอน

ในต้าโจว ช่างหลอมเหล็กและหมอชาวบ้านล้วนเป็นอาชีพชั้นต่ำ อย่าว่าแต่ครองคู่กับแม่ทัพใหญ่เลย แม้แต่กับตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปยังแต่งงานกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

เจินสือเหนียงกลับไม่กลัวเรื่องนี้ ที่นางกังวลคือเสิ่นจงชิ่งจะรู้เรื่องเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และชิงตัวพวกเขากลับไป นางเห็นสี่เชวี่ยตื่นตกใจเช่นนี้จึงยิ้ม “ข้าถึงได้แปลงโฉมอยู่นี่ไง หากเขามาหาที่บ้านจริง พวกเราก็ยืนกรานไม่ยอมรับ!” น้ำเสียงนางเจือแววซุกซนเหมือนเด็กๆ

หัวใจของสี่เชวี่ยถึงค่อยสงบลง พอคิดอะไรได้นางก็ชี้เจินสือเหนียง “ต่อให้ต้องแปลงโฉม คุณหนู…คุณหนูก็ไม่จำเป็นต้องทำเยอะถึงเพียงนี้กระมัง”

เจินสือเหนียงลูบหน้า “ทำไมหรือ”

กำลังพูดเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังมาจากลานบ้าน “มีคนอยู่หรือไม่”

พวกเขามาแล้ว!

เจินสือเหนียงทำท่าให้อีกฝ่ายเงียบ จากนั้นโบกมือเป็นเชิงให้สี่เชวี่ยรีบออกไปรับหน้า

“ท่าน…แม่ทัพ…” สี่เชวี่ยผลักประตูออกไป เห็นเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงเดินตามกันมาถึงหน้าประตู แม้จะรู้ข่าวจากเจินสือเหนียงก่อนแล้ว แต่เห็นพวกเขากะทันหัน สี่เชวี่ยยังอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ นานทีเดียวจึงนึกขึ้นได้และคุกเข่าลง “บ่าวคารวะท่านแม่ทัพ!”

เขาไม่ใช่ผีสักหน่อย ไฉนนางต้องตกใจถึงเพียงนี้ด้วย เห็นใบหน้าซีดขาวของสี่เชวี่ยแล้ว เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ นายหญิงใหญ่ล่ะ”

“คุณหนู…นายหญิงใหญ่อยู่ในห้องเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ และหลบไปด้านข้าง

เสิ่นจงชิ่งก้าวเข้าไปในเรือน

“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ” เจินสือเหนียงนั่งทำงานเย็บปักอยู่บนเก้าอี้และรู้สึกตรงหน้าดำมืด เงาสูงใหญ่ขวางหน้านางอยู่ นางเงยหน้าและเห็นเสิ่นจงชิ่งเข้ามาจึงรีบวางงานเย็บปักและลุกขึ้น นางไม่คำนับเขา แต่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ข้าภรรยาคารวะท่านแม่ทัพ”

แค่มองปราดเดียว ส่วนลึกในตาของเสิ่นจงชิ่งก็ทอแววรังเกียจ สตรีผู้นี้นับวันยิ่งเสื่อมราศี!

สี่เชวี่ยที่ตามเสิ่นจงชิ่งเข้ามาในห้องและมองตามสายตาเขาไปยังเจินสือเหนียงพลันอยากจะหาหลุมมุดลงไปเหลือเกิน

ตรงจอนผมของคุณหนูมีดอกพุดตานขนาดเท่าฝ่ามือทัดอยู่ ใบหน้าผัดแป้งหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากาก แบบนี้เรียกว่าผัดแป้งที่ไหน เรียกว่าฉาบกำแพงต่างหาก แค่นี้ยังพอทน ถึงอย่างไรการแต่งตัวสมัยนี้ผู้คนก็นิยมผัดแป้งทาชาดหนาๆ เพียงแต่หลายปีมานี้นางเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไม่แต่งเติมของคุณหนูเสียจนชิน พอเปลี่ยนไปกะทันหันจึงไม่ชินเท่านั้น

แต่ว่า…แต่ว่าคุณหนูของนางไม่ควรทาปากเล็กของตนเองออกมาแบบนั้นเลยจริงๆ ทั้งที่เป็นริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มที่งดงามน่ารัก คุณหนูของนางกลับทาชาดเลยออกไปนอกริมฝีปาก โดยเฉพาะมุมซ้ายที่มีหางเล็กๆ ที่เกิดเพราะตกใจเสียงร้องของนางเมื่อครู่และยังไม่ทันลบออก ดูแล้วเหมือนปากเปื้อนเลือดของปีศาจสาวตอนกลางคืน

ที่ทำให้สี่เชวี่ยอับอายมากที่สุดคือเสื้อผ้าต่วนสีแดงสดปักลายที่คุณหนูสวมอยู่ หากนางจำไม่ผิด เสื้อตัวนี้เป็นของเมื่อห้าปีก่อน แม้รูปร่างของเจินสือเหนียงจะผอมบางกว่าห้าปีที่แล้ว แต่ส่วนที่ควรอวบอิ่มกลับสมบูรณ์ยิ่ง แถมนางยังสูงขึ้นไม่น้อย ลองคิดดูสิว่าเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวชุดนี้ใส่แล้วจะเป็นอย่างไร

ทรวงอกรัดติ้ว ใต้อกลงไปกลับหลวมโพรก ดูเหมือนถังน้ำใบเล็ก แถมเสื้อที่ควรปิดมาถึงสะโพกตอนนี้กลับปิดได้แค่หน้าท้องเท่านั้น

สี่เชวี่ยเกรงว่าหากคุณหนูของนางยกแขนขึ้น เอี๊ยมบังทรงที่มีรอยปะชุนจะโผล่ออกมาให้เห็น โชคดีที่คุณหนูของนางฉลาด ข้างในจึงสวมเสื้อเนื้อหยาบสีชมพูไว้อีกชั้น ทำให้บั้นเอวไม่ถึงกับเปิดเปลือยเป็นอาหารตาให้เสิ่นจงชิ่ง

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เสื้อเล็กทับเสื้อใหญ่ แลดูพะรุงพะรังก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่านางไร้ราศี

“ท่านแม่ทัพมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ” เห็นเสิ่นจงชิ่งมองนางพลางนิ่วหน้า เจินสือเหนียงหัวเราะในใจ ทว่าใบหน้ากลับฉายแววตื่นเต้นและนึกไม่ถึง หันไปสั่งสี่เชวี่ยที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ ว่า “รีบยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ”

ยกน้ำชา? สี่เชวี่ยผงะ

น้ำชาเป็นของคนรวย สองปีมาแล้วที่นางไม่ได้เห็นว่าใบชาหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้จะให้นางไปเอาชาที่ไหนมาชงเล่า

ขณะลังเลก็ได้ยินเสิ่นจงชิ่งปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ข้าแค่มีธุระผ่านมาแถวนี้ เลยแวะเข้ามาดูหน่อย” ให้เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่หมดราศีจนมิอาจจะหมดได้มากไปกว่านี้อีกแม้เพียงเค่อเดียว เขาก็รู้สึกยากจะทนไหว เห็นทีเมื่อครู่ตอนอยู่ในร้านยาเขาคงจำคนผิดจริงๆ ก็ว่าแล้วว่าผู้หญิงร้ายกาจอย่างนางไม่มีทางมีแววตาสงบนิ่งแบบนั้นหรอก พอได้ยินว่าหญิงผู้นั้นมีอาการเลือดพร่อง เขายังอุตส่าห์นึกเป็นห่วง!

เมื่อครู่พอไม่พบเจินสือเหนียงที่หน้าร้านยา เสิ่นจงชิ่งกลับไปหาเฝิงสี่หมอประจำร้านและถามว่า “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นโรคอะไร”

เฝิงสี่จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือในต้าโจว เขาไม่กล้าตอบส่งเดช คิดได้ว่าเจินสือเหนียงมีอาการเลือดพร่องอยู่จริง จึงตอบไปตามนั้น

เวลาห้าปีได้เปลี่ยนเขาจากเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่หุนหันพลันแล่นให้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่สุขุมนุ่มลึก ไม่เปิดเผยความรู้สึกง่ายๆ แม้จะเกลียดแค้นเจินสือเหนียง แต่ทอดทิ้งนางให้อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษห้าปีโดยไม่ถามไถ่ข่าวคราว เขาเองก็มีส่วนผิด โดยเฉพาะตอนอยู่ในร้านยา ยามสบกับดวงตากระจ่างบริสุทธิ์ที่เหมือนเห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่งและใบหน้าขาวซีดราวกระดาษของนาง เขาบังเกิดความรู้สึกสงสารอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นพอได้ยินว่านางเป็นโรคเลือดพร่อง เขาจึงรุดมาที่นี่ทันที

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงการเข้าใจผิด!

เขาจำคนผิดเสียแล้ว นางยังคงเป็นผู้หญิงหยาบคายร้ายกาจ ดูท่าเวลาห้าปีไม่ได้ทำให้นางเปลี่ยนไปเลย

ไม่ ไม่ใช่ไม่เปลี่ยน แต่เปลี่ยนเป็นแย่กว่าเดิม!

เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าเฝิงสี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่นางขายยา ที่เขามาหานางเป็นเพราะความห่วงใยจากส่วนลึกในใจ นางคิดแต่ว่าเขาจะมาคาดคั้นว่าทำไมนางถึงไปขายยา บัดนี้เมื่อเห็นเขาหันหลังจากไปจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก ใบหน้าฉายแววเสียดายและเอ่ยรั้งเขา “ท่านแม่ทัพอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว มิสู้กินอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยกลับ ข้าภรรยาจะเข้าครัวทำให้ท่านเอง” น้ำเสียงประจบแฝงแววเอาอกเอาใจ

ผู้ชายล้วนกลัวผู้หญิงที่โผเข้าใส่

ตามคาด เดิมทีเสิ่นจงชิ่งยังสงสัยและไม่แน่ใจ ฝีเท้าจึงลังเลเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำนี้เขาก็เร่งฝีเท้าทันทีราวกับมีผีไล่ตามอยู่ข้างหลัง

เจินสือเหนียงตามไปส่งที่หน้าประตูจนกระทั่งเงาร่างของสองนายบ่าวหายลับไปแล้ว นางถึงหัวเราะออกมา

“คุณหนู!” สี่เชวี่ยหน้าแดงก่ำ

นานทีเดียวกว่าเจินสือเหนียงจะหยุดหัวเราะได้ “ทำไมหรือ”

“ท่านไม่ควรแต่งกายแบบนั้นจนทำให้ท่านแม่ทัพตกใจหนีไป!” สี่เชวี่ยตำหนิ

แม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่เป็นถึงขุนนางขั้นสอง ทั้งยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้อุตส่าห์มาที่นี่ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเหยียบย่างมาเลย โอกาสที่หายากเช่นนี้คุณหนูของนางควรคว้าไว้ถึงจะถูก

“หรือเจ้าอยากให้เขารู้เรื่องที่พวกเราขายยา” เจินสือเหนียงยิ้มมองสี่เชวี่ย

“แต่ว่า…” แต่ว่านางก็ไม่จำเป็นต้องทำลายภาพลักษณ์ตนเองขนาดนี้ ทำเอาท่านแม่ทัพตกใจจนจากไปนี่นา

“เจ้าจำไว้ ข้ากับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!” เจินสือเหนียงทำหน้าขรึม “เจ้าเลิกคิดประจบสอพลอเขาตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้ว”

สี่เชวี่ยเม้มปากแน่น

 

“เงินค่าเออเจียวเก็บมาแล้วหรือยังเจ้าคะ” หลังปรนนิบัติเจินสือเหนียงล้างหน้าใหม่เรียบร้อย สี่เชวี่ยจึงเอ่ยถามขึ้น

“ตายจริง…” เจินสือเหนียงตบหน้าผาก “ถูกเขาก่อกวนเข้า ทำเอาข้าลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย”

“ตอนบ่ายให้บ่าวไปเก็บเถอะเจ้าค่ะ” เห็นใบหน้าซีดขาวของเจินสือเหนียงแล้ว สี่เชวี่ยก็พูดอย่างปวดใจ “ยาต้มของท่านแม่หมดพอดี บ่าวต้องไปร้านยาอยู่แล้ว”

แม่สามีของสี่เชวี่ยปวดหัวเข่าเรื้อรังมานาน เดือนก่อนเริ่มกินยาตามสูตรของเจินสือเหนียงและรู้สึกดีขึ้น จึงไม่กล้ารั้งรอแม้แต่วันเดียว เร่งให้หลี่ฉางเหอไปซื้อยาแต่เช้า บังเอิญวันนี้หลี่ฉางเหอไปเมืองข้างเคียง

“ตอนบ่ายเจ้านั่งรถม้าไปแล้วกัน ระหว่างทางระวังตัวหน่อย” ด้วยรู้สึกว่าเหนื่อยมาตลอดช่วงเช้า ร่างกายก็รู้สึกเพลีย จึงพยักหน้าเห็นด้วย “อย่าลืมถามหลงจู๊หลี่ว่าแม่ทัพเสิ่นถามอะไรบ้าง”

“คุณหนูไม่พูด บ่าวก็ตั้งใจไปถามอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกนางนายบ่าว ละเลยไม่ได้

“อีกอย่าง” เจินสือเหนียงขบคิด “เจ้าบอกหลงจู๊หลี่ด้วยว่าอีกหน่อยหากมีคนมาสืบเรื่องข้า ให้บอกว่าไม่รู้อยู่ที่ไหน”

แม้นางจะใช้แซ่เจี่ยนมาตลอด แต่หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่าคนเคี่ยวเออเจียวสกุลเจี่ยนอาศัยอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่น สืบเสาะมาตามเงื่อนงำ ช้าเร็วเขาย่อมสืบรู้เรื่องที่นางขายยา นี่เป็นเรื่องเล็ก ที่นางกังวลที่สุดคือเขาจะรู้เรื่องของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ ชาวเมืองนี้ส่วนใหญ่ต่างรู้ว่านางเป็นแม่ม่ายที่มีลูกติดสองคน

สี่เชวี่ยเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ประมาทไม่ได้ จึงผงกหัวอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูวางใจได้ บ่าวรู้ว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ” เรื่องขู่ผู้อื่นเช่นนี้ สมัยก่อนตอนอยู่จวนเสนาบดีนางทำให้คุณหนูเป็นประจำ

 

พอออกจากวังกวนจวี เงาดำสายหนึ่งพุ่งข้ามหัวเขาไปข้างหน้า ทำเอาเสิ่นจงชิ่งตกใจสะดุ้ง รีบหลบทันใด

ที่นี่เป็นตำหนักในที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ใครกล้าปองร้ายเขาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เพ่งสายตามองไปกลับเห็นลูกหนังแปดหน้าที่ผูกแพรสีเอาไว้ ลูกหนังเฉียดหน้าเขาไปก่อนจะพุ่งไปยังแจกันกระเบื้องลายครามลวดลายทิวทัศน์

แย่ล่ะ! น้องสาวกำลังตั้งครรภ์ จะให้ตกใจไม่ได้ คิดได้ดังนี้เสิ่นจงชิ่งจึงกระโดดไปข้างหลัง ตีลังกากลางอากาศและคว้าลูกหนังแปดหน้าเอาไว้ ทำเอานางกำนัลที่เดินมาส่งเขาร้องอย่างตกใจ

“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” ขันทีที่วิ่งมาเก็บลูกหนังด้วยอาการหอบแฮกรีบคำนับเมื่อเห็นเสิ่นจงชิ่ง

“ของเจ้าหรือ” สายตาของเสิ่นจงชิ่งเลื่อนจากลูกหนังไปยังขันทีน้อย สีหน้าเยียบเย็นลงหลายส่วน “ไฉนจึงมาเล่นกันที่นี่!” น้องสาวเพิ่งจะมีข่าวดี ครรภ์ยังไม่มั่นคงนัก ทนรับการตกใจไม่ได้มากที่สุด แต่คนผู้นี้กลับมาเตะลูกหนังหน้าประตูตำหนักของน้องสาว เห็นได้ชัดว่าจงใจ!

ครั้นรู้สึกว่าบรรยากาศเยียบเย็นกะทันหัน ขันทีน้อยหน้าซีดเผือด “นี่…นี่เป็น…” เสิ่นจงชิ่งพี่น้องต่างเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ หาใช่บุคคลที่ขันทีตัวเล็กๆ อย่างเขาจะล่วงเกินได้

“ชักช้าอยู่นั่นแหละ แค่เก็บลูกหนังยังเนิ่นนานถึงเพียงนี้!” ขณะอึกอัก ดรุณีน้อยในชุดผ้าปักลายสีเหลืองขนห่านป่า รูปโฉมงดงามปรากฏตัวขึ้นที่ประตูวงจันทร์ไม่ไกลออกไป พอเห็นเสิ่นจงชิ่ง ดวงตาคู่งามก็เปล่งประกายวาววับ “พี่เสิ่น!” นางวิ่งเข้ามาหา

องค์หญิงหก?

เสิ่นจงชิ่งตกใจ รีบค้อมกายถวายคำนับ

แม่นางน้อยผู้นี้เป็นธิดาหัวแก้วหัวแหวนขององค์ฮ่องเต้ องค์หญิงหกหลี่เยียนผู้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยแววตาวาวระยับ “ไฉนพี่เสิ่นจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” นางนึกขึ้นได้ “ท่านมาเยี่ยมพระนางเสิ่นเฟย!”

“หมอหลวงตรวจพบว่าพระนางเสิ่นเฟยทรงพระครรภ์ กระหม่อมจึงรับพระบัญชามาแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจงชิ่งตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตามองตรงไปข้างหน้า

น้องสาวของเขาเสิ่นจงหรูอายุสิบสาม เข้าวังเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว แรกเริ่มเป็นเพียงไฉเหริน ผ่านไปหนึ่งปีได้เลื่อนขั้นเป็นสนมชั้นกุ้ยเหริน** เมื่อวานสำนักแพทย์หลวงตรวจพบว่านางตั้งครรภ์ ฝ่าบาทจึงแต่งตั้งนางเป็นชายาชั้นเฟย และอนุญาตให้พวกเขาแม่ลูกเข้าวังมาแสดงความยินดีเป็นกรณีพิเศษ

“อืม” หลี่เยียนพยักหน้า “เสิ่นกุ้ยเหรินเลื่อนตำแหน่งทีเดียวถึงหกขั้นกลายเป็นชายาชั้นเฟย เสด็จแม่บอกว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งต้าโจวมา พี่เสิ่นต้องฉลองให้เต็มที่แล้วล่ะ!” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยินดีไปกับเขาด้วยอย่างชัดเจน ทั้งยังเจือแววประจบเอาใจ

ลำดับศักดิ์ของสตรีในตำหนักในของต้าโจวแบ่งเป็นฮองเฮา กุ้ยเฟย เฟย กุ้ยผิน หรงหวา ผิน หวั่นอี๋ เหลียงย่วน กุ้ยเหริน ไฉเหริน เหม่ยเหริน ฉางไจ้ และเสวี่ยนซื่อ โดยทั่วไปนางในล้วนต้องไต่เต้าขึ้นมาทีละขั้นๆ บางคราหากได้ปรนนิบัติฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงพระเกษมสำราญ ได้เลื่อนตำแหน่งทีเดียวสองขั้นก็พบเห็นอยู่บ้าง แต่สาวงามในตำหนักในส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งสักหนึ่งขั้น เสิ่นเฟยเลื่อนจากฝ่ายในขั้นหกตำแหน่งกุ้ยเหรินขึ้นมาเป็นฝ่ายในขั้นสองตำแหน่งชายาเช่นนี้ นับว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

พอราชโองการประกาศออกมา ไม่เพียงตำหนักใน แม้แต่ราชสำนักก็เกิดคลื่นลูกใหญ่

ความจริงเสิ่นจงหรูหาได้งดงามเป็นที่หนึ่ง เสิ่นจงชิ่งจึงอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกับลาภยศที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ได้ สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม “กระหม่อมรับพระบัญชามาแสดงความยินดีกับพระนางเสิ่นเฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เงยหน้าเห็นใบหน้าขึงขังจริงจังไม่วอกแวกของเสิ่นจงชิ่ง หลี่เยียนรู้สึกผิดหวังยิ่ง นางกลอกตาและวางท่าองค์หญิง “แม่ทัพเสิ่นมาเตะลูกหนังเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ!” คำว่าพี่เสิ่นถูกเปลี่ยนเป็นแม่ทัพ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดื้อดึงไม่ยอมให้ปฏิเสธ

ขันทีน้อยข้างกายนางตัวสั่นเทิ้ม เป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์จะคลุกคลีกับขุนนางได้อย่างไร เรื่องนี้หากแพร่ออกไป…เขาเหลือบมองเสิ่นจงชิ่งอย่างกระวนกระวาย

“รับสั่งขององค์หญิงกระหม่อมมิกล้าขัดขืน” เสิ่นจงชิ่งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แต่แล้วกลับเอ่ยต่อว่า “แต่ฝ่าบาททรงรอคำตอบจากกระหม่อมอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

นี่หรือไม่กล้าขัดขืน!

ใบหน้าของหลี่เยียนหม่นลงทันใด นางกำลังจะพูด ขันทีคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาทกำลังรอแม่ทัพเสิ่นอยู่ที่ตำหนักไท่เหอพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เยียนแค่นเสียงหึและสะบัดหน้าจากไปทันที

จวบจนแผ่นหลังขององค์หญิงหกหลี่เยียนหายไปแล้ว เสิ่นจงชิ่งถึงลอบถอนหายใจ หันไปสั่งนางกำนัลข้างกายเสียงค่อยว่า “องค์หญิงหกเตะลูกหนังอยู่ในลานข้างๆ สั่งขันทีในวังกวนจวีให้เฝ้าระวังให้ดี อย่าให้ลูกหนังลอยเข้าไปในตำหนักสร้างความตื่นตกใจให้พระชายากับฮูหยินผู้เฒ่า” เขากับมารดาเข้าวังมาด้วยกัน เนื่องจากฮ่องเต้ทรงอนุญาต มารดาจึงได้ค้างคืนในวังหนึ่งคืน

นางกำนัลรับคำและหมุนตัวจากไปโดยเร็ว

 

กว่าจะออกจากตำหนักไท่เหอก็ล่วงเข้าปลายยามเซิน*แล้ว เห็นราชมนตรีเซียว**ยิ้มประสานมือให้เขา “ขอแสดงความยินดีกับพระมาตุลา***ด้วย”

แต่ก่อนเสิ่นจงหรูเป็นเพียงกุ้ยเหริน ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง บัดนี้เลื่อนขั้นเป็นชายาชั้นเฟย ทั้งยังตั้งครรภ์ เสิ่นจงชิ่งจึงกลายเป็นพระมาตุลาอย่างสมบูรณ์

ราชมนตรีเซียวผู้นี้นามว่าเซียวอวี้ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท และหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ เป็นขุนนางที่ปรึกษาในสำนักการศึกษาที่อ่อนวัยที่สุดของต้าโจว เขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบุ๋นที่รับตำแหน่งปีเดียวกับเสิ่นจงชิ่ง เรียกได้ว่าทั้งสองสอบผ่านมาด้วยกัน เป็นสหายที่ทั้งรักและเคารพกัน

แต่ไรมาเสิ่นจงชิ่งเกลียดพวกบัณฑิตเพราะพวกเขายึดติดกับทฤษฎี โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าตนสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่พูดถึงเรื่องทำสงครามไม่เป็น แต่ยังจงใจขัดขวาง มักจะยกเอาข้อกำหนดของบรรพบุรุษ คำสอนของนักปราชญ์ออกมาโต้แย้งเสมอ อยู่กับพวกนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง มีแต่อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่มิอาจนำมาปฏิบัติจริง

แต่เซียวอวี้ผู้นี้แตกต่างออกไป เขาฉลาดปราดเปรื่อง วาจาและความคิดเห็นอยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้รับมือกับศัตรู เขาสามารถละทิ้งความสูงส่งของบัณฑิต ไม่สนว่าจะด้วยอุบายหรือเล่ห์กล ขอเพียงเป็นประโยชน์ ขับไล่ศัตรูได้ย่อมเป็นกลยุทธ์ที่ดี จุดนี้ตรงกับความคิดของเสิ่นจงชิ่งอย่างยิ่ง ทุกครั้งก่อนออกรบเสิ่นจงชิ่งจะต้องไปพบเซียวอวี้เพื่อขอคำชี้แนะเรื่องกลยุทธ์ ด้วยเหตุนี้เอง แม้เซียวอวี้จะไม่เคยติดตามกองทัพไปออกรบ แต่เสิ่นจงชิ่งกลับเห็นอีกฝ่ายเป็นเสมือนกุนซือของตนเอง

เห็นเขาล้อเลียนตนเช่นนี้ เสิ่นจงชิ่งอดยิ้มขื่นไม่ได้ “ผู้อื่นพูดก็แล้วไปเถอะ แม้แต่พี่เซียวยังมาหยอกเย้าข้าด้วยหรือ”

ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย เซียวอวี้เก็บรอยยิ้มและมองเสิ่นจงชิ่งอย่างลึกซึ้ง “ฝ่าบาททรงยอมละทิ้งประเพณีเก่าๆ และเลือกใช้คนรุ่นใหม่เช่นพวกเราก็นับว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่พบเห็นได้ยากแล้ว เจ้าตระหนักในพระประสงค์ก็ดี อย่าทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเป็นอันขาด”

เสิ่นจงชิ่งอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าเซียวอวี้หมายความว่าอะไร

เรื่องที่เลือกใช้เขาอย่างไม่เกรงคำครหาเขาเข้าใจ แต่การเลื่อนตำแหน่งให้น้องสาวเขารวดเดียวหกขั้น นอกจากเป็นการผลักนางเข้าสู่สถานการณ์อันตรายแล้ว เสิ่นจงชิ่งคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องนี้ยังมีนัยใดแฝงอยู่อีก หากไม่ระวังแม้เพียงนิด กระทั่งลูกในท้องของน้องสาวก็อาจรักษาไว้ไม่อยู่!

แม้ในใจสงสัย แต่เขารู้ว่าหน้าประตูวังหาใช่สถานที่เหมาะสมที่จะพูดคุย จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่เซียวเข้าวังมาด้วยหรือ” ตอนอยู่ตำหนักไท่เหอเขาไม่เห็นเซียวอวี้

“วันนี้เป็นวันที่องค์รัชทายาททรงศึกษาเล่าเรียน ข้าจึงไม่ได้ไปตำหนักไท่เหอ” เซียวอวี้อธิบายระหว่างที่ทั้งสองเดินเคียงไหล่ออกจากประตูวังไปที่รถม้า เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนถามว่า “น้องรัก เจ้าไปตำหนักไท่เหอ ฝ่าบาททรงเอ่ยถึงการสมรสขององค์หญิงหกหรือไม่ น้องรักมีความเห็นว่าอย่างไร”

“จะมีความเห็นอย่างไรได้เล่า” เสิ่นจงชิ่งแค่นเสียงหยัน “ในฐานะแม่ทัพ ทุกคนต่างคิดว่าข้าควรคัดค้านเป็นคนแรก!” ถ้อยคำและน้ำเสียงเจือแววหยอกเย้าไม่จริงจัง เขาส่ายหน้าไม่ได้พูดต่อ

หลังปราบปรามหนานอี๋และหนานเยวี่ย บัดนี้จึงเหลือโจว เยียน และฉีสามแคว้นคานอำนาจกัน โดยต้าโจวแข็งแกร่งมากที่สุด วันที่เขากลับมาพร้อมชัยชนะ ฝ่าบาททรงสนทนากับเขาทั้งคืน เผยพระประสงค์ที่จะรวมแคว้นทั้งสาม หากจะรวมแคว้น ก่อนอื่นต้องสร้างความแตกแยกระหว่างเยียนฉีก่อน ใช้การสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉีเพื่อปราบปรามแคว้นเยียนนับเป็นแผนการอันยอดเยี่ยม

จนใจที่องค์หญิงหกประสูติจากฮองเฮา ได้ยินว่าฝ่าบาทจะให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์ เหล่าขุนนางที่มีพระสัสสุระอันชิ่งโหวเป็นหัวหน้าต่างร่วมกันถวายฎีกาคัดค้าน

มีเพียงแคว้นอ่อนแอเท่านั้นที่จะให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์เพื่อขอความคุ้มครอง!

ทุกคนพร้อมใจกันขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการส่งกองทัพไปตีแคว้นฉี ลงโทษที่อีกฝ่ายบังอาจสู่ขอองค์หญิง

สุดท้ายทุกคนจึงพุ่งเป้ามาที่เขา ตำหนิเขาที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว ในช่วงเวลาสำคัญกลับไม่ยอมก้าวออกมาคัดค้านการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ปล่อยให้แคว้นเล็กที่ไม่รู้ความล่วงเกิน บังอาจพูดจาเหลวไหลสู่ขอองค์หญิงของต้าโจว นับเป็นความอดสูของราชวงศ์

เขายกทัพออกไปได้ เขาเองก็เชื่อว่าไม่ต้องยกทัพไปตีอีกฝ่าย แค่ให้ทหารประจำอยู่ที่ชายแดน แคว้นฉีก็ยอมแบ่งดินแดนและจ่ายค่าชดเชยให้แต่โดยดีแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเยียนย่อมถือโอกาสดึงแคว้นฉีไปเป็นพวก กลายเป็นเยียนฉีร่วมมือกันต่อต้านโจว สุดท้ายอย่าว่าแต่รวมแคว้นทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวเลย ต้าโจวของเขาจะถูกแคว้นเยียนกลืนไปก่อนหรือเปล่ายังพูดยาก!

หากมิใช่เพราะมีไม้ตายที่จะร่วมมือกับแคว้นเยียน แคว้นฉีที่อ่อนแอไหนเลยจะกล้าสู่ขอองค์หญิงของแคว้นที่แข็งแกร่งกว่า

ทหารสามารถพลีชีพเพื่อบ้านเมืองได้ ไยองค์หญิงจึงมิอาจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!

แต่ไรมาบัณฑิตล้วนเป็นตัวถ่วงของบ้านเมือง

คิดถึงตนเองที่ต่อให้มีกำลังมหาศาล แต่กลับมิอาจจัดการกับพวกขุนนางที่เก่งแต่ปากเหล่านี้ได้ เสิ่นจงชิ่งก็ลอบถอนหายใจ

นิ้วมือของเซียวอวี้หยุดอยู่ตรงม่านของรถม้า เนิ่นนานจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” น้ำเสียงทุ้มต่ำ หากไม่ตั้งใจฟังย่อมไม่ได้ยิน

เสิ่นจงชิ่งตาเป็นประกาย หันไปมองเซียวอวี้

“ที่บ้านยังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน” เซียวอวี้ประสานมืออำลาเขา ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดมาก

เสิ่นจงชิ่งลอบถอนหายใจ ตอบว่า “พี่เซียวเดินทางระวัง” เขาเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา “ท่านป้าสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง หมู่นี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

มารดาของเซียวอวี้เริ่มปวดศีรษะตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แรกเริ่มคิดว่าเป็นไข้หวัด แต่กินยาไปหลายเทียบก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งอาการยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หมอหลวงเวินที่มีชื่อเสียงในสำนักแพทย์หลวงยังหาสาเหตุไม่ได้

“ยังเป็นเหมือนเดิม” พอเอ่ยถึงอาการป่วยของมารดา สีหน้าของเซียวอวี้ก็หม่นลงทันที เขาทอดถอนใจ “ท่านแม่อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นทุกวัน หมู่นี้แม้แต่ความจำก็เริ่มถดถอยแล้ว บ่อยครั้งที่ลืมสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อเช้า”

สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งพลอยหม่นตามไปด้วย ปลอบโยนอีกฝ่ายว่า “โบราณว่ามีโรคย่อมต้องเที่ยวเสาะหาหมอรักษาไปทั่ว คนของสำนักแพทย์หลวงรักษาไม่ได้ ไยพี่เซียวจึงไม่ลองหาหมอชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมาลองรักษาดูเล่า” เขาเอ่ยต่อ “ท่านอย่าดูถูกคนเหล่านี้ บางทีตำรับยาท้องถิ่นก็สามารถรักษาโรคร้ายได้”

เสิ่นจงชิ่งถือกำเนิดจากครอบครัวชาวบ้าน ทั้งยังผ่านความยากลำบากในสนามรบมา ต้องพึ่งหมอชาวบ้านเหล่านี้เป็นคนรักษาโรคให้เหล่าทหาร ในสายตาเขาหมอชาวบ้านจึงพึ่งพาได้มากกว่าแพทย์หลวงที่ถือตัวว่าสูงส่งพวกนั้น แม้อาชีพหมอจะเป็นหนึ่งในเก้าฐานะชั้นกลาง แต่เนื่องจากเสิ่นจงชิ่งเห็นความเจ็บปวดของทหารบ่อยและเห็นหมอชาวบ้านยึดหลักรักษาโรคช่วยเหลือปวงประชาอยู่เนืองๆ จึงยกย่องพวกเขาเป็นพิเศษ ขณะพูดก็คิดถึงหมอเจี่ยนที่หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงในเมืองอู๋ถงแนะนำให้เขาอย่างกระตือรือร้นเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอเจี่ยนผู้นี้โด่งดังด้านการรักษาโรคประหลาดที่รักษายากโดยเฉพาะ สามารถผลิตเออเจียวคุณภาพดีออกมาได้ คิดว่าหมอเจี่ยนผู้นี้คงมิได้มีดีแต่ชื่อเป็นแน่

เขากำลังจะแนะนำก็ได้ยินเซียวอวี้เอ่ยว่า “อัครเสนาบดีเฉาเพิ่งแนะนำท่านหมอนามจงหลินที่บ้านอยู่ในเมืองหลิ่วหลินห่างออกไปหกสิบลี้ให้ บอกว่าคนผู้นี้รักษาคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ ผู้คนต่างบอกว่าเขาเป็นหวาถัวกลับชาติมาเกิด ข้าสั่งให้คนไปเชิญตัวมาแล้ว อีกวันสองวันน่าจะเดินทางมาถึง”

“หมอจงในเมืองหลิ่วหลิน?” เสิ่นจงชิ่งครุ่นคิด “อืม หมอจงหลินเป็นหมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้รับฉายาว่ามัจจุราชระทม เพราะความสามารถในการแย่งคนมาจากมือของยมทูตหัววัวหัวม้าของเขาทำให้พญามัจจุราชหนักใจ พี่เซียวไม่รู้ว่าหกปีก่อนท่านแม่ข้าเป็นโรคเจ็บหัวใจก็ได้เขานี่แหละรักษาจนหายดี”

“จริงหรือ” เซียวอวี้ตาเป็นประกาย

“ใช่” เสิ่นจงชิ่งพยักหน้า “ได้ยินว่าหมอจงหลินเป็นหมอมาสามสิบปี น้อยครั้งที่จะผิดพลาด พี่เซียวลองให้เขามารักษาดูก็ดีเหมือนกัน” พูดพลางคิดว่าถึงอย่างไรหมอเจี่ยนในเมืองอู๋ถงก็เป็นหมอที่เพิ่งจะโด่งดัง อีกทั้งข่าวลือพวกนั้นยังไม่มีหลักฐาน เขาเองก็ไม่เคยพบหมอเจี่ยนมาก่อน เสิ่นจงชิ่งจึงล้มเลิกความคิดที่จะแนะนำหมอเจี่ยน ตอบเพียงว่า “พี่เซียวอย่าเพิ่งใจร้อน มีโรคย่อมต้องค่อยๆ รักษา ไม่มีเรื่องใดที่สำเร็จลงได้อย่างง่ายดาย”

“ได้ยินน้องรักพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ” น้ำเสียงของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความสบายใจ หันมายิ้มขื่นกับเสิ่นจงชิ่งและเอ่ยว่า “น้องรักไม่รู้ว่าครึ่งปีมานี้มีคนแนะนำ ‘หมอเทวดา’ ให้ข้าไม่ต่ำกว่าสิบคน สุดท้ายกลับไม่ได้เรื่องสักคน ทำเอาอารมณ์ของท่านแม่ฉุนเฉียวขึ้นทุกทีและไม่ยอมให้ข้าหาหมอเถื่อนมารักษานางอีก” เซียวอวี้ไหวไหล่อย่างจนใจ “ข้ากลัวว่าหากหมอจงหลินผู้นี้รักษาไม่หาย เกรงว่าท่านแม่คงไม่ยอมให้ใครรักษาโรคให้อีกแล้ว”

เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มิอาจรับรอง เสิ่นจงชิ่งปลอบใจเซียวอวี้อีกสักพัก จากนั้นต่างฝ่ายต่างอำลากันและแยกย้ายขึ้นรถม้าของตน

 

เนื่องจากเพิ่งกลับจากชายแดน เสิ่นจงชิ่งจึงยุ่งมาก วันนี้เขายุ่งกับงานจนถึงยามหนึ่งกว่าจะเงยหน้าจากโต๊ะทำงานได้ ครั้นได้ยินคนส่งเสียงอยู่นอกประตูจึงถามขึ้น “นั่นใคร”

หรงเซิงยกถาดไม้แดงสลักลวดลายเข้ามา ข้างบนเป็นชามกระเบื้องลายครามใบครึ่ง “ได้ยินว่าท่านแม่ทัพทำงานตอนกลางคืนอีกแล้ว อี๋เหนียงห้าจึงต้มโจ๊กไตแกะใส่โสมชงหรงมาให้และกำชับท่านว่าอย่าหักโหมเกินไป รักษาสุขภาพด้วยขอรับ”

พอเอ่ยถึงฉู่ซินอี๋ แววตาของเสิ่นจงชิ่งก็อ่อนโยนลง “วางไว้เถอะ” เห็นหรงเซิงยังยืนอยู่ที่เดิมจึงถามว่า “มีอะไรอีกหรือ”

“คืนนี้นายท่าน…ไปเรือนไผ่หยกหน่อยเถิดขอรับ” หรงเซิงอึกอัก

เสิ่นจงชิ่งอึ้งไป “ทำไมหรือ”

ด้วยปวดหัวกับการแก่งแย่งหึงหวงของบรรดาอี๋เหนียง เสิ่นจงชิ่งจึงตัดสินใจนำเอาระบบเข้าเวรในกองทัพมาใช้ในครอบครัว ยามไม่ได้ออกรบ แต่ละเดือนเขาจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนผลัดไปค้างที่เรือนของอี๋เหนียงแต่ละคน เวลาที่เหลือพักผ่อนในเรือนหลักหรือไปค้างกับอี๋เหนียงคนใดก็ได้ตามที่พอใจ

แม้ไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ที่ผ่านมาต่างยึดถือกฎเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตามหลักวันนี้จึงเป็นคราวของอี๋เหนียงใหญ่

“ชุนหงบอกว่าวันนี้บรรดาอี๋เหนียงเล่นไพ่ใบไม้กับฮูหยินผู้เฒ่า ไม่รู้ไฉนพออี๋เหนียงห้ากลับมาจึงร้องไห้ตลอดทั้งบ่าย”

“ท่านแม่สร้างความลำบากใจให้นางอีกแล้วหรือ” เสิ่นจงชิ่งพูดออกมา พลางส่ายหน้า “แม้ท่านแม่จะไม่ชอบนาง แต่ไม่มีทางฉีกหน้านางต่อหน้าคนอื่นแน่” เสิ่นจงชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่การรับฉู่ซินอี๋เป็นอนุเป็นความคิดของมารดา แต่ภายหลังไฉนมารดาจึงรังเกียจนางเช่นนี้

ถึงอย่างไรเขาก็ผิดต่อนางไปแล้ว เจินสือเหนียงทำให้เขาผิดคำสัญญาจนไม่เป็นผู้เป็นคน เขาไม่มีหน้าพบฉู่ซินอี๋ตั้งนานแล้ว และยิ่งไม่คิดจะรับนางเข้ามาเป็นอนุในจวน แต่เป็นเพราะท่านแม่ตั้งอกตั้งใจหาแม่สื่อและตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่หารือกับเขาก่อน ทั้งยังจัดการให้แต่งนางเข้ามาด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยาเอก

ฉู่ซินอี๋นิสัยอ่อนโยนจิตใจดีงาม ตามหลักแล้วท่านแม่น่าจะชอบนางมากที่สุดนี่นา

หรงเซิงส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”

“เจ้าไปถามคนข้างกายท่านแม่” เสิ่นจงชิ่งหยิบจดหมายฉบับหนึ่งเปิดอ่านพลางกำชับ

หลังรับคำเดินออกไปได้ไม่นาน หรงเซิงก็กลับมาอีกครั้ง “ปี้เยวี่ยบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าชนะเล่นไพ่วันนี้ อารมณ์ดียิ่ง ทั้งยังตกรางวัลให้บรรดาอี๋เหนียง แต่พอหลี่อี๋เหนียงพูดถึงงานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือน ฮูหยินผู้เฒ่าก็มองฉู่อี๋เหนียงด้วยท่าทางไม่พอใจนักขอรับ”

งานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือน? เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าครุ่นคิด

พระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสิบคือเจิ้งกุ้ยเฟยคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ หลายปีมานี้นางได้รับความรักใคร่ไม่เสื่อมคลาย แต่เจ็ดปีก่อนหลังให้กำเนิดองค์ชายห้าแล้วก็ไม่มีบุตรอีก คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ปีที่แล้วจะมีข่าวดี สองเดือนก่อนให้กำเนิดองค์ชายสิบออกมา ตอนนั้นตำหนักในไม่มีพระโอรสถือกำเนิดมาสองสามปีแล้ว ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยเป็นพิเศษ พอพระโอรสอายุครบเดือนก็จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เทียบได้กับงานเลี้ยงฉลองพระโอรสองค์โตอายุครบเดือน

ตามหลักแล้วมีเพียงขุนนางขั้นหนึ่งและชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์พาครอบครัวมาร่วมงานเลี้ยงในวังได้ แต่เขาเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ อีกทั้งตอนนั้นยังเพิ่งกลับจากชายแดน ยามราชสำนักออกเทียบเชิญจึงเชิญฮูหยินแม่ทัพเป็นกรณีพิเศษด้วย เจิ้งกุ้ยเฟยเองก็ปรารถนาดี หากเป็นคนทั่วไปคงดีอกดีใจจนยิ้มปรี่

น่าเสียดาย แม้ในสายตาผู้อื่นจะเห็นเป็นเรื่องน่ายินดีที่ปรารถนาเพียงใดก็ไม่อาจได้มา แต่สำหรับเสิ่นจงชิ่งแล้วกลับไม่ต่างจากเอ็นข้อไก่ที่ไม่อาจหักหรือตัดทิ้งชิ้นหนึ่ง ภรรยาที่ร้ายกาจของเขาคนนั้นจะพาออกไปไหนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้พบนางมาห้าปีแล้ว

แต่หากพาอนุไปแทนและถูกผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสโจมตี หาว่าเขาดูหมิ่นพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยที่ต่อให้เป็นที่โปรดปรานเพียงใดก็ยังคงเป็นเพียงอนุ ด้วยความรักใคร่ที่ฮ่องเต้มีต่อพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยและฐานะของนางในพระทัยของพระองค์ เกรงว่าตระกูลเขาคงถูกยึดทรัพย์ในทันทีแน่

เขาเป็นขุนศึกก็จริง แต่หาใช่คนวู่วามและตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

ดังนั้นเขาจึงจงใจตอบปฏิเสธโดยอ้างว่าฮูหยินเป็นไข้หวัด เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยและองค์ชายสิบ จึงขอไม่ไปร่วมงาน

โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงทราบว่าครอบครัวเขาไม่ปรองดองนัก จึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง ทว่าฉู่ซินอี๋กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่ได้รับเทียบเชิญก็คอยตื๊อเขาให้พานางไป

ห้าปีมานี้ตำแหน่งประมุขหญิงที่คอยดูแลจัดการธุระภายในจวนและการเข้าออกตระกูลใหญ่โดยมีข้ารับใช้รายล้อมมิอาจเติมเต็มความปรารถนาในใจนางได้อีกแล้ว หากสามารถก้าวเข้าไปในตำหนักในอย่างเปิดเผยและคบหาสมาคมกับบรรดาชายาขององค์ฮ่องเต้เหมือนเหล่านายหญิงตราตั้ง*ของขุนนางขั้นหนึ่งพวกนั้นได้ นั่นย่อมเป็นเกียรติยศสูงสุด

ฉู่ซินอี๋จะไปร่วมงานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือนให้ได้และพยายามอ้อนวอนเขาทุกวิถีทาง บีบให้สุดท้ายเขาจำต้องหลบออกจากจวน คิดถึงตรงนี้เสิ่นจงชิ่งก็ไม่พอใจ หัวคิ้วขมวดมุ่น ตั้งแต่เมื่อไรที่นางผู้ไม่เคยคิดแก่งแย่งชิงดีกับใคร หันมาลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญเช่นนี้

ครั้นเห็นว่าดึกมากแล้ว เขาผลักชามน้ำแกงตรงหน้าออกและลุกขึ้น

“ท่านแม่ทัพ…” เห็นเสิ่นจงชิ่งจะมุ่งหน้าไปเรือนแพรพร่างของหยางอี๋เหนียง หรงเซิงจึงร้องเรียก

เสิ่นจงชิ่งชะงักเท้า

“ท่านแม่ทัพทำศึกอยู่ข้างนอกตลอด เรื่องต่างๆ ทั้งในและนอกจวนแม่ทัพล้วนได้ฉู่อี๋เหนียงเป็นผู้ดูแลจัดการ นาง…ก็ลำบากไม่น้อยนะขอรับ” คิดถึงคำอ้อนวอนของชุนหงแล้ว หรงเซิงก็ฝืนใจพูดออกไป

เสิ่นจงชิ่งจึงก้มหน้าครุ่นคิดและหันหลังมุ่งหน้าไปเรือนไผ่หยก

 

“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือเจ้าคะ!” ฉู่ซินอี๋กำลังปักพื้นรองเท้า ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกร้องทักก็รีบออกมาต้อนรับ “วันนี้ไฉนจึงไม่ได้ไปหาพี่สาวเล่า” นางหันไปสั่งชุนหง “ยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ!”

พอก้าวเข้ามาในเรือนและเห็นดวงตาของฉู่ซินอี๋บวมแดงเล็กน้อย เสิ่นจงชิ่งก็แอบถอนใจ “คืนนี้ดึกแล้ว เห็นว่าเรือนไผ่หยกอยู่ใกล้ห้องหนังสือจึงเดินมาที่นี่ ทำไมเจ้ายังไม่นอน”

“ผู้น้อยอนุภรรยากำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่ท่านแม่ทัพมาพอดี” ฉู่ซินอี๋คลี่ยิ้ม “เลยดูเหมือนว่าจงใจรอท่านแม่ทัพอย่างนั้นแหละ” นางช่วยเขาถอดเสื้อนอกพลางพูด “ท่านแม่ทัพจะล้างหน้าบ้วนปากเลยหรือจะรออีกประเดี๋ยวเจ้าคะ”

“ล้างหน้าบ้วนปากก่อนแล้วกัน” เขาตอบพลางก้าวเข้าไปในห้องน้ำ

หลังทำความสะอาดร่างกายเสร็จ ชุนหงชงชาต้าหงเผาอย่างดีไว้กาหนึ่ง ฉู่ซินอี๋ถือถ้วยหยกขาว คิ้วหงส์ขมวดมุ่นขณะจมอยู่ในภวังค์ความคิด ขนาดเสิ่นจงชิ่งเดินเข้ามานางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“คิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้เหม่อลอยขนาดนี้” เสิ่นจงชิ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เสร็จแล้วให้ชุนหงและนั่งลงตรงข้ามฉู่ซินอี๋

“อ๊ะ!” ฉู่ซินอี๋สะดุ้งโหยงและเงยหน้าพรวด มองเสิ่นจงชิ่งด้วยดวงตาแดงเรื่อ “ไฉนท่านแม่ทัพจึงล้างหน้าเร็วถึงเพียงนี้”

คิดจะละเลยดวงตาที่บวมแดงของนางคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าถาม “เป็นอะไรอีก ถึงกับร้องไห้จนตาแดง”

“ร้องไห้ที่ไหนกัน ตอนบ่ายทรายเข้าตาต่างหาก” ฉู่ซินอี๋รีบก้มหน้าปิดบัง

ชุนหงกลับเอ่ยอย่างโมโห “เป็นเพราะอี๋เหนียง…”

“ชุนหง!” ฉู่ซินอี๋ร้องห้าม

“บ่าวจะพูด อี๋เหนียงในใจเป็นทุกข์ ไยต้องอดทนอดกลั้นยอมให้ผู้อื่นรังแกด้วย!” ชุนหงคุกเข่า “ท่านแม่ทัพโปรดให้ความเป็นธรรมกับอี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ!”

เสิ่นจงชิ่งเลิกคิ้ว “เจ้าว่ามา”

“หน็อย เจ้าบ่าวกำแหง เห็นข้าอารมณ์ดีชักเอาใหญ่ ท่านแม่ทัพเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พักผ่อน ไยเจ้าต้องขุดเอาเรื่องพวกนี้มากวนใจด้วย” ฉู่ซินอี๋ปากตำหนิสาวใช้ แต่กลับไม่ได้ห้ามนาง

ชุนหงจึงพูดต่อ “ท่านแม่ทัพทำศึกอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ทิ้งคฤหาสน์หลังโตกับผู้คนในจวนมากมายไว้เบื้องหลัง เรื่องต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งในและนอก มีเรื่องใดบ้างที่อี๋เหนียงไม่ได้ดูแลจัดการ ห่วงก็แต่หากเกิดข้อผิดพลาดใดและแพร่ไปถึงหูท่านแม่ทัพที่อยู่ชายแดน ท่านแม่ทัพจะมิอาจทำศึกอย่างสบายใจได้ อี๋เหนียงต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ แต่ใครบางคนกลับไม่สำนึก หาว่าเป็นอี๋เหนียงเหมือนกัน อี๋เหนียงของบ่าวแต่งเข้ามาช้าที่สุด ไฉนจึงได้เป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวน”

ชุนหงจ้องเสิ่นจงชิ่งอย่างใจกล้า “ท่านแม่ทัพไม่รู้หรอกว่าช่วงที่ท่านไม่อยู่ อี๋เหนียงแอบเสียน้ำตาไปมากเท่าไร อันที่จริงก็หวังเพียงว่าหากท่านแม่ทัพกลับมา ทุกคนจะสำรวมบ้าง จึงฝืนอดทนไว้ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะยิ่งได้ใจ วันนี้ถึงกับตีวัวกระทบคราดตำหนิอี๋เหนียงต่อหน้าผู้คนมากมายว่า…” ชุนหงเลียนแบบน้ำเสียงเหน็บแนมของสตรีเหล่านั้น “เป็นคนไม่ว่าเวลาใดก็ไม่ควรลืมฐานะของตนเอง ตนเองอยู่ในฐานะใด ตำแหน่งใดต้องแยกแยะให้ชัด อี๋เหนียงก็คืออี๋เหนียงอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเมื่อใดก็สู้หน้าผู้คนไม่ได้อยู่ดี!”

“ใครเป็นคนพูด!” เสิ่นจงชิ่งตบโต๊ะ คำพูดนี้สะกิดแผลเก่าของเขา

เขาเป็นคนยึดมั่นในคำสัญญา ชั่วชีวิตนี้ครั้งเดียวที่ผิดสัญญาคือการรับปากฉู่ซินอี๋ว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา สุดท้ายกลับให้นางเป็นอนุ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกติดค้างฉู่ซินอี๋มาโดยตลอด เพราะเหตุนี้เอง หลายปีมานี้เขาจึงให้นางเป็นคนดูแลจัดการเรื่องในจวน ตามใจนางทุกอย่าง ยอมให้นางเรียกร้องได้ตามใจชอบ

ชุนหงตัวสั่น น้ำตาร่วงลงมาทันที

“ยังไม่ออกไปอีก จะรอให้ฝ่ามือฟาดใส่หน้าก่อนหรือไร!” เห็นเสิ่นจงชิ่งโมโห ฉู่ซินอี๋จึงรีบตำหนิชุนหงและหันไปปลอบเขาว่า “ชุนหงปากไม่มีหูรูด ท่านแม่ทัพอย่าฟังนางพูดเหลวไหลเลย พี่สาวทั้งหลายรักใคร่ข้าถึงเพียงนั้น แล้วจะเอ่ยวาจาสร้างความลำบากใจให้ข้าได้อย่างไร” นางยื่นข้อมือออกไปให้เขาดู “นายท่านดูลูกประคำไม้จันทน์เส้นนี้สิ พี่ใหญ่ไปไหว้พระที่วัดและขอมาให้ข้าเอง” นางพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน

เรื่องทุกอย่างต้องรู้จักหยุดในจังหวะที่พอดี หลักการข้อนี้ฉู่ซินอี๋ตระหนักดีเป็นที่สุด

เสิ่นจงชิ่งเป็นคนเถรตรง แต่ไรมาชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ข้อนี้นางตระหนักดีตั้งแต่เขาไล่เจินสือเหนียงออกไปอยู่บ้านบรรพบุรุษแล้ว

ผู้หญิงเข้าใจผู้หญิงด้วยกันดีที่สุด ฉู่ซินอี๋รู้ว่าเจินสือเหนียงรักเสิ่นจงชิ่ง รักอย่างลุ่มหลง รักอย่างบ้าคลั่ง รักจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น น่าเสียดายที่นางใช้วิธีผิด

อาศัยที่ครอบครัวตนเองมีอำนาจและคิดจะทำให้เขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง กลายเป็นของเล่นที่นางหยิบมาเล่นได้ตามใจชอบ ดังนั้นจึงสรรหาวิธีต่างๆ มาทรมานเขาโดยหารู้ไม่ว่าเสิ่นจงชิ่งเป็นเหล็กกล้าที่ยอมหักไม่ยอมงอ เขาเป็นอินทรีที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องผงาดขึ้นสู่ท้องนภา แล้วจะยอมอยู่ใต้ชายกระโปรงของสตรี ยอมให้ผู้อื่นบงการชีวิตได้อย่างไร

ดังนั้นเขาในอดีตจึงไม่สนใจว่าบ้านพ่อตาเป็นเสนาบดีกรมอากรที่มีอำนาจมหาศาล ท้าทายอำนาจของสกุลเจินด้วยการเป็นปรปักษ์กับเจินสือเหนียงทั้งที่ตนเองเป็นเพียงขุนนางขั้นหกที่ไร้ที่พึ่งพิง

ได้ยินเซียวฮูหยินบอกว่าตอนเสิ่นจงชิ่งแต่งอนุคนแรก เสนาบดีเจินซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้โมโหมาก วันถัดมาจึงรับเจินสือเหนียงกลับไปทันทีและเตรียมจัดการกับเสิ่นจงชิ่ง ตอนนั้นสกุลเจินคิดกำจัดเสิ่นจงชิ่งเป็นเรื่องง่ายไม่ต่างจากการบี้มดตัวหนึ่ง

แต่เจินสือเหนียงคุกเข่าอยู่หน้าห้องหนังสือของบิดาทั้งคืน ถึงได้ล้มเลิกความคิดของเสนาบดีเจินที่จะสังหารเขา น่าเสียดายที่เบื้องหลังเจินสือเหนียงทำเพื่อเขาตั้งมากมาย แต่นางกลับไม่เคยบอกให้เขารู้ เพราะนางเองก็มีศักดิ์ศรี นางไม่อยากให้เขารู้ว่านางใส่ใจเขามากเพียงใด นางต้องการใช้อำนาจกำราบเขาเท่านั้น จวบจนสุดท้ายนางจึงถูกเขาทอดทิ้ง

ตอนที่เสิ่นจงชิ่งถูกบังคับให้ผิดสัญญาต่อนางและแต่งงานกับเจินสือเหนียง ฉู่ซินอี๋เคยร้องไห้ถามเขาว่า เขารักเจินสือเหนียงหรือไม่ เขาตอบว่าไม่รัก แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษ ในเมื่อแต่งกับอีกฝ่ายแล้วก็ต้องดีต่อนาง เสิ่นจงชิ่งบอกให้นางลืมเขาเสีย คำตอบนั้นสร้างความร้าวรานใจให้นางเหลือเกิน ฉู่ซินอี๋เชื่อว่าตอนนั้นหากเจินสือเหนียงเปลี่ยนวิธี ไม่แน่ตอนนี้ทั้งคู่อาจเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกันแล้ว นางคงไม่มีโอกาสได้กุมอำนาจในจวนแม่ทัพอย่างเช่นทุกวันนี้เป็นแน่

ในใจของฉู่ซินอี๋ เจินสือเหนียงเป็นสตรีที่โง่งมที่สุด

หากเป็นนางฉู่ซินอี๋จะไม่มีทางใช้ไม้แข็งกับเสิ่นจงชิ่งแน่ เหมือนเช่นวันนี้ ภายนอกดูเหมือนนางเป็นฝ่ายถอย แต่เรื่องนี้ย่อมติดค้างอยู่ในใจเขา จากนั้นเขาจะต้องไปหาภรรยาเอกที่เขาทอดทิ้งมาห้าปีที่บ้านบรรพบุรุษและบีบให้นางตกลงหย่าขาดหรือปลิดชีพตนเอง หลังจากนั้นค่อยแต่งตั้งนางเป็นภรรยาเอก

ที่เมื่อครู่เล่นละครกับชุนหงใช่ว่านางต้องการให้เสิ่นจงชิ่งไปช่วยนางจัดการอี๋เหนียงคนใด หากนางได้เป็นภรรยาเอกเมื่อไร อี๋เหนียงพวกนี้นางสามารถจัดการได้ไม่ยาก จุดประสงค์เดียวของนางคือต้องการให้เสิ่นจงชิ่งตระหนักว่าตอนนี้นางดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนแม่ทัพด้วยฐานะของอนุอย่างลำบากใจ ให้เขารู้สึกสงสารและเห็นใจนาง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ตามคาด เห็นนางทำท่าจะร้องไห้ สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งจึงอ่อนลง เขาถอนหายใจ “เจ้าก็อย่าเอาแต่ฟังคำพูดเหลวไหลของคนพวกนั้นเลย ให้เจ้าดูแลจัดการธุระในจวน อีกทั้งหลายปีมานี้ข้าไม่อยู่ที่จวนนับว่าลำบากเจ้าแล้วจริงๆ การเสียสละของเจ้าข้ารู้ดีแก่ใจ” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนพบเจินสือเหนียงในวันนั้น รำพึงในใจว่า ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับนางแล้ว

“ได้ช่วยท่านแม่ทัพแบ่งเบาภาระ ผู้น้อยอนุภรรยาไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย” ฉู่ซินอี๋เอ่ยคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขลาดกลัวและรินน้ำชาให้เสิ่นจงชิ่งด้วยตนเองจนเต็มถ้วย จากนั้นจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ท่านแม่ทัพดื่มน้ำชา”

ความอ่อนหวานของนางดับโทสะของเสิ่นจงชิ่งไปสิ้น เขาจิบน้ำชาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ฉู่ซินอี๋มองเสิ่นจงชิ่งดื่มชาอย่างเหม่อลอยและพึมพำ “ท่านแม่ทัพหล่อเหลาโดยแท้ ออกไปทำศึกตั้งหลายปี ทั้งตากแดดตากฝนและตากลม ผู้น้อยอนุภรรยาคิดว่าท่านจะหยาบกร้านและดูแก่ลง คิดไม่ถึงว่ากลับไม่มีรอยเหี่ยวย่นแม้แต่น้อย” นิ้วมือลูบคิ้วตาของเขาอย่างแผ่วเบา “กลับดูคมคายกว่าเมื่อห้าปีก่อน ได้ยินสาวใช้บอกว่าวันที่ท่านเข้าเมือง ชาวบ้านต่างแห่แหนออกมาต้อนรับ สาวๆ ที่ยังไม่ออกเรือนเห็นท่านแล้วจ้องตาไม่กะพริบ สบถสาบานว่าหากจะแต่งงานต้องได้สามีอย่างท่านแม่ทัพ ว่ากันว่าแม้แต่องค์หญิงหกยังพึงใจท่าน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

เสิ่นจงชิ่งปั้นหน้าดุต่อไปไม่ไหว พลันคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ดึงนิ้วนางมากำไว้ในมือ “พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าปีแล้ว ข้าจะไม่แก่ได้อย่างไร ขอเพียงอี๋เอ๋อร์ไม่รังเกียจที่ข้าแก่ก็พอ”

“ท่านแม่ทัพแก่เสียที่ไหน ยังจะล้อเลียนผู้น้อยอนุภรรยาอีก” ฉู่ซินอี๋ทุบเขาทีหนึ่งอย่างมีจริต “ผู้น้อยอนุภรรยาเสียอีก…” นางลูบร่องรอยจางๆ ตรงหางตาที่แทบจะมองไม่เห็นอย่างหงุดหงิด “วันนี้ส่องกระจกเห็นที่หางตามีร่องรอยเสียแล้ว” นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างจริงจัง “ท่านแม่ทัพตำแหน่งสูงขึ้นทุกวัน อีกหน่อยจะรังเกียจผู้น้อยอนุภรรยาหรือไม่” แม้นางจะงดงามเฉิดฉัน แต่ก็อ่อนกว่าเสิ่นจงชิ่งแค่ปีเดียวเท่านั้น

บุรุษล้วนแก่ยาก หลายปีให้หลังใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่เขากลับยังสง่าผ่าเผย แล้วจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร

“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” เสิ่นจงชิ่งแกล้งโมโห

ฉู่ซินอี๋ขบริมฝีปากด้วยท่าทางเหมือนศรีภรรยาที่ต้องอดทนกับความลำบากใจอย่างยิ่งยวด

เสิ่นจงชิ่งถอนหายใจอีกครั้ง ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ในเมื่อข้าแต่งเจ้าแล้วก็ต้องรับผิดชอบดูแลเจ้าจนถึงที่สุด ขอเพียงไม่ได้กระทำผิดร้ายแรงขัดต่อหลักคุณธรรม ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าไม่ไยดีแน่” เขาพูดต่อ “เจ้าน่าจะรู้ว่าที่ข้าไม่ค่อยมาหาเจ้าเพราะกลัวเจ้าจะเป็นที่ชิงชังของอี๋เหนียงคนอื่นๆ ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า ยามข้าไปทำศึกข้างนอกพวกนางจะได้ไม่รังเกียจเจ้าและสร้างความลำบากให้เจ้า”

ฉู่ซินอี๋โอดครวญในใจ นางไม่ห่วงเรื่องนี้หรอก หากจะพูดถึงเล่ห์กลอุบาย จวนแห่งนี้มีใครบ้างที่สู้นางได้ นางอยากให้เขามาหานางที่นี่ทุกวัน ให้คนพวกนั้นอิจฉาริษยาจนตายไปเลย

“ผู้น้อยอนุภรรยาทราบ” แม้ในใจจะปั่นป่วน แต่ภายนอกฉู่ซินอี๋กลับทำท่าซาบซึ้งใจ มือลูบหน้าท้องที่แบนราบ “ท่านแม่ทัพคิดเผื่อผู้น้อยอนุภรรยาในทุกๆ ทาง แต่ท้องของผู้น้อยอนุภรรยากลับไม่เอาไหน มิสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ท่านแม่ทัพได้เสียที ท่านแม่ทัพ…จะรังเกียจผู้น้อยอนุภรรยาหรือไม่”

เสิ่นจงชิ่งหัวเราะฮ่าๆ “อี๋เอ๋อร์กังวลเกินไปแล้ว ข้ายังไม่แก่สักหน่อย อีกสองสามปีค่อยมีลูกก็ยังได้”

ฉู่ซินอี๋ผลักเขาออกเบาๆ และนั่งตัวตรง “ท่านแม่ทัพอายุมากแล้วยังไม่มีบุตรชายเสียที ต่อให้ท่านไม่ร้อนใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องร้อนใจ!” คิดถึงนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อตอนกลางวันแล้ว น้ำเสียงของนางอ่อนลง “บรรดาสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายข้า ชุนหงเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ใจร้อนวู่วามไปหน่อย เกรงว่าจะปรนนิบัติท่านแม่ทัพได้ไม่ดี แต่ชุนหลันสุขุมเยือกเย็น ความคิดละเอียดอ่อนและช่างเอาใจใส่ มิสู้…” นางมองเสิ่นจงชิ่ง “ท่านแม่ทัพรับนางเป็นอนุเถอะ หากสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ท่านแม่ทัพได้ ผู้น้อยอนุภรรยาก็สบายใจ” สีหน้านางหม่นหมองเหมือนมีหมอกปกคลุมใบหน้าอยู่ชั้นหนึ่ง เสิ่นจงชิ่งหรี่ตามองอยู่นานก็มองทะลุใจนางไม่ได้เสียที

เขาส่ายหน้า “อี๋เอ๋อร์คิดมากเกินไปแล้ว ชีวิตนี้ของข้ามีพวกเจ้าก็เพียงพอแล้ว” นี่หาใช่คำพูดโกหก

เขาถือกำเนิดในครอบครัวชาวบ้าน แม้ฐานะทางบ้านจะร่ำรวย แต่ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี ตอนมีชีวิตอยู่บิดามีมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยเห็นถึงความรักระหว่างบิดามารดา เสิ่นจงชิ่งจึงจินตนาการเอาไว้นานแล้วว่าหากเขาแต่งภรรยา เขากับภรรยาจะเป็นเหมือนบิดามารดา ครองคู่อยู่ด้วยกันโดยไม่ทอดทิ้งไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นตอนพบฉู่ซินอี๋และเห็นความอ่อนโยนเรียบร้อยของนาง เขาถึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา น่าเสียดายที่…เขาถอนหายใจเบาๆ “ตอนนั้นหากไม่เพราะต้องการยั่วโมโหนาง ข้าคงไม่แต่งอนุเข้ามามากมายถึงเพียงนี้ ทำให้ครอบครัวไร้ความสงบสุข มารดาต้องพลอยกลุ้มใจไปด้วย บัดนี้ย้อนนึกดูแล้วข้ายังเสียใจไม่หาย”

เขาในอดีตช่างทำตัวเหลวไหลเกินไปจริงๆ

ในอดีตแม้เจินสือเหนียงจะทำไม่ถูก แต่เขาเคยใช้ความอดทนกับนางด้วยหรือ บัดนี้คิดดูแล้ว แต่ก่อนหากพวกเขายอมถอยคนละก้าว ไม่แน่เขากับเจินสือเหนียงอาจไม่ต้องเดินมาถึงจุดนี้

“ผู้น้อยอนุภรรยากลัวเหลือเกินว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวัง” น้ำเสียงของฉู่ซินอี๋เจือความขมขื่น

นี่เป็นคำพูดจากใจจริง แม้จะยึดหลักฝนตกทั่วฟ้า แต่ทุกครั้งที่กลับจากศึกสงคราม เสิ่นจงชิ่งจะใช้เวลาอยู่ที่เรือนไผ่หยกมากกว่าเรือนอื่นๆ นางเองก็แอบใช้ยาบำรุงช่วยอยู่ลับๆ แต่ท้องนางกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

นับแต่โบราณมารดาเป็นใหญ่ได้เพราะบุตร โดยเฉพาะเสิ่นจงชิ่งที่มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ฐานะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ หากนางไม่อาจมีบุตรให้เขาได้จริงๆ หรือถูกผู้หญิงคนอื่นชิงตัดหน้าไป…

ฉู่ซินอี๋ไม่กล้าคิดต่อ

เห็นเสิ่นจงชิ่งหรี่ตามองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางก็ร้องขึ้นอย่างโมโห “ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยอนุภรรยาจริงจังนะ!”

ยังพูดไม่จบ เสิ่นจงชิ่งก็ช้อนอุ้มนางขึ้น “อี๋เอ๋อร์ร้อนใจอยากมีลูก เช่นนั้นข้าคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”

ฉู่ซินอี๋ทั้งอายทั้งโกรธ “ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยอนุภรรยาหาได้ล้อเล่น!” นางออกแรงดิ้นจะลงพื้น

“ข้าก็ไม่ได้ล้อเล่น!” เสิ่นจงชิ่งหัวเราะฮ่าๆ และก้าวยาวๆ ไปที่เตียง

เสียงโต้เถียงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบคราง สร้างบรรยากาศอ่อนโยนงดงามภายในห้อง…

 

หลังความหฤหรรษ์ผ่านพ้นไป ฉู่ซินอี๋สั่งให้ชุนหงยกน้ำเข้ามาเช็ดตัวให้เสิ่นจงชิ่ง ส่วนตนเองไปชำระล้างร่างกายแล้วค่อยขึ้นมาบนเตียง

การที่เขาไม่เห็นด้วยกับการรับสาวใช้เป็นอนุทำให้ฉู่ซินอี๋อารมณ์ดีมาก ลำแขนขาวผ่องโอบเอวเขาเบาๆ พลางร้องเรียกเสียงค่อย “ท่านแม่ทัพ…”

“หืม…” เสิ่นจงชิ่งขานรับอย่างงัวเงีย

“หรือว่าผู้น้อยอนุภรรยาควรไปหาหมอดี”

“อะไรนะ”

“ได้ยินว่าเมืองอู๋ถงมีหมอเทวดาคนหนึ่งแซ่เจี่ยน คนที่ผู้น้อยอนุภรรยาบอกท่านวันก่อนว่าเป็นคนทำเออเจียวสกุลเจี่ยนขายอย่างไรล่ะ หมอเจี่ยนเชี่ยวชาญการรักษาโรคที่หายยากโดยเฉพาะ ได้ยินว่าสาวใช้รุ่นใหญ่ที่บ้านแต่งงานมาสามปีและไม่ตั้งครรภ์เสียที ภายหลังกินยาของหมอเจี่ยนเข้าไป ไม่ถึงสามเดือนก็ตั้งครรภ์แล้ว” นางซุกหน้ากับแผ่นหลังเขาพลางทอดเสียงอ่อน “ผู้น้อยอนุภรรยาไปหาหมอเจี่ยนผู้นี้บ้างดีกว่า บางทีอาจจะได้ผล”

ถามอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ฉู่ซินอี๋จึงเงยหน้าและเห็นเสิ่นจงชิ่งเปล่งเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอ…

เสิ่นจงชิ่ง!

สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที นางผุดลุกขึ้น

เสิ่นจงชิ่งขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหลับต่ออย่างเป็นสุข

“หมู!”

ฉู่ซินอี๋บ่นว่าคำหนึ่งและนอนหันหลังให้เขาอย่างแง่งอน เบิกตามองแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่าง

 

ไม่เพียงเพราะต้องการยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก แต่พอตำแหน่งของเขาสูงขึ้น การสังสรรค์กับราชสำนักย่อมมากขึ้นด้วย เขาจึงต้องการกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและเชิดหน้าชูตาได้มาช่วยเหลือเขาในการเข้าสังคม

กระนั้นการแต่งงานครั้งนั้นของเขาเป็นสมรสพระราชทาน เขาไม่อาจหย่าภรรยา จึงมีสองวิธีในการจัดการกับเจินสือเหนียง หนึ่งคือฆ่านางเสีย ไม่ก็ตกลงหย่าขาด แม้ในสมรภูมิเขาจะฆ่าศัตรูมามากมายโดยไม่รู้สึกรู้สา แต่จะให้เขาฆ่าสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้คนหนึ่ง อีกทั้งสตรีผู้นั้นยังเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา เสิ่นจงชิ่งทำไม่ลงจริงๆ

ครุ่นคิดอยู่หลายวัน เขาตัดสินใจหาเวลาเดินทางไปบ้านบรรพบุรุษพบเจินสือเหนียงและตกลงกันดีๆ ทางที่ดีที่สุดคือสามารถตกลงหย่าขาดแต่โดยดีได้ แม้จะรู้สึกว่าด้วยนิสัยร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของนาง การที่นางจะยอมตกลงหย่าขาดไม่ต่างจากการที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากสังหารนาง

คิดเช่นนี้ก็จริง แต่งานยุ่งเหลือเกิน กว่าเสิ่นจงชิ่งจะได้รับวันหยุดสามวันและเดินทางมาเมืองอู๋ถงอีกครั้งก็ล่วงเลยมาอีกหนึ่งเดือน

ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว หน้าบ้านและหลังบ้านตากถั่วเจินจื่อ เห็ด ผักป่า และของป่าสดๆ ที่เพิ่งเก็บได้เต็มไปหมด สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋นั่งอยู่ในลานบ้านเด็ดเห็ดพลางคุยเรื่อยเปื่อย

“น้อยเกินไปแล้ว” สี่เชวี่ยมองของป่าในลานบ้านที่น้อยกว่าปีก่อนกว่าครึ่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เกรงว่าฤดูหนาวปีนี้คงต้องทนหิวอีกแล้ว” พวกเขาผู้ใหญ่ไม่เป็นไรหรอก กลัวก็แต่เหวินเกอ อู่เกอจะทนไม่ไหว ปีก่อนนางกับชิวจวี๋ไปเก็บผักและผลไม้ป่าด้วยกัน ปีนี้ร่างกายนางหนักอึ้ง จึงเหลือชิวจวี๋เพียงคนเดียว

“คุณหนูบอกว่าไม่เป็นไร รอให้ยาลูกกลอนขายได้เมื่อไร ดีไม่ดีอาจซื้อหมูสักครึ่งตัวมาฉลองปีใหม่ได้ด้วย” พอคิดว่าจะได้กินเนื้อหมูหอมฉุยติดกันหลายมื้อ น้ำลายของชิวจวี๋ก็แทบไหลย้อย อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่จริงๆ

“เจ้านี่นะ” สี่เชวี่ยถลึงตาใส่นาง “รู้จักแต่กิน ไม่รู้จักใช้ความคิดเสียบ้าง คุณหนูแค่ปลอบพวกเราเท่านั้นแหละ”

“อะไรนะ” ชิวจวี๋เงยหน้าด้วยความฉงน ก้านเห็ดสีเทาในมือถูกหักทิ้งไปกว่าครึ่ง

“เจ้าระวังหน่อย อย่าเสียของ” สี่เชวี่ยเก็บเห็ดก้านนั้นขึ้นมา เด็ดส่วนรากที่เปื้อนดินทิ้ง ส่วนที่เหลือโยนกลับไปบนกระจาดสาน “เมื่อวานอาเขยของเจ้าไปทำธุระและผ่านร้านยารุ่ยเสียง ยาลูกกลอนของคุณหนูยังขายไม่ออกเลยสักเม็ด ราคาแพงเกินไปและคนไม่เคยใช้ ทุกคนต่างกลัวว่าจะใช้ไม่ได้ผล จึงไม่มีใครกล้าซื้อ” สี่เชวี่ยถอนใจ “ข้ากลัวว่าฤดูหนาวปีนี้คุณหนูจะแอบหยุดกินยาอีกแล้ว”

เจินสือเหนียงเลือดลมพร่อง ต้องกินยาบำรุงอย่างต่อเนื่อง แต่พอถึงฤดูหนาว โดยเฉพาะช่วงที่เสบียงอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาไม่มีอะไรกิน ช่วงนี้เจินสือเหนียงจะแอบหยุดยา ประหยัดเงินไว้ซื้อเสบียงอาหารให้ทุกคน นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมห้าปีมานี้ ทั้งที่เจินสือเหนียงรู้วิชาแพทย์ แต่ร่างกายกลับทรุดโทรมลงทุกวัน

ด้วยเหตุนี้เอง พอถึงฤดูใบไม้ร่วง สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋จึงพยายามเก็บพืชผลและตากแห้งไว้มากๆ เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียง

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ชิวจวี๋ร้องเสียงแหลม

“ชู่ว์…” สี่เชวี่ยรีบโบกมือ “ระวังคุณหนูจะได้ยินเข้า” นี่เป็นช่วงพักกลางวัน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เพิ่งหลับไป สี่เชวี่ยเดาว่าแปดส่วนเจินสือเหนียงคงนอนไม่หลับและหนีไปเดินหมากอยู่หลังบ้าน

ชิวจวี๋กดเสียงให้เบาลง “คุณหนูไม่ค่อยได้ตรวจรักษาใครก็จริง แต่โรคที่นางรักษาล้วนเป็นโรคประหลาดที่หมอเฝิงรักษาไม่หาย เรื่องนี้ลือกันไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ใครๆ ก็ว่าคุณหนูของพวกเราเป็นหมอเทวดา แล้วยาของนางใครบ้างจะไม่เชื่อ”

สี่เชวี่ยถอนหายใจ “ถ้าคุณหนูนั่งตรวจโรคอยู่ที่นั่นเลยย่อมมีคนเชื่อแน่ แต่ร่างกายของคุณหนูไม่แข็งแรง นั่งตรวจโรคที่ร้านยาไม่ได้” สี่เชวี่ยถอนใจอีกครั้ง “ข้าว่าแปดส่วนทุกคนคงคิดว่าร้านยารุ่ยเสียงแอบอ้างชื่อคุณหนูขายยาปลอมเป็นแน่”

ฐานะไม่อำนวย ทั้งยังเป็นสตรี เวลาตรวจโรคเจินสือเหนียงมักใช้ผ้าโปร่งปิดหน้า ต่อให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังเพียงไร แต่ถึงอย่างไรคนในเมืองก็ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง หากไม่ได้นางเป็นคนแนะนำด้วยตนเอง จู่ๆ มาพูดส่งเดชว่ายานี้เป็นของหมอเจี่ยน ใครเล่าจะเชื่อ

“แล้วจะทำอย่างไรดี” ดวงหน้าเล็กของชิวจวี๋งอง้ำ

“เมื่อวานสะใภ้หลี่ให้เสื้อผ้าเก่ามาสองสามชุด สองวันนี้ข้าจะเอามาแก้เป็นเสื้อผ้าให้เหวินเกอ อู่เกอ แล้วค่อยแก้ให้เจ้าอีกชุด พอถูไถใส่ในช่วงปีใหม่ได้” น้ำเสียงของสี่เชวี่ยลังเล “แล้ว…ชุดใหม่ก็อย่าซื้อเลย”

“อืม” ชิวจวี๋พยักหน้า “แค่ไม่ต้องอดก็พอแล้ว ข้า…”

ขณะพูดเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆๆ

“ตอนนี้ทุกคนล้วนยุ่งกับการเก็บเกี่ยวพืชผล ใครจะมีเวลามาเยี่ยมอีกนะ” ชิวจวี๋งึมงำพลางวิ่งไปเปิดประตู

ชิวจวี๋มองเสิ่นจงชิ่งที่หล่อเหลาไม่ธรรมดายืนอยู่นอกประตู นางจ้องตาค้างจนลืมกะพริบตา อ้าปากกว้างพูดอะไรไม่ออก

คนผู้นี้หล่อเหลาเหลือเกิน เหมือนเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน

“นายหญิงใหญ่อยู่หรือไม่” เสิ่นจงชิ่งเดินอ้อมนางเข้าไปในบ้าน

“ใครมาน่ะ” เห็นชิวจวี๋ลุกไปนานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยร้องถาม พอเงยหน้าเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงก็ก้าวยาวๆ เข้ามาแล้ว นางตกใจจนมือปัดถูกดอกเห็ดที่ตากอยู่บนกระจาดสานร่วงลงมาครึ่งหนึ่ง “ท่าน…แม่ทัพ” นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก

“ที่นี่ไม่มีนายหญิงใหญ่ คุณชายท่านนี้มาผิดบ้านแล้ว!” พอได้สติชิวจวี๋ก็หันหลังวิ่งตามเข้ามา คนผู้นี้ไม่มีมารยาทเลย ต่อให้หล่อเหลาแค่ไหนก็ไม่ควรบุกรุกบ้านผู้อื่นตามอำเภอใจ

“อะไรนะ” เสิ่นจงชิ่งแววตาเยียบเย็น บรรยากาศรอบด้านเย็นลงหลายส่วน

กลิ่นอายคุกคามเข้มข้นยิ่งนัก! ชิวจวี๋ตกใจกลัวจนตัวสั่น คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น

“ท่านแม่ทัพมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ” ฟันของสี่เชวี่ยกระทบกันเล็กน้อย

“นายหญิงใหญ่ล่ะ”

“อยู่ที่…” หลังถูกไอสังหารของเสิ่นจงชิ่งจู่โจม สี่เชวี่ยลังเลว่าควรจะคิดหาวิธีซ่อนตัวเจินสือเหนียงไว้หรือเปล่า

“ท่านแม่ทัพ…” เห็นเสิ่นจงชิ่งก้าวไปที่หน้าประตูเรือน สี่เชวี่ยพลันคิดได้ว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังหลับอยู่ในห้อง จึงรีบร้องห้าม “นายหญิงใหญ่อยู่ริมสระบัวหลังบ้านเจ้าค่ะ บ่าวจะพาท่านแม่ทัพไปเอง” เห็นเขาหันหลังจากไป สี่เชวี่ยถึงได้ลอบปล่อยลมหายใจออกมา

เสิ่นจงชิ่งกำลังจะพยักหน้ารับ คิดได้ว่าเขาจะเจรจากับเจินสือเหนียงเรื่องตกลงหย่าขาด ไม่สะดวกนักหากมีบ่าวอยู่ด้วยจึงส่ายหน้า “ข้าไปเองดีกว่า” ก่อนได้รับตำแหน่งเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปี จึงคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี

ด้วยเป็นห่วงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่อยู่ในห้อง สี่เชวี่ยจึงไม่ยืนกรานและหลบไปด้านข้างทันที

“หรงเซิง เจ้าไปจองห้องพักในเมืองไว้สองห้อง” เห็นหรงเซิงตามมา เสิ่นจงชิ่งก็ออกคำสั่ง

เจินสือเหนียงทั้งร้ายกาจและทิฐิ การตกลงหย่าขาดกับนางใช่ว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆ วันนี้เขาคงไม่ได้กลับไปแล้ว แม้จะเป็นบ้านเดิมของตนเอง แต่เขาไม่อยากพักอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเจินสือเหนียง

ด้วยรู้ว่าแม่ทัพของตนรังเกียจเจินสือเหนียงเพียงใด หรงเซิงจึงขานรับและจากไป

เขาก้าวเข้าไปในลานหลังบ้านผ่านประตูด้านข้าง ทิวทัศน์ยังคงเดิม แต่แออัดมากยิ่งขึ้น เห็นลานบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเยาว์แล้ว เสิ่นจงชิ่งรู้สึกสะท้อนใจยิ่ง

จำได้ว่าพอผ่านประตูนี้มาก็จะพบแปลงดอกไม้เล็กๆ มารดาชอบดอกเบญจมาศที่สุด ทุกปีพอถึงฤดูกาลนี้ ที่นี่จะมีดอกเบญจมาศสีเหลืองทองบานสะพรั่ง กลางคืนเขานั่งอ่านตำราใต้แสงเทียนจะได้กลิ่นหอมโชยมาเป็นระลอก “น่าเสียดายที่พื้นที่แปลงนี้ถูกนำไปปลูกผักจนหมด!” มองแปลงดอกไม้กับลานกว้างในอดีตถูกล้อมด้วยรั้วที่สูงครึ่งจั้ง ข้างในเต็มไปด้วยถั่วฝักยาวที่ปลูกเอาไว้แน่นขนัด ในใจของเสิ่นจงชิ่งอดนึกเสียดายไม่ได้

เดินอ้อมรั้วมาเห็นลานที่เขาใช้ออกกำลังกายในอดีตถูกรั้วสูงครึ่งตัวคนล้อมไว้เช่นกัน ข้างในเลี้ยงไก่ยี่สิบตัว เสิ่นจงชิ่งก็นิ่วหน้า “ผู้หญิงโง่คนนี้!” นางช่างวุ่นวายจริงๆ อยู่กันแค่สามคนจำต้องย่ำยีลานบ้านของเขาจนเละเทะขนาดนี้ด้วยหรือ ยังไม่พูดถึงว่านางนำสินเจ้าสาวก้อนใหญ่ติดตัวมาด้วยตอนย้ายมาที่นี่ แค่สระบัวครึ่งหมู่นั่นก็เลี้ยงปากท้องคนสามถึงห้าคนได้สบายแล้ว!

เห็นสวนที่ตนรักในอดีตถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ เสิ่นจงชิ่งรู้สึกปวดใจยิ่งนัก พอได้กลิ่นฉุนบาดจมูกโชยมาจากเล้าไก่ เขาก็เร่งฝีเท้าจนพ้นเส้นทางแคบๆ ถึงค่อยปล่อยลมหายใจออกมา เงยหน้าเห็นสระบัวที่เต็มไปด้วยใบบัวยังไม่ถูกกระทำย่ำยี โต๊ะและม้านั่งหินริมสระยังอยู่ ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นคอกหมูเล้าไก่ เสิ่นจงชิ่งจึงรู้สึกสบายใจขึ้น

สระบัวขาวแห่งนี้นางบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี เขาคิดพลางทอดสายตามองไปยังเงาร่างในชุดขาวเทาที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินไม่ห่างออกไป ก่อนจะตะลึงงันโดยไม่รู้ตัว

นั่นคือนางหรือ

เจินสือเหนียงสวมเสื้อคอไขว้ลายดอกเล็กๆ ที่ตัดจากผ้าหยาบสีขาวซีด เรือนผมดำขลับเกล้าเป็นมวยง่ายๆ และเสียบด้วยปิ่นไม้อันหนึ่ง บนโต๊ะหินตรงหน้าเป็นกระดานหมาก นางกำลังถือหมากสีดำก้มหน้าครุ่นคิดด้วยสีหน้าอ่อนโยน ดูแล้วเหมือนภาพทิวทัศน์อันสงบเงียบ เสิ่นจงชิ่งอดเผลอมองอย่างหลงใหลไม่ได้

ตั้งแต่เป็นโรคเลือดพร่อง เจินสือเหนียงนอนน้อยมาตลอด ด้วยเกรงว่าหากนอนกลางวันแล้วกลางคืนจะนอนไม่หลับ นางจึงถือโอกาสตอนเหวินเกอ อู่เกอนอนกลางวันหนีมาอยู่ริมสระบัว มือหนึ่งถือหมากสีขาว มือหนึ่งถือหมากสีดำและเดินหมากหาความสุขให้ตนเอง นี่เป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุดในแต่ละวัน

ความบันเทิงในยุคโบราณมีน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะสำหรับคนยากคนจนเช่นนาง แม้แต่หนังสือดีๆ สักเล่มยังตัดใจซื้อไม่ลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไปสังสรรค์หาความสนุกข้างนอก โชคดีที่ชาติก่อนนางเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเล่นหมากล้อม หากจะพูดอย่างจริงจัง สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนางเคยคว้ารางวัลที่สามในการแข่งขันหมากล้อมมือสมัครเล่นด้วยซ้ำไป

หมากที่นางวางกระดานนี้มาจากการแข่งขันหมากล้อมระดับชาติครั้งที่สามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เนี่ยเว่ยผิงกับมาซาโอะ คะโตะประลองฝีมือกัน ดูเหมือนจะเป็นกระดานที่สิบเจ็ด ความทรงจำเลือนรางเล็กน้อย นางถือหมากพลางครุ่นคิด ด้วยรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมา จึงเงยหน้าโดยสัญชาตญาณและตื่นตระหนกขึ้นทันใด

เขามาได้อย่างไรกัน!

วันนั้นถูกนางทำให้ตกใจจนหนีไปแล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงมาอีกแล้วล่ะ

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่ยามเผชิญหน้ากับเสิ่นจงชิ่งอีกครั้ง เจินสือเหนียงไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองว่าเขาจะรู้จักแยกแยะดีชั่วเมื่อประสบความสำเร็จ คิดอยากจะทำดีกับภรรยาที่เคยร่วมทุกข์มาด้วยกัน แค่ชั่ววูบเดียว นางก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เขามา

ถูกต้อง เขามาเพื่อหย่านาง!

ตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ฮ่องเต้โปรดปราน มีคนจับตาดูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการภรรยาที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งและสามารถเข้าออกงานสังคมระดับสูงกับเขาได้ ไม่ว่าจะเข้าออกวังหลวงหรือตำหนักใน ภรรยาที่จะเป็นทั้งผู้ช่วยและหูตาในการรวบรวมอำนาจของเขา

พึงรู้ว่าในสนามการเมือง บางครั้งการคบหาสมาคมระหว่างฮูหยินทั้งหลายสำคัญยิ่งกว่าการคบหากันของขุนนางอย่างพวกเขาเสียอีก!

จวบจนตอนนี้ เจินสือเหนียงยังคงไม่รู้ว่าการแต่งงานของตนเป็นสมรสพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ เขาไม่อาจเป็นฝ่ายหย่านางได้ พวกเขาต้องตกลงหย่าขาดด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น เรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากนางครึ่งหนึ่งด้วย

พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา หัวใจของเจินสือเหนียงก็เต้นแรง

ไม่ว่าจะวิตกอย่างไร สุดท้ายวันนี้ก็มาถึงอยู่ดี!

แม้ว่าอิสรภาพนี้จะเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันถึงมานาน พอคิดว่านับแต่นี้ไปนางจะสามารถเปิดใจรับคนที่จะครองคู่อยู่กับนางไปชั่วชีวิตได้แล้ว นางเองก็ดีใจ เพียงแต่ผู้หญิงสมัยโบราณไม่มีสินส่วนตัว ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่ฝ่ายหญิงสามารถแบ่งทรัพย์สมบัติไปได้ครึ่งหนึ่ง

ในยุคโบราณเช่นนี้ หากเขาหย่านางเมื่อใด นางย่อมถูกขับไล่ออกจากบ้านหลังนี้ทันที

ไม่มีที่อยู่อาศัย เงินสิบกว่าตำลึงที่หามาอย่างยากลำบากก็ทุ่มไปกับยาลูกกลอนจนตอนนี้ไม่เหลือสักแดง แล้วนางกับลูกจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร คิดถึงตรงนี้ ส่วนลึกของดวงตาพลันฉายแววหม่นหมอง แต่เพียงครู่เดียวก็หายวับไป

นางนั่งนิ่งไม่ขยับ ‘แปะ’ จนกระทั่งวางหมากสีดำในมือลงไปอย่างสุขุมมั่นคงถึงค่อยพยุงโต๊ะหินและลุกขึ้น “ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ” น้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าสุขุมเยือกเย็น

แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่า แต่ท่วงทีและกิริยานั้นกลับดูเหมือนองค์หญิงผู้สูงส่งในชุดหรูหรา

ไม่สิ องค์หญิงยังไม่เยือกเย็นเท่านางด้วยซ้ำ!

ท่าทีของนางทำเอาหัวใจของเสิ่นจงชิ่งหดรัดอย่างแรง เขายืนนิ่งมองนางอยู่อย่างนั้น ลืมแม้กระทั่งการเอ่ยวาจา

“ท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” เห็นเขาเงียบ เจินสือเหนียงจึงเข้าประเด็นทันที ในเมื่อเดาจุดประสงค์ของเขาได้ นางเองก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมกับเขาอีก ฟ้าจะมีฝน สตรีจะออกเรือน นางเองก็จนปัญญา แทนที่จะตื๊อเขาและขอร้องอ้อนวอน มิสู้ต่างฝ่ายต่างตัดปัญหาให้เฉียบขาดรวดเร็ว ต่อให้ไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน ไม่มีเงินทองไม่มีที่พึ่งจะน่ากลัว แต่อย่างน้อยนางยังเหลือศักดิ์ศรี นางยังมีเหวินเกอกับอู่เกอ

คิดถึงความลำบากที่ต้องพบเจอในอนาคตแล้ว เจินสือเหนียงก็จิตใจหมองหม่นลง ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยอ่อนโยนขณะมองเสิ่นจงชิ่งอย่างใจเย็น

เสิ่นจงชิ่งได้สติและจ้องมองใบหน้านิ่งเฉยไร้คลื่นอารมณ์ของนาง ส่วนลึกของแววตานิ่งสงบคู่นั้นฉายรอยยิ้มและความเหนื่อยล้าจางๆ บางเบาดุจสายหมอก ทว่ากลับปิดบังความคิดจิตใจทั้งหมดของนางไว้ หัวใจเขากระตุก นี่คือสตรีที่เขาพบในร้านยาเมื่อวันก่อนมิใช่หรือ

วันนั้นนางจงใจ!

คิดได้ดังนี้เสิ่นจงชิ่งก็โกรธโดยไร้สาเหตุ ลืมสนิทว่าที่มาครั้งนี้ก็เพื่อตกลงหย่าขาดกับนางอย่างใจเย็น เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “วันนั้นเจ้าไปร้านยาใช่หรือไม่!”

เจินสือเหนียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามนางเรื่องนี้จึงผงะไป นางพยายามทรงตัวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายมาต่อต้านความรู้สึกคุกคามที่มองไม่เห็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “ใช่”

วันนั้นสี่เชวี่ยถามหลี่ฉี หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงดูแล้ว เสิ่นจงชิ่งไม่รู้ว่าวันนั้นนางไปส่งยา แต่คิดว่านางเป็นคนป่วยที่ไปหาหมอ เจินสือเหนียงจึงตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เสิ่นจงชิ่งเห็นนางโกหกตนเองแล้วยังทำท่าสุขุมเช่นนี้ได้ก็ยิ่งโมโหหนัก “วันนี้ไฉนจึงไม่แต่งกายเฉิดฉันเหมือนวันก่อนเล่า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววประชดเสียดสี ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าก้าวใหญ่และจ้องเจินสือเหนียงอย่างคาดคั้น

หากไม่ใช่เพราะเจ้าโผล่มากะทันหัน ข้าต้องแต่งตัวเฉิดฉันต้อนรับเจ้าแน่!

แม้ใจคิดเช่นนี้ แต่เจินสือเหนียงกลับไม่กล้าพูดออกไปตามตรง “ริมสระบัวลมพัดแรง ข้าภรรยาเกรงว่าจะทำให้เสื้อผ้าสกปรก” ถ้อยคำนางราวกับว่าเสื้อปักลายสีแดงที่แสนจะอัปลักษณ์ตัวนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า หากมิใช่โอกาสสำคัญนางยังเสียดายไม่อยากจะใส่อย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงทันใด มือกำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังกร๊อบๆ ถึงจะควบคุมตนเองไม่ให้สะบัดฝ่ามือออกไปได้ นานทีเดียวเขาจึงพรั่งพรูลมหายใจออกมาแรงๆ

ครั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข้มข้นของบุรุษที่เป่ารดใบหน้า สร้างความรู้สึกชาวาบ เจินสือเหนียงก็ทนนิ่งต่อไปไม่ไหวอีก นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ คิดไม่ถึงว่าจะสะดุดม้านั่งหินข้างหลัง ร่างกายเอียงวูบจนนางเกือบล้มหน้าคะมำ นางหวีดร้องตกใจ มือคว้าม้านั่งหินเปะปะหมายจะลุกขึ้น แต่ม้านั่งหินลื่นเกินไป นางพยายามอยู่นานก็ไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้ นิ้วมือค่อยๆ เลื่อนหลุดจากขอบม้านั่งหิน ร่างกายกำลังดิ่งลงไปในสระบัวอย่างควบคุมไม่อยู่

หมดกัน ที่แท้ชาตินี้ข้าตายอย่างนี้เอง

เจินสือเหนียงทอดถอนใจพลางหลับตาลง แม้ตรงหน้าจะมีบุคคลคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตนางได้ แต่นางดิ้นรนอยู่ตั้งนาน เขากลับไม่ก้าวเข้ามาประคอง เจินสือเหนียงจึงไม่ตั้งความหวังไว้กับเขา แอบคิดในใจด้วยซ้ำไปว่าเมื่อครู่เขาจงใจ หมายจะบีบนางให้ตกน้ำ หากนางตายไปเขาย่อมไม่ต้องเขียนแม้กระทั่งหนังสือหย่า ทั้งยังไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าพอได้ดิบได้ดีก็ทอดทิ้งภรรยาคนเก่าและแต่งภรรยาใหม่ ถูกผู้คนชี้จมูกด่าว่าเป็นเฉินซื่อเหม่ย*ที่ได้ใหม่ลืมเก่า ดีแต่ประจบผู้มีอำนาจ!

นางควรคิดได้แต่แรกว่าเขาชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ควรป้องกันเขาตั้งแต่แรก

ผู้หญิงโง่คนนี้! ไฉนจึงโง่งมจนแม้แต่ม้านั่งก็จับไม่อยู่

เดิมทีคิดว่าเจินสือเหนียงใช้อุบายอีกแล้ว จงใจยืนไม่มั่นคงเพื่อให้เขายื่นมือไปประคอง นางจะได้ถือโอกาสโผเข้ามากอดเขา จากนั้นก็ร้องไห้อ้อนวอนตื๊อให้เขาพานางกลับจวนแม่ทัพ

แต่ก่อนเขาเป็นเพียงขุนนางขั้นหกตำแหน่งเล็กๆ นางยังตามตื๊อไม่เลิก นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คนโปรดขององค์ฮ่องเต้ที่ใครๆ ก็อยากใกล้ชิดกันเล่า

ในเมื่อตั้งใจจะตกลงหย่าขาด เขาก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับนางอีก ดังนั้นเขาจึงยืนมองเจินสือเหนียงดิ้นรนอย่างเย็นชา เฝ้ามองนางเล่นละครจนกระทั่งเห็นนิ้วมือนางค่อยๆ ลื่นหลุดจากม้านั่งหิน ร่างกายค่อยๆ ร่วงลงไปจนแทบจะแตะผิวน้ำอยู่แล้ว เขาถึงร้องอย่างตกใจและกระโจนเข้าไปทันที “สือเหนียง!”

นางไม่ได้ใช้อุบายกับเขา!

แม้จะโอบนางขึ้นมาแล้ว หัวใจเขายังคงเต้นตึกตัก ผู้หญิงสมควรตายผู้นี้ ทั้งที่จะจมน้ำอยู่แล้ว ไฉนนางจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ยังจะนิ่งเฉยใจเย็นเหมือนกำลังจะออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ! คิดจะทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าสังหารภรรยาตนเองอย่างนั้นหรือไร

เมื่อครู่ตอนเห็นนางกำลังร่วงลงไปจริงๆ เขาก็รู้แล้วว่านางไม่ได้เล่นละคร แต่เขายังคงไม่อยากยื่นมือออกไปช่วย คงเป็นเพราะปรารถนาจะได้ยินนางร้องเรียกชื่อเขาอย่างตระหนกลนกระมัง

พอตั้งสติได้ เสิ่นจงชิ่งจึงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกอดปุยฝ้าย ร่างในอ้อมกอดเบาหวิวจนแทบไร้น้ำหนัก เขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ ไฉนร่างกายนางจึงเบาถึงเพียงนี้ จากนั้นคิดถึงคำพูดของหมอในร้านยารุ่ยเสียงที่บอกว่านางเป็นโรคเลือดพร่อง โทสะที่กดเก็บอยู่ในใจเขาจึงหายไปสิ้น

ครอบครัวนางถูกประหารทั้งตระกูล หากเขาตกลงหย่าขาดกับนางจริง นางจะใช้ชีวิตตามลำพังต่อไปอย่างไร

แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ยิ่งไม่ใช่ผู้ชายที่จะหวั่นไหวและสงสารผู้หญิงโดยง่าย แต่ไม่ว่านางจะเคยร้ายกาจเพียงใด ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงของเขา พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ทางกายต่อกัน เห็นร่างกายนางอ่อนแอถึงเพียงนี้ ความคิดแน่วแน่ที่จะตกลงหย่าขาดจึงสั่นคลอน

เจินสือเหนียงเห็นเขายังกอดนางไม่ปล่อยก็หน้าแดงขึ้น รีบออกแรงผลักเขาออกและพูดว่า “ข้าภรรยาขอบคุณท่านแม่ทัพที่ช่วยชีวิต”

เสิ่นจงชิ่งรีบคลายมือออกเมื่อเห็นนางดึงดันจะลุกขึ้นเอง ครั้นเห็นพวงแก้มนางย้อมสีแดงเหมือนเมฆยามเย็น หัวใจเขาก็กระตุกโดยไร้สาเหตุ “เจ้า…” เขาอยากถามว่าเจ้าเป็นโรคเลือดพร่องจริงหรือไม่ แต่ได้ยินเสียงร้องเอะอะของเด็กดังขึ้นข้างหลังเสียก่อน

“ข้าจะไปหาท่านแม่ ข้าจะไปหาท่านแม่!”

เหวินเกอ อู่เกอตื่นแล้ว!

ได้ยินเสียงร้องของลูกชาย เจินสือเหนียงพลันหน้าซีดเผือด

เสิ่นจงชิ่งหันกลับไปทำท่าเหมือนจะมองให้ชัด เจินสือเหนียงหัวสมองขาวโพลน “ท่านแม่ทัพ!” เขาได้ยินนางร้องเรียกเสียงสั่น “…เดินหมากเป็นหรือไม่” นางจำได้เลือนรางว่าดูเหมือนสี่เชวี่ยจะเคยบอกว่าเขาหลงใหลในการเดินหมากอย่างยิ่ง

“เด็กบ้านไหนกัน” เสิ่นจงชิ่งไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของเจินสือเหนียงผิดปกติ สายตายังคงมองตรงไปที่ลานด้านหน้า ลังเลว่าจะเดินไปดูดีหรือไม่

“…ลูกของคนงานที่จ้างมาทำงานระยะสั้น” เจินสือเหนียงตอบอย่างมีไหวพริบ “ถึงเวลาเก็บฝักบัวแล้ว ข้าภรรยาจึงจ้างคนงานมาสองคน”

เสิ่นจงชิ่งส่งเสียงอ้อ ก่อนจะหันกลับมา

เจินสือเหนียงนั่งลงบนม้าหิน “ไหนๆ ก็มาแล้ว ท่านแม่ทัพเดินหมากกระดานนี้เป็นเพื่อนข้าภรรยาดีหรือไม่” เพียงครู่เดียวนางก็คืนสู่ความสุขุมดังเดิม

สตรีคนหนึ่งจะรู้จักเดินหมากด้วยหรือ

ในใจไม่เห็นด้วย แต่สายตายังคงเลื่อนไปบนกระดานหมากตรงหน้า พอเห็นกระดานหมากร่างกายก็พลันสั่นสะท้าน! นี่เป็นกระดานหมากที่นางวางขึ้นเองหรือ เขาไม่เคยเห็นนางเดินหมาก คิดไม่ถึงว่าแนวทางการเดินหมากของนางจะลึกล้ำถึงเพียงนี้!

แนวทางการเดินหมากมีลักษณะคล้ายการบริหารปกครอง ผันแปรได้หลายรูปแบบ มีทั้งความเสี่ยงและอันตราย คล้ายคลึงกับการเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบของเขา เขาจึงลุ่มหลงการเดินหมากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลาวางแผนการวางกระบวนทัพ เขาจะชอบใช้เวลาใคร่ครวญอยู่หน้ากระดานหมากที่มีแต่หมากสีดำและหมากสีขาว

“แต่ก่อนไม่เคยเห็นเจ้าเดินหมากเลย” เสิ่นจงชิ่งนั่งลงตรงข้ามเจินสือเหนียงพลางมองนางอย่างประหลาดใจ

เจินสือเหนียงชี้กระดานหมาก “กระดานหมากสี่เหลี่ยมอันนี้มีทั้งความจริงและความเท็จ มีทั้งสีขาวและสีดำ ข้าชอบเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุดของมัน ชอบการขบคิดไม่สิ้นสุดเช่นนี้”

“เจ้า…” น้ำเสียงเขาชะงักไป “เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเมื่อห้าปีก่อน” ตรงหน้าปรากฏภาพที่เขาอุ้มนางไว้เมื่อครู่นี้อย่างอาวรณ์ แต่นางกลับร้อนใจอยากผลักเขาออก เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะตรงข้ามกับนิสัยเดิมของนางเมื่อห้าปีก่อนอย่างสิ้นเชิง

“เวลาห้าปีเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง” เจินสือเหนียงหนังตาไม่กระตุกด้วยซ้ำ นางยื่นมือไปหยิบหมากสีขาววางลงบนกระดานอย่างมั่นคง

หลังจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง เสิ่นจงชิ่งก็หยิบหมากสีดำขึ้นมาอย่างครุ่นคิด หมากกระดานนี้ลึกล้ำยิ่งนัก ต่อให้ตั้งใจเล่นอย่างเต็มที่ยังไม่แน่ว่าจะชนะ เสิ่นจงชิ่งไม่ตระหนักเลยว่านางได้ยกหมากดำที่มีเค้าว่าจะชนะให้เขาแล้ว

ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องไห้งอแงไม่ยอมอยู่ที่ลานหน้าบ้าน เจินสือเหนียงเงยหน้ามองเสิ่นจงชิ่งที่ถือหมากไว้ไม่ยอมวางลงเสียที “ข้าภรรยาไปชงชาให้ท่านแม่ทัพดีหรือไม่”

“ไปเถอะ” เสิ่นจงชิ่งโบกมือโดยไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ

เจินสือเหนียงจึงลุกขึ้น เดินไปที่ลานหน้าบ้านทันที

 

“ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องโวยวายจะไปลานหลังบ้าน เมื่อเห็นเจินสือเหนียงเดินมาจึงรีบโผเข้าไปหา

“เหวินเกอ อู่เกอตื่นแล้วหรือ” เจินสือเหนียงยิ้มร่าพลางดึงทั้งสองเข้าไปในบ้าน

“ท่านแม่แอบไปเดินหมากคนเดียวอีกแล้ว!” พอเข้าไปในบ้าน เจี่ยนอู่ก็ถามขึ้น “ทำไมไม่ปลุกข้าล่ะ ข้าอยากเดินหมากกับท่านแม่ด้วย!” เด็กสองคนต่างชื่นชอบการเดินหมาก ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจะเก็บกระดานหมากก่อนพวกเขาตื่น วันนี้พอมีเสิ่นจงชิ่งเข้ามากวน นางจึงกลับมาไม่ทัน พอรู้ว่านางเดินหมากอยู่หลังบ้าน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ย่อมงอแงจะเข้ามาเล่นด้วย

“แม่เดินหมากกับสหายเก่าอยู่” ด้วยมีความคิดของคนยุคปัจจุบัน เจินสือเหนียงจึงไม่อยากโกหกลูก

“ใคร พวกเราขอไปดูหน่อย!” เจี่ยนเหวินดึงเจี่ยนอู่จะวิ่งออกไปดู

“ไม่ได้!” เจินสือเหนียงคว้าตัวทั้งสองไว้

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน

“อืม…” เจินสือเหนียงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “แม่กลัวว่าเขาจะพาพวกลูกไป…และไม่ให้แม่พบลูกทั้งสองอีก” นี่ก็เป็นความจริงเหมือนกัน

เขามาเพื่อหย่านาง หากรู้ว่าตนเองมีลูกชายอยู่สองคน เขาต้องพาลูกไปด้วยแน่

เจินสือเหนียงให้เกียรติลูกมาตลอด ไม่เคยโกหกพวกเขา สีหน้านางจริงจังเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องจริงแน่นอน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระโดดเหยง “ข้าไม่อยากจากท่านแม่! ท่านแม่…” เจี่ยนอู่กอดเอวเจินสือเหนียงไม่ปล่อย น้ำเสียงเจือแววสะอื้น “ท่านแม่อย่าทิ้งอู่เอ๋อร์นะ อู่เอ๋อร์จะเป็นเด็กดี”

“เช่นนั้นพวกเจ้าไปซ่อนตัวเถอะ อย่าให้เขาพบ” เจินสือเหนียงถือโอกาสบอกให้ทั้งสองซ่อนตัว

“อืม” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย ตากวาดมองไปรอบด้าน “ข้าจะซ่อนในตู้เสื้อผ้า!” เจี่ยนเหวินเหลือบเห็นตู้เสื้อผ้าบนเตียงเตาก่อน

“ข้าจะหลบใต้โต๊ะ!” เจี่ยนอู่เห็นตู้เสื้อผ้าถูกเจี่ยนเหวินยึดไปแล้ว สายตาจึงเล็งไปที่โต๊ะบนพื้นแทน

ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก พอพูดถึงซ่อนตัว พวกเขาจึงนึกถึงการเล่นซ่อนหาและหาชัยภูมิที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับตนเอง เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางคว้าตัวลูกสองคนที่ทำท่าจะวิ่งไปทั่ว “ไม่ได้ หากเขาเข้ามานั่งในบ้านสองชั่วยาม พวกเจ้ามิอึดอัดแย่หรือ”

“จริงด้วย!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หน้างอง้ำ “แล้วพวกเราจะซ่อนตัวที่ไหนเล่า” สายตามองหาไปรอบๆ

“พวกเจ้าไปอยู่ที่บ้านของอาสี่เชวี่ยก่อน อีกประเดี๋ยวพอเขาไปแล้ว แม่ค่อยไปรับพวกเจ้า” เจินสือเหนียงขยี้หัวเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่ “ดีหรือไม่” คิดว่าจากนี้ไปพวกนางแม่ลูกจะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว น้ำเสียงของเจินสือเหนียงจึงเจือความหมองเศร้าโดยไม่รู้ตัว

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คิดว่านางกลัวพวกเขาจะถูกคนแย่งตัวไป พยักหน้าอย่างเศร้าสลด “ก็คงมีแต่วิธีนี้แล้วล่ะ” น้ำเสียงลำบากใจเจือการยอมรับเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง

แบบนี้ก็ได้ด้วย? บอกไปตามตรงโดยไม่ต้องโกหกเช่นนี้…

สี่เชวี่ยที่อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่รับปากอย่างรวดเร็วก็กะพริบตาปริบๆ แววตาที่มองเจินสือเหนียงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส เมื่อครู่นางก็คิดแบบนี้ แต่ไม่ว่านางกับชิวจวี๋จะเกลี้ยกล่อมหรือบังคับอย่างไรก็หลอกล่อพวกเขาไม่สำเร็จ คิดไม่ถึงว่าแค่ถ้อยคำง่ายๆ ไม่กี่คำของเจินสือเหนียงจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ความสามารถในการหลอกล่อเด็กของคุณหนูเยี่ยมยอดจริงๆ” สี่เชวี่ยใช้มือกดหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยเบาๆ “อีกหน่อยไว้เด็กคลอดออกมาเมื่อไร บ่าวจะต้องมาเรียนรู้กับคุณหนู”

ที่บ้านไม่มีชา เจินสือเหนียงจึงเอาดีบัวตากแห้งมาชงน้ำ ชิมดูแล้วรสขมเล็กน้อย จึงเติมน้ำตาลกรวดลงไป

พอนางยกดีบัวตากแห้งที่นำมาชงแทนชามาที่ลานหลังบ้าน หมากสีดำในมือของเสิ่นจงชิ่งเพิ่งวางลงไปพอดี เขากำลังรอนางพลางนิ่วหน้ามองกระดานหมากอย่างครุ่นคิด เห็นนางเดินมาจึงเอ่ยว่า “ข้าพบว่าหมากบนกระดานเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนสีดำกำลังจะชนะ”

เจ้าเพิ่งจะรู้หรือว่าข้าอ่อนข้อให้!

เจินสือเหนียงบ่นในใจและวางถาดลงอย่างแผ่วเบา หยิบกาขึ้นมารินชาให้เสิ่นจงชิ่งถ้วยหนึ่ง “เชิญท่านแม่ทัพดื่มชา” จากนั้นรินให้ตนเองหนึ่งถ้วยและนั่งลงฝั่งตรงข้าม หยิบหมากสีขาววางลงบนกระดานก่อนตอบว่า “ก่อนท่านแม่ทัพมา ข้าภรรยาเพิ่งจะวางหมากสีดำลงไป จึงถึงตาสีขาวพอดี…”

ความหมายคือนางไม่ได้มีเจตนายอมให้เขา เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

เสิ่นจงชิ่งมองนางอย่างครุ่นคิด ยกถ้วยชาขึ้นมาโดยไม่เอ่ยอะไร

ต่อให้นางเจตนายอมให้เขา แต่หมากตานี้เพิ่งเดินไปยี่สิบกว่าครั้งเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เสิ่นจงชิ่งรู้สึกจนด้วยถ้อยคำ ยื่นมือไปหยิบหมากสีดำกำลังจะวางลง จู่ๆ พลันนิ่วหน้า “นี่คือชาอะไร” รสชาติขม แต่กลับเจือความหวาน

“ชาดีบัว เกรงว่ารสขมไปท่านแม่ทัพจะดื่มไม่ได้ ข้าภรรยาจึงเติมน้ำตาลกรวดลงไป” ชาดีบัวแบบนี้ชาติก่อนมีขายทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต

“ชาดีบัว?” เสิ่นจงชิ่งก้มหน้ามองดีบัวสีเขียวในถ้วยที่จมบ้างลอยบ้าง

เจินสือเหนียงนึกขึ้นได้ทันทีว่าชาวต้าโจวไม่เอาดีบัวมาชงชาดื่มกัน นางตอบหน้านิ่งว่า “ดีบัวทำให้จิตใจปลอดโปร่งและระบายไฟในร่างกาย ทำให้หลับสบาย ข้าภรรยามักจะนอนไม่หลับบ่อยๆ จึงดื่มชานี้เป็นประจำ”

นางไม่มีเงินซื้อใบชากระมัง เห็นเสื้อผ้าของเจินสือเหนียงที่ซักจนขาวซีดแล้ว เสิ่นจงชิ่งก็ทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “รสชาติพอใช้ได้ แต่หวานไปหน่อย” แต่ไรมาเขาไม่ชอบกินของหวาน เขาเอ่ยคำพูดนี้พลางวางหมากในมือลงบนกระดาน

ช่างปรนนิบัติยากเสียจริง!

เจินสือเหนียงเบ้ปากในใจ คว้าหมากสีขาวขึ้นมาวางลงดังแปะ ฆ่ามังกรของเขาอย่างไม่ไว้หน้า!

เสิ่นจงชิ่งกำลังจะหยิบหมากสีดำ มือพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เขาเงยหน้ามองเจินสือเหนียงอย่างตะลึงงัน

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพ่ายแพ้ให้กับสตรี!

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com