ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8
บทที่ 3
เนื่องจากแพ้ให้กับสตรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกไม่ยอมแพ้ในใจของเสิ่นจงชิ่งจึงถูกกระตุ้นขึ้น จนลืมจุดประสงค์เดิมของการมาที่นี่ไปเสียสนิท
“เล่นต่ออีกกระดาน!” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้มหน้าเก็บหมากบนกระดานทันที
ยังจะเล่นต่ออีก? ที่นางทำให้เขาแพ้อย่างรวดเร็วก็เพื่อจะรีบไล่เขากลับไป! เขาเป็นแม่ทัพ มีเงินและมีเวลาว่าง แต่นางยังต้องหาเลี้ยงปากท้อง ไหนเลยจะมีเวลาเดินหมากเป็นเพื่อนเขา เมื่อครู่หากไม่เพราะกลัวเขาจะเห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เข้า นางไม่มีทางเป็นฝ่ายชวนเขาเดินหมากแน่
นางเห็นเสิ่นจงชิ่งยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บหมากก็ได้เพียงโอดครวญในใจ แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบดุจสายน้ำ นางช่วยเขาเก็บหมากอย่างเชื่องช้า ปากถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านแม่ทัพมาที่นี่กะทันหัน ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ”
นี่เป็นการเตือนเขาอย่างแนบเนียนว่าเขามีธุระสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ
“เอ่อ…” มือที่เก็บหมากชะงักค้างอยู่อย่างนั้น เสิ่นจงชิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร เห็นร่างแบบบางที่พร้อมจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อของนางแล้ว เขาใจดำเอ่ยเรื่องตกลงหย่าขาดกับนางไม่ได้จริงๆ
ระหว่างลังเล สี่เชวี่ยถือเสื้อตัวหนาเดินเข้ามา นางย่อกายคำนับเสิ่นจงชิ่งก่อน “คารวะท่านแม่ทัพ” ก่อนจะหันไปหาเจินสือเหนียง “ช่วงหัวค่ำลมเย็น คุณหนูสวมเสื้อเพิ่มอีกตัวเถอะเจ้าค่ะ” พูดพลางห่มเสื้อให้เจินสือเหนียง สายตาหยุดอยู่บนกระดานหมากที่เก็บไปได้ครึ่งหนึ่ง “ในเมื่อเดินหมากเสร็จแล้ว เชิญท่านแม่ทัพเข้าไปนั่งในบ้านดีกว่า”
เสิ่นจงชิ่งเหลือบมองใบหน้าขาวซีดของเจินสือเหนียงและลุกขึ้นเดินนำไปยังลานหน้าบ้าน
เจินสือเหนียงขึงตาใส่สี่เชวี่ยแรงๆ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะดึงหัวข้อสนทนากลับมาได้ ที่เหลือแค่รอให้เขาเอ่ยว่าจะหย่านาง นางพยักหน้าตกลง จากนั้นต่างฝ่ายต่างเลิกรากันไป ง่ายดายยิ่งนัก ไยต้องเชิญเขาเข้าไปในบ้าน ชงชาแล้วเสียเวลาเจรจากันอีกด้วย
แม้ดีบัวจะเป็นผลิตผลที่ได้จากสระบัวในบ้าน แต่นั่นก็เป็นเงินเหมือนกัน เอามาเลี้ยงผู้ชายปากร้ายนิสัยเสียที่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ห่วยจนไม่รู้จะห่วยอย่างไร แถมยังคิดจะหย่าภรรยาเพื่อแต่งงานใหม่แบบเขา นางรู้สึกเสียดายดีบัวจริงๆ
“ร่างกายของคุณหนูทนลมเย็นไม่ได้” สี่เชวี่ยรู้ว่าเจินสือเหนียงไม่อยากให้เสิ่นจงชิ่งเข้าไปในบ้านจึงยอมตากลมอยู่ข้างนอก จึงอธิบายเสียงค่อยพลางเก็บหมากบนโต๊ะหินที่ยังเก็บไม่หมด
เจินสือเหนียงถอนหายใจ “อันนั้นยังไม่ต้องเก็บ เจ้ายกกาน้ำชาเข้าไปก่อน แล้วชงชามาอีกกา” นางไม่อยากยกกระดานหมากล้อมเข้าไปเดินหมากกับเขาต่อในบ้าน
เห็นเจินสือเหนียงไม่ได้ตำหนิอะไร สี่เชวี่ยจึงขานรับและถามว่า “คุณหนูจะให้บ่าวไปเก็บผักมาเตรียมอาหารเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ” ที่นางอยากถามคือเสิ่นจงชิ่งจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่
ในเวลาหนึ่งเดือน เสิ่นจงชิ่งมาที่นี่ถึงสองหน สี่เชวี่ยดีใจเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากให้คุณหนูของนางคืนดีกับท่านแม่ทัพ ถึงอย่างไรลูกของทั้งสองก็โตป่านนี้แล้ว
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงสะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้าน ทิ้งให้สี่เชวี่ยค่อยๆ เก็บข้าวของต่อ
เสิ่นจงชิ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ริมเตียงเตา เห็นนางเข้ามาก็เอ่ยถาม “นี่เป็นหนังสือที่เจ้าอ่านหรือ”
เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปที่มือเขา นั่นเป็นหนังสือภาพจุดชีพจรในร่างกายมนุษย์ที่นางอ่านเป็นประจำ จึงพยักหน้ารับ “ขายหน้าท่านแม่ทัพแล้ว ข้าภรรยาเพียงแต่อ่านฆ่าเวลาเท่านั้น” นางดึงม้านั่งมานั่งลงไม่ห่างจากเสิ่นจงชิ่งนัก ก่อนจะเบนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่ทัพมาวันนี้มีธุระอะไรหรือ”
ในเมื่อเรื่องราวมิอาจแก้ไข นางก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาต่อไปอีก เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังหลบอยู่ที่บ้านของสี่เชวี่ย เด็กๆ อยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุดและมีความอดทนน้อยที่สุด มิอาจมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไม่วิ่งกลับมาที่บ้านกะทันหัน นางควรรีบไล่เสิ่นจงชิ่งกลับไปจะดีที่สุด
เสิ่นจงชิ่งมีสีหน้าแปลกประหลาด เป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้วที่นางถามเขา ไฉนนางจึงซักไม่เลิก ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เขามาที่นี่ถึงสองหน นางคงไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าเขามาวันนี้เพื่อรับนางกลับจวนแม่ทัพกระมัง ถึงได้อดใจรอไม่ไหวเช่นนี้ ร่างกายนางอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากเขาพูดออกไปว่ามาเจรจาตกลงหย่าขาด นางจะเศร้าโศกเสียใจจนสุขภาพทรุดลงหรือไม่ จากนั้น…เขาไม่อยากคิดต่อ
คำตอบที่ได้อย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกข่วนตะกุย หน้าอกพลันแน่นขึ้นมาทันใด
เขามองร่างแบบบางที่ไม่ทนแดดทนลมของนางอีกครั้งพลางคิดในใจว่า ช่างเถอะ รอไปอีกหน่อยแล้วกัน รอให้นางหายดีเสียก่อน ข้าค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้ คิดได้เช่นนี้จึงตอบว่า “ข้าไปจัดการธุระที่ค่ายทหารและบังเอิญผ่านมา” กองทหารของเขาประจำการอยู่ที่เขาเฟิงกู่ที่ห่างไปสามสิบลี้ ควบม้าหนึ่งชั่วยามก็ถึง
นางเดาผิด เขาไม่ได้มาหย่านางหรือ!
แววตาของเจินสือเหนียงฉายความประหลาดใจ หัวใจเต้นตึกตัก หากเขาให้เวลาข้าครึ่งปี ข้าย่อมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้แน่นอน! พอบังเกิดความคิดนี้ เจินสือเหนียงก็แอบวางแผนการในใจ
เมื่อล้มเลิกความคิดที่จะเจรจาตกลงหย่าขาด เสิ่นจงชิ่งก็ไม่รู้จะพูดคุยอะไร
ในห้องเงียบงัน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
เสียงฝีเท้าของสี่เชวี่ยทำลายความเงียบภายในห้อง “เชิญท่านแม่ทัพดื่มชาเจ้าค่ะ” นางวางถาดลงบนโต๊ะตัวเดียวในห้อง ยกกาขึ้นรินน้ำชาและวางลงริมเตียงเตา
เสิ่นจงชิ่งยกชาขึ้นจิบคำหนึ่งและเงยหน้าถาม “ไฉนเจ้าจึงชอบอ่านหนังสือแบบนี้” นางไม่มีความรู้พื้นฐานด้านวิชาแพทย์อ่านพวกนี้ไปมีประโยชน์อะไร มีแต่พวกที่ศึกษาการจี้จุดชีพจรเท่านั้นที่จะอ่านหนังสือประเภทนี้ นี่หาใช่การจงใจหาเรื่องชวนคุย แต่ยามเผชิญหน้ากับนางที่สุภาพอ่อนโยน จู่ๆ เขาก็อยากเข้าใจนางมากยิ่งขึ้น
“ข้า…” กำลังจะตอบ เสียงของหรงเซิงดังเข้ามาก่อน “ท่านแม่ทัพยังรออยู่ที่นี่หรือไม่”
“หรงเซิงกลับมาแล้ว” สี่เชวี่ยรีบเข้าไปต้อนรับ
“จองโรงเตี๊ยมไว้เรียบร้อยหรือยัง” เห็นหรงเซิงเดินเข้ามาในสภาพเหงื่อท่วมตัว เสิ่นจงชิ่งจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมถึงไปนานนัก”
“เรียนท่านแม่ทัพ…” หรงเซิงรับผ้าจากสี่เชวี่ยไปเช็ดเหงื่อและตอบว่า “บ่าวเดินตั้งแต่ทิศตะวันออกของเมืองไปจนสุดทิศตะวันตก แต่เจอโรงเตี๊ยมเพียงสองแห่งเท่านั้น ทั้งยังเต็มหมดแล้ว” เห็นเสิ่นจงชิ่งทำหน้าสงสัยก็เอ่ยต่อว่า “ท่านแม่ทัพไม่ทราบ นี่เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว พ่อค้าจากที่ต่างๆ แห่มาซื้อเม็ดบัวกับของป่าที่นี่ขอรับ”
เม็ดบัวของเมืองอู๋ถงโด่งดังไปทั่วต้าโจว ฤดูใบไม้ร่วงทุกปีจะมีพ่อค้าหลั่งไหลมารับซื้อสินค้าไม่ขาดสาย อีกทั้งยังให้ราคาสูงกว่าที่อื่น เดิมทีหรงเซิงสามารถยกเอาชื่อเสียงของท่านแม่ทัพมาขู่ให้ผู้อื่นหาห้องพักให้สักห้องได้ แต่หากทำเช่นนั้น ใช้เวลาไม่นานทั้งเมืองอู๋ถงย่อมรู้ว่าท่านแม่ทัพของเขาค้างคืนอยู่ในโรงเตี๊ยม เกรงว่าคงแห่กันมาเยือนเป็นแน่
เรื่องนี้ไม่น่ากลัว ที่หรงเซิงเป็นห่วงคือหากเรื่องที่ท่านแม่ทัพของเขาตื่นแต่เช้าเพื่อมาเยี่ยมเจินสือเหนียงแพร่ออกไป เชื่อว่าสตรีในจวนแม่ทัพเหล่านั้นคงจะอาละวาดเป็นการใหญ่แน่ เรื่องที่เสิ่นจงชิ่งจะตกลงหย่าขาดกับเจินสือเหนียงมีเพียงมารดาเขาเท่านั้นที่รู้ นอกจากนี้แล้วเขาไม่ได้บอกใคร แน่นอนว่าหรงเซิงเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพจะลองไปดูที่ว่าการอำเภอหรือไม่” เจินสือเหนียงหลุบตาครุ่นคิด “บางทีอาจมีที่พักชั่วคราวสามารถพักอาศัยได้” ต่อให้ไม่มีที่พักชั่วคราว คฤหาสน์ของนายอำเภอใหญ่โตขนาดนั้นย่อมให้พวกเขาค้างคืนได้สบาย นางไม่อยากให้เขาพักอยู่ที่นี่
“ขืนแจ้งทางการ คืนนี้ข้าคงไม่ได้นอน” เสิ่นจงชิ่งวางหนังสือในมือ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองแสงสนธยาสีแดงเข้มข้างนอกเงียบๆ อยู่นานก่อนจะหันกลับมา “วันนี้มืดแล้ว พักที่นี่แล้วกัน หรงเซิง เจ้าไปจัดการเก็บรถม้าให้ดี” วาจาเอ่ยกับหรงเซิง แต่สายตากลับจ้องเจินสือเหนียงไม่กะพริบ
พักที่นี่?
หากเขาพักที่นี่ แล้วเหวินเกอ อู่เกอจะทำอย่างไร
กลัวอะไรมักได้อย่างนั้นจริงๆ เจินสือเหนียงเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้าอย่างสุขุม “เช่นนั้นข้าภรรยาไปเตรียมอาหารเย็นให้ท่านแม่ทัพก่อนแล้วกัน”
ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านเขา มีแต่เขาที่มีสิทธิ์ไล่นางออกไป เขามีสิทธิ์ในที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์ อย่าว่าแต่พักค้างคืนที่นี่เลย ต่อให้เขาต้องการให้นางทำหน้าที่ของภรรยา นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ข้อนี้เจินสือเหนียงตระหนักดี
เสิ่นจงชิ่งเพ่งพิศนางอยู่นานก็มิอาจจับอารมณ์ใดๆ จากสีหน้าของนางได้ เขารู้สึกผิดหวังเมื่อมองผู้หญิงตรงหน้าไม่ออกเลย นางดูสุภาพอ่อนโยน สงบนิ่งเหมือนทะเลสาบอันราบเรียบ ได้อยู่ใกล้นางแล้วชวนให้สบายใจ แต่กลับไม่มีทางรู้ได้ว่าทะเลสาบนี้ลึกแค่ไหน ยิ่งไม่มีทางมองเห็นคลื่นที่ปั่นป่วนอยู่เบื้องล่าง
การตัดสินใจพักที่นี่ เขาเองก็ขัดแย้งกับตนเองไม่น้อย ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นเหมือนฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในใจเขา ยากที่จะลืมเลือน จวบจนตอนนี้แม้จะเห็นกับตาว่านางสุภาพอ่อนโยน เห็นท่าทีสงบสำรวมของนาง เห็นว่าทั่วร่างนางแผ่กลิ่นอายสันโดษไม่ลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ เขาก็ยังคงรู้สึกไม่เหมือนจริง ถึงขั้นสงสัยว่านางใช้เวลาห้าปีเรียนรู้ทักษะการเดินหมากจนฝีมือล้ำลึกเพราะรู้ว่าเขาชื่นชอบการเดินหมาก คิดจะใช้เรื่องนี้มาทำให้เขาลุ่มหลงหรืออย่างไรกัน
เขากลัวว่าหากค้างคืนที่นี่ นางจะเข้ามาเกาะแกะเขาไม่ยอมปล่อยเหมือนเมื่อห้าปีก่อน เกลี้ยกล่อมให้เขารับนางกลับจวนแม่ทัพ จากนั้นคิดหาวิธีทรมานเขาสารพัด แม้ส่วนลึกในใจเขาจะรู้สึกว่านางในตอนนี้ไม่ทำอย่างนั้น แต่ใครจะรับรองได้ว่าการกระทำของนางในวันนี้ไม่ใช่อุบายหรือแผนการ
ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้ว คืนนี้เขาจะพักที่นี่ แต่หากคืนนี้นางเข้ามาเกาะแกะ เขาจะไม่ใจอ่อนอีกและขับไล่นางออกจากบ้านบรรพบุรุษทันที! หากนางไม่ยอมตกลงหย่าขาดแต่โดยดี เขาจะฆ่านางซะ!
พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เคยมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันแล้ว การที่เขาบอกจะค้างคืนที่นี่ย่อมเป็นการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่ง ต่อให้นางโผเข้าใส่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขาอายุน้อยๆ แต่กลับมีฐานะสูงส่ง อีกทั้งรูปโฉมยังหล่อเหลาน่าหลงใหล อย่าว่าแต่ภรรยาที่แต่งงานกับเขาและเคยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเขาแล้วเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนเห็นเขาแล้วยังจ้องตาค้าง คิดหาหนทางกระโจนเข้าใส่ด้วยกันทั้งนั้น
เสิ่นจงชิ่งใช้วิธีนี้ทดสอบดูว่านิสัยนางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่ จำต้องยอมรับว่าร้ายกาจนัก!
แต่เขาเองก็จนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมฝันร้ายเหมือนเมื่อห้าปีก่อนอีกครั้งแน่ ที่สำคัญกว่านั้นคือแค่อยู่กับนางในช่วงบ่าย ผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาแล้ว ความรู้สึกนี้น่ากลัวยิ่ง เหมือนเวลานำทัพออกรบ เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นข้างกายเด็ดขาด
“ไปเตรียมเถอะ” พอตัดสินใจได้และเห็นเจินสือเหนียงยังมองตนอยู่ เสิ่นจงชิ่งพยักหน้า “ไม่ต้องยุ่งยาก เอากับข้าวง่ายๆ ก็พอ”
เจ้าอยากยุ่งยาก ที่นี่ก็ไม่มีให้หรอก! เจินสือเหนียงยิ้มเยาะในใจ ทว่าปากกลับตอบว่า “ข้าภรรยาจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้ แต่ท่านแม่ทัพกินอาหารรสเลิศจนชิน อย่าได้รังเกียจว่าอาหารที่นี่ต่ำต้อยก็พอ”
เสิ่นจงชิ่งเพียงยิ้ม ไม่ได้กล่าวอันใด
ในครัว สี่เชวี่ยก่อไฟไว้แล้ว ชิวจวี๋จับปลาไนตัวใหญ่สองตัวเข้ามา ส่วนเจินสือเหนียงเอาแต่หั่นเห็ดหอมโดยไม่พูดไม่จา สี่เชวี่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ให้บ่าวไปจับไก่มาอีกสักตัวเถอะเจ้าค่ะ ไก่ตุ๋นเห็ดหอมฝีมือคุณหนูอร่อยเป็นพิเศษ” เสิ่นจงชิ่งฐานะสูงส่ง อาหารที่กินในแต่ละวันหรูหราเลิศรส สี่เชวี่ยกลัวว่าอาหารที่ตระเตรียมกันอยู่นี้จะดูกระจอกเกินไป
เจินสือเหนียงเอาแต่ก้มหน้าหั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นบางๆ อย่างไม่รีบร้อน
เห็นนางไม่ตอบ สี่เชวี่ยจึงเติมฟืนลงในเตาและจับแท่นเตาลุกขึ้น จากนั้นเช็ดมือกับผ้าและก้มหน้าร้องบอกชิวจวี๋ที่กำลังขอดเกล็ดปลาว่า “ชิวจวี๋ เจ้าไปช่วยข้าจับไก่ที่หลังบ้านก่อน” นางท้องอยู่ ไม่กล้าเล่นซ่อนหากับแม่ไก่แก่ที่บินร่อนไปมาพวกนั้น
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงกล่าวโดยไม่เงยหน้า ยังคงหั่นเห็ดหอมต่อไป
“คุณหนู!”
“ไก่ยังต้องเก็บไว้ออกไข่”
“ขาดไปตัวเดียวก็ไม่เป็นไรนี่เจ้าคะ”
เจินสือเหนียงปรายตามองหน้าท้องของสี่เชวี่ยที่นูนขึ้นนิดๆ “อีกไม่กี่เดือนเจ้าจะคลอดแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องสะสมไข่ไก่ให้เจ้าพอกินได้หนึ่งเดือน” ด้วยที่บ้านยากจน สี่เชวี่ยต้องอยู่เดือน ที่นางเตรียมให้อีกฝ่ายได้ก็มีแต่ข้าวฟ่าง ไข่ไก่ และแม่ไก่แก่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
“บ่าวบอกแล้วว่าแม่ไก่แก่ตัวนั้นเราได้กำไรแล้ว คุณหนูไม่ต้องกังวล” สี่เชวี่ยชี้กับข้าว “มีผู้ชายตัวโตเพิ่มมาอีกสองคน รวมแล้วก็ตั้งเจ็ดแปดคน กับข้าวแค่นี้จะพอได้อย่างไร”
โบราณว่าคิดจะมัดใจชาย ก่อนอื่นต้องปรนเปรออาหารการกินให้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งกินข้าวที่นี่ จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด
“กับข้าวน้อยไปหน่อยจริงๆ” เจินสือเหนียงมองเห็ดหอมในจานที่หั่นเสร็จเรียบร้อย พยักหน้ารับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย “เจ้าไปเด็ดถั่วฝักยาวมาอีกหนึ่งกระจาด แล้วล้างหัวมันมาอีกหลายๆ หัว ของพวกนี้ทั้งอิ่มท้องและมีประโยชน์” ดูจากรูปร่างแล้ว ผู้ชายสองคนนั้นต้องกินจุมากแน่ๆ
“ของพวกนั้นเอาไว้เลี้ยงหมู” สี่เชวี่ยบ่นเสียงค่อย จะให้แม่ทัพใหญ่มากินของแบบเดียวกับที่พวกนางกินได้อย่างไร
“ในยุคข้าวยากหมากแพงก็อาศัยหัวมันนี่แหละเลี้ยงชีพ!” เจินสือเหนียงหันไปหยิบหัวหอมออกมาสองสามหัว
เห็นผู้เป็นนายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สี่เชวี่ยได้เพียงถอนใจและหยิบกระจาดเดินออกไป
ลูกปลาสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลือง ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจึงยึดหลักเลี้ยงปลาให้โตก่อนค่อยกิน ชิวจวี๋ยึดคำสอนของนางอย่างเต็มที่ ตั้งใจจับปลาขนาดใหญ่พิเศษมาให้ ครั้นเห็นว่าแค่ปลาสองตัวก็เต็มกะละมังแล้ว นางจึงตัดสินใจแล่เนื้อปลาออกมาม้วนเป็นคำและใช้ส่วนที่เหลือต้มน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา หั่นรากบัวและยัดไส้ด้วยข้าวเหนียว เอาหัวมันไปตุ๋นกับถั่วฝักยาว ทำไข่ม้วนเห็ดอีกจาน และต้มข้าวเหนียวกับพุทราแดงอีกหม้อ ผักดองทำสำเร็จไว้อยู่แล้ว แค่หนึ่งชั่วยาม อาหารเย็นที่อุดมสมบูรณ์ก็พร้อมกินได้ นางเก็บกับข้าวส่วนของเหวินเกอ อู่เกอไว้ก่อนและให้ชิวจวี๋ส่งไปที่บ้านของสี่เชวี่ย อาหารที่เหลือค่อยยกขึ้นโต๊ะ
เมื่อเห็นอาหารหยาบๆ บนโต๊ะที่ประกอบด้วยกับข้าวสี่น้ำแกงหนึ่งกับผักดองอีกสองอย่าง เสิ่นจงชิ่งลอบเสียใจ หากรู้แต่แรกว่านางทำอาหารดีๆ ออกมาไม่ได้ เขาควรให้หรงเซิงไปสั่งอาหารที่หอสุรามาสักโต๊ะ
“ท่านแม่ทัพดื่มโจ๊กหรือไม่” เจินสือเหนียงชูถ้วยขึ้นมาหนึ่งใบ
มีเสิ่นจงชิ่งอยู่ ชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะกับนาง แต่ตักกับข้าวไปกินที่เรือนตะวันตกกับหรงเซิงสามคน ในเรือนตะวันออกเหลือเพียงเจินสือเหนียงคอยปรนนิบัติเสิ่นจงชิ่ง
“ข้าไม่ชอบของหวาน” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า
เจินสือเหนียงแลบลิ้นในใจ ตอนเดินหมากดูเหมือนเขาจะบอกนางแล้ว แต่นางลืมสนิท ยังจะต้มโจ๊กพุทราแดงอีก ดูแล้วเหมือนจงใจเป็นปรปักษ์กับเขา ในใจลอบถอนหายใจ แต่ภายนอกกลับนิ่งเฉย ถามต่อว่า “เช่นนั้นท่านแม่ทัพดื่มน้ำแกงปลาสักชามเถอะ ปลานี้เพิ่งเชือด เป็นปลาที่เลี้ยงในสระบัวของบ้านเราเอง ทั้งสดและนุ่ม”
“อืม” เสิ่นจงชิ่งผงกศีรษะ มองแผ่นม้วนบางๆ ที่มีสีเหลืองสลับขาวและถามว่า “นี่คืออะไร” เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไข่ม้วนเห็ด” เจินสือเหนียงตักโจ๊กให้ตนเองหนึ่งชามและนั่งลงตรงข้ามเขา “ทอดไข่ให้เป็นแผ่น จากนั้นวางเห็ดหอมกับหัวหอมที่หั่นแล้วลงไป รอให้ไข่เริ่มแข็งแล้วพับทบเป็นขนมเปี๊ยะ” นี่เป็นอาหารที่นางดัดแปลงมาจากพิซซ่า เป็นของโปรดของเจี่ยนเหวินและเจี่ยนอู่ หากมิใช่เพราะรับปากกับเด็กทั้งสองไว้ก่อนแล้วว่าคืนนี้จะทำไข่ม้วนเห็ด นางไม่ยอมฟุ่มเฟือยทำอาหารจานนี้ให้เขาหรอก
หลังแนะนำเสร็จ เจินสือเหนียงเงยหน้า เห็นชายหนุ่มกำลังมุ่นคิ้วมองผักก้อนนึ่งแป้งข้าวโพดที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมบิดเบี้ยว หน้าตาอัปลักษณ์ในจานตรงหน้า จากนั้นนั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบ
เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจอีกครั้ง เขากินดีอยู่ดีจนเคยตัว อาหารพื้นๆ เช่นนี้แค่เห็นเขาคงหมดความอยากอาหารไปแล้ว ราวกับไม่เห็นอาการผิดปกติของเสิ่นจงชิ่ง เจินสือเหนียงคีบไข่ม้วนวางลงในชามเขา “ท่านแม่ทัพลองชิมฝีมือของข้าภรรยาดูสิ” ส่วนตนเองแบ่งผักก้อนนึ่งแป้งออกมากินครึ่งหนึ่ง ปากไม่ลืมแนะนำว่า “นี่เป็นของที่เพิ่งนึ่งเมื่อตอนเที่ยง ใช้หัวไช้เท้ากับกุ้งป่นหมักทำเป็นไส้”
เนื่องจากไม่มีปัญญาซื้อแป้งข้าวเจ้ามากิน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ไม่ชอบที่แป้งข้าวโพดหยาบ กลืนยาก เจินสือเหนียงจึงเอาแป้งข้าวโพดมาผสมกับแป้งข้าวเจ้าทำเป็นผักก้อนนึ่งแป้งและเปลี่ยนไส้ให้ต่างออกไปทุกวัน
เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย เสิ่นจงชิ่งจึงหยิบผักก้อนนึ่งแป้งไปลองกัดกินคำหนึ่ง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป จากนั้นจึงกัดกินคำใหญ่
โจ๊กร้อนมาก เจินสือเหนียงใช้ช้อนค่อยๆ ตักกิน นานทีเดียวกว่าจะหมดชาม พอเงยหน้าถึงเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งกวาดผักก้อนนึ่งแป้งทั้งจานลงท้องรวดเดียวหมด กับข้าวทั้งสี่อย่างก็พร่องไปกว่าครึ่ง เห็นนางเงยหน้า เขาพูดด้วยท่าทางเหมือนอยากจะกินอีก “ผักก้อนพวกนี้รูปร่างอัปลักษณ์ คิดไม่ถึงว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้ สมัยเป็นเด็กข้าเคยกินแป้งข้าวโพด แต่ไม่เห็นจำได้ว่าอร่อยเช่นนี้”
“ผักก้อนพวกนี้ผสมแป้งข้าวเจ้าเข้าไปด้วย” เจินสือเหนียงยิ้มตอบ
“ข้าก็ว่าแล้ว” เขามองเจินสือเหนียง “ยังมีอีกหรือไม่” เห็นนางทำท่าตะลึง เขาจึงอธิบายเก้อๆ ว่า “ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน พอนั่งลงกินข้าวถึงได้รู้สึกว่าหิวเป็นพิเศษ”
แล้วใครกันที่นั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบอยู่ตั้งนาน เจินสือเหนียงค่อนขอดในใจ แต่ไม่พูดออกมา “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะมา ตอนเที่ยงจึงนึ่งไว้หม้อเดียวเท่านั้น พวกสี่เชวี่ยแบ่งไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีแล้ว” นางคีบผักก้อนนึ่งแป้งในจานตนเองที่ถูกแบ่งกินไปครึ่งหนึ่งให้เขา “ข้าดื่มโจ๊กได้ อันนี้ท่านแม่ทัพกินเถิด”
มองรูปร่างผ่ายผอมของนางแล้ว เสิ่นจงชิ่งส่งผักก้อนนึ่งแป้งคืนไปให้ “เจ้ากินเถอะ ตักโจ๊กให้ข้าก็ได้” น้ำเสียงราบเรียบเป็นธรรมชาติ แม้แต่เขาเองยังไม่ตระหนักว่าบทสนทนาโต้ตอบง่ายๆ นี้เจือความห่วงใยเอาไว้ด้วย
เขาไม่กินของหวานมิใช่หรือ เจินสือเหนียงประหลาดใจ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ตักโจ๊กให้เขาตามคำสั่ง
หลังกินข้าวเสร็จ เจินสือเหนียงนำสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เก็บชามตะเกียบ ส่วนเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงไปเดินเล่นริมสระบัวหลังบ้าน “เจ้าว่านายหญิงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” เสิ่นจงชิ่งก้าวเดินช้าๆ ดวงตาฉายความสงสัย
“นายหญิงใหญ่เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อห้าปีก่อนขอรับ” หรงเซิงกะพริบตาท่ามกลางความมืด “แม้แต่บ่าวเองยังไม่กล้าเชื่อว่านายหญิงใหญ่จะยอมรับสภาพในปัจจุบันได้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จู่ๆ เสิ่นจงชิ่งก็หันมา “เจ้าว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้”
“มนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้…” หรงเซิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก ไม่ว่าศักดิ์ศรีหรือทิฐิล้วนหายไปหมด” นิสัยเดิมของนายหญิงใหญ่มิใช่เพราะถูกครอบครัวบ่มเพาะมาหรอกหรือ เขานึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้ามองเสิ่นจงชิ่ง “บ่าวเห็นพวกนางดูเหมือนจะใช้ชีวิตลำบากมาก ในบ้านของนายหญิงใหญ่ ตู้เก็บของใบเดียวที่อยู่บนเตียงเตาขาวซีดหมดแล้ว บ่าวชั้นต่ำสุดในจวนพวกเรายังมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่านี้ หากไม่ได้เห็นกับตาว่านายหญิงใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น บ่าวคงคิดว่าตนเองเดินเข้ามาในห้องเก็บของของผู้ใดเป็นแน่” เขาลอบสังเกตสีหน้าของเสิ่นจงชิ่งอย่างระมัดระวังผ่านแสงจันทร์จางๆ ได้เห็นกับตาว่าเจินสือเหนียงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ หรงเซิงเองก็สงสารและอยากจะพูดแทนนาง แต่เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะตรงกันข้าม
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในกองทัพและฟาดฟันศัตรูในสมรภูมิอย่างไม่รู้สึกรู้สา เสิ่นจงชิ่งหาใช่คนช่างสงสารเห็นใจผู้อื่นไม่
หรงเซิงเห็นเสิ่นจงชิ่งหมุนตัวกลับไปและเดินต่อ เขาจึงวิ่งเหยาะๆ ตาม “ตอนอยู่จวนจ้วงหยวนไม่เคยเห็นนายหญิงใหญ่เข้าครัวทำอาหาร คิดไม่ถึงว่าฝีมือการทำครัวของนายหญิงใหญ่จะยอดเยี่ยมขนาดนี้ กับข้าวดูแล้วไม่มีเนื้อสักเท่าไร แต่กินแล้วกลับอร่อยมาก โดยเฉพาะไข่ม้วนเห็ด อร่อยยิ่งนัก ยังมี…” เขาเกาหัวเขินๆ “ผักก้อนนึ่งแป้งถูกบ่าวเหมาไปเกือบหมดจาน ดูเหมือนชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยจะกินไม่อิ่มด้วย” คิดถึงท่าทางยามชิวจวี๋เบิกตากว้างมองเขากินผักก้อนนึ่งแป้งชิ้นสุดท้ายลงไปเหมือนมองสัตว์ประหลาด ใบหน้าของหรงเซิงก็ร้อนผ่าว
เขาเป็นบ่าวที่คอยติดตามเสิ่นจงชิ่ง อาหารหรูเลิศประเภทใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเห็น แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาแย่งของกินกับผู้หญิง บัดนี้ย้อนคิดดูแล้ว เมื่อครู่ไฉนเขาต้องไปแย่งผักก้อนนึ่งแป้งชิ้นนั้นกับนางด้วยนะ เหมือนมีภูตผีดลใจอย่างนั้นแหละ ราวกับว่าเขาไม่เคยกินไม่เคยเห็นมาก่อน ช่างน่าอับอายเหลือเกิน
ครั้นคิดได้ว่าสุดท้ายบนโต๊ะก็เหลือเพียงหัวมันตุ๋นถั่วฝักยาวครึ่งชาม แม้แต่ผักดองสองจานนั้นยังถูกเขาเอาไปกินกับโจ๊กจนหมด เสิ่นจงชิ่งจึงลูบหน้าท้องที่ตึงเพราะความอิ่ม ใบหน้าฉายแววพอใจอย่างหาได้ยาก
ฝีมือทำอาหารของนางยอดเยี่ยมมากจริงๆ อีกหน่อยหากกินอาหารในจวนจนเบื่อ สามารถมาเปลี่ยนรสชาติที่นี่ได้ เขาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่กลับลืมไปสนิทว่าถ้าพวกเขาตกลงหย่าขาดกัน เจินสือเหนียงจะยังยอมปรนนิบัติเขาอย่างว่าง่ายแบบนี้อีกหรือ
“อาหารมื้อนี้ของพวกเราคงทำให้เสบียงหลายวันของพวกนางหมดไป พรุ่งนี้ก่อนเดินทางกลับเจ้าไปหาซื้อข้าวสารกับเนื้อหมูมาชดเชยให้พวกนาง”
“ขอรับ!” พูดมาตั้งมากมาย หรงเซิงรอคอยประโยคนี้อยู่นี่แหละ เขาไม่อยากเป็นคนที่กินของผู้อื่นเปล่าๆ ในสายตาของชิวจวี๋
หลังกลับจากเดินเล่น เห็นสี่เชวี่ยสั่งให้ชิวจวี๋หอบผ้านวมกึ่งใหม่ผืนหนึ่งเข้ามา พอเห็นพวกเขากลับมา สี่เชวี่ยคว้าตัวชิวจวี๋หลบไปอีกทาง
หรงเซิงถาม “หอบสิ่งนี้มาทำไม”
“ผ้านวมที่บ้านมีไม่พอ บ่าวจึงกลับไปเอามาจากที่บ้านอีกผืนเจ้าค่ะ”
หรงเซิงมองเสิ่นจงชิ่งอย่างตกตะลึง นัยน์ตาของเสิ่นจงชิ่งฉายความประหลาดใจเช่นกัน เขาก้าวเข้าไปในเรือนโดยไม่เอ่ยอะไร
หลังวางผ้านวมลง สี่เชวี่ยหันไปบอกหรงเซิงว่า “คืนนี้ต้องรบกวนหรงเซิงไปพักที่บ้านของบ่าวชั่วคราว บ้านของบ่าวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก หลังสระบัวไปนี่เอง”
ให้หรงเซิงไปที่บ้าน? แล้วเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่ไหนล่ะ
ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งจะค้างที่นี่ นางอุตส่าห์ไปบ้านสี่เชวี่ยเกลี้ยกล่อมเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ให้รับปากค้างคืนที่นั่น ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงจึงนิ่วหน้า เห็นสี่เชวี่ยพูดอย่างขึงขังจริงจัง นางได้แต่ข่มความสงสัยในใจและยืนดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ
“ไปบ้านเจ้า?” เขายังต้องรับใช้ท่านแม่ทัพนี่นา หรงเซิงชี้ไปที่หลังบ้าน “ด้านหลังยังมีห้องอยู่อีกมิใช่หรือ” เมื่อกี้ตอนเดินเล่นกับท่านแม่ทัพ เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลังบ้านยังมีเรือนมุงกระเบื้องอยู่อีกสี่ห้าห้อง
“เรือนด้านหลังยังไม่ได้เก็บกวาด อีกทั้ง…” สี่เชวี่ยเหลือบมองเจินสือเหนียง “ที่บ้าน…ก็ไม่มีผ้านวมแล้วด้วย” ให้เสิ่นจงชิ่งนายบ่าวพบว่าพวกนางใช้ชีวิตลำเค็ญถึงขั้นนี้ สี่เชวี่ยรู้สึกอาย น้ำเสียงที่ตอบจึงขาดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว
“ไฉนจึงอัตคัดถึงขั้นนี้ได้” หรงเซิงพึมพำพลางหันไปมองเสิ่นจงชิ่ง
“เจ้าไปเถอะ” เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้า
ขนาดเรือนหลักยังอัตคัดขนาดนี้ หรงเซิงจินตนาการได้ว่าเรือนด้านหลังจะอเนจอนาถขนาดไหน เขาพยักหน้า “เช่นนั้นพรุ่งนี้บ่าวจะมารับใช้ท่านแม่ทัพแต่เช้านะขอรับ”
เสิ่นจงชิ่งไม่ตอบ
สี่เชวี่ยหันไปสั่งชิวจวี๋ “เจ้าพาหรงเซิงไปก่อน ที่นี่มีข้ากับคุณหนูก็พอแล้ว”
ชิวจวี๋รับคำ “เชิญพี่หรงตามข้ามา”
หรงเซิงเดินตามชิวจวี๋ไป
สี่เชวี่ยกำลังจะถอดรองเท้าปีนขึ้นไปบนเตียงเตาปูผ้านวม พลันนึกได้ว่าครึ่งเดือนก่อนเลิกจ้างแม่นม เจินสือเหนียงกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พักอยู่ในเรือนตะวันออก ผ้าห่มของพวกเขาอยู่ในตู้!
คิดไม่ถึงว่าเรื่องยืมผ้านวมจะถูกเสิ่นจงชิ่งพบเห็นเข้า เมื่อกี้ตอนไล่หรงเซิงไปนอนที่อื่น นางยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าที่บ้านไม่มีผ้านวมแล้ว บัดนี้ขืนให้เขาเห็นว่าในตู้ยังมีเครื่องนอนอยู่อีก เสิ่นจงชิ่งจะคิดอย่างไร
หรือจะบอกไปตามตรงว่าของพวกนั้นเป็นของลูกชายเขา ผืนเล็กเกินไป เขาใช้ไม่ได้แน่นอน สี่เชวี่ยเหลือบมองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจ ลึกๆ ในใจนางยังหวังว่าเจินสือเหนียงจะบอกความจริงเรื่องที่ตนเองมีลูกให้เสิ่นจงชิ่งรู้ พวกนางจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้
เห็นในห้องเหลือเพียงพวกเขาแล้ว เสิ่นจงชิ่งหันไปมองเจินสือเหนียง
เจินสือเหนียงรินน้ำชาให้เขาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านแม่ทัพนั่งสักครู่ก่อน” นางหันไปสั่งสี่เชวี่ย “เตียงเตาเช็ดทำความสะอาดแล้ว เจ้าปีนขึ้นไปเอาเครื่องนอนของข้ากับชิวจวี๋ลงมาและย้ายไปไว้เรือนหลังตรงข้าม ส่วนเครื่องนอนชุดนี้ปูให้ท่านแม่ทัพ” เจินสือเหนียงลอบดีใจ โชคดีที่ชิวจวี๋ตัวเล็ก หาไม่หากเขาพบว่าผ้านวมสั้นกว่าขนาดตัวกว่าครึ่งจะต้องแย่แน่
ที่ผ่านมาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ห่มผ้าผืนเดียวกันตลอด ขนาดผ้านวมจึงใกล้เคียงกับของผู้ใหญ่ แต่ฟูกจะสั้นกว่ามาก
เห็นเจินสือเหนียงไม่มีทีท่าจะค้างที่นี่ ใจของเสิ่นจงชิ่งผ่อนคลายขึ้นมาก ไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของสี่เชวี่ยเมื่อครู่แม้แต่น้อย
สี่เชวี่ยขยิบตาอย่างซุกซน คุณหนูของนางช่างฉลาดจริงๆ
นางถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงเตา ปูเครื่องนอนที่ยืมมาให้เรียบร้อยและหยิบฟูกกับผ้านวมของเจินสือเหนียงแม่ลูกออกมาจากตู้ กำลังจะลงพื้นก็เห็นเจินสือเหนียงมารับผ้านวมไป จึงรีบร้องห้าม “คุณหนูวางลงเถอะเจ้าค่ะ ให้บ่าวจัดการเอง”
“ข้าถือดีกว่า ร่างกายเจ้าหนัก ระวังจะสะเทือนถึงครรภ์”
“ข้าเอง” เห็นทั้งสองแย่งกัน เสิ่นจงชิ่งลุกขึ้นรับเครื่องนอนสองชุดไปถือไว้เอง “จะวางที่ไหน” เขาไม่ได้อยากทะนุถนอมสตรี แค่ไม่อยากรังแกคนป่วย
ผู้หญิงสองคนนี้ คนหนึ่งตั้งครรภ์ คนหนึ่งอ่อนแอบอบบาง ไม่เหมาะจะปรนนิบัติผู้อื่นสักคน
“ไม่ได้เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
เจินสือเหนียงมองสี่เชวี่ยอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตระหนัก ใช่ ในชาติก่อนของนางนี่ถือเป็นงานของผู้ชาย แต่ที่นี่งานของบ่าวจะรบกวนท่านแม่ทัพผู้สูงส่งอย่างเขาได้อย่างไร นางนึกเสียใจที่ตนเองปากหนักเกินไป อยากจะห้ามเขา แต่เห็นเขาหอบเครื่องนอนไปแล้ว จึงหลบไปด้านข้างช่วยเปิดประตูให้
ไฉนจึงหนักเช่นนี้? เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเหมือนตนเองกำลังอุ้มเหล็ก เขาคิดถึงตอนกลางวันที่ช่วยนางไว้ คิดถึงร่างกายเบาหวิวปานปุยนุ่นของนาง ร่างกายแบบบางเช่นนั้นจะทนรับการกดทับของผ้านวมที่หนาหนักเหมือนเหล็กได้อย่างไร คิดเช่นนี้จึงหอบเครื่องนอนเดินย้อนกลับมา
“ท่านแม่ทัพจะทำอะไร” เจินสือเหนียงใจเต้นตึกตัก เขาคงไม่คิดจะให้นางค้างคืนที่ห้องนี้กระมัง
“เจ้าห่มผืนนั้นดีกว่า” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางม้วนผ้านวมที่สี่เชวี่ยเพิ่งปู แค่มองด้วยตาเขาก็รู้ว่าผืนนี้ใหม่กว่า
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยรีบเข้าไปกดผ้านวม
ด้วยสัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากตัวเขา สี่เชวี่ยหดมือกลับไปทันใดและถอยห่างไปไกล ปากอธิบายตะกุกตะกักว่า “ผืนนี้เพิ่งเย็บตอนบ่าวแต่งงาน จะอย่างไรก็ใหม่กว่า”
เสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนผ้านวมโดยไม่พูดไม่จา
สี่เชวี่ยมองสบตากับเจินสือเหนียงอย่างไม่เข้าใจ
แค่คืนเดียวเท่านั้น เขาอยากทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ที่นี่เป็นบ้านเขา ต่อให้เขาอยากจะรื้อบ้าน นางยังห้ามไม่ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้นางทำหน้าที่ของภรรยาให้สมบูรณ์ก็พอ คิดได้ดังนี้เจินสือเหนียงจึงไม่แย้ง ใช้สายตาบอกสี่เชวี่ยให้ปูเครื่องนอนให้เสิ่นจงชิ่งใหม่ ส่วนตนเองเดินตามเขาไปยังเรือนฝั่งตรงข้าม
“เหตุใดชีวิตจึงกลายเป็นเช่นนี้” หลังวางเครื่องนอนลง เสิ่นจงชิ่งก็อดไม่อยู่เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดช่วงบ่ายออกไป เสียงเขาเบามาก เจินสือเหนียงได้ยินไม่ชัดจึงมองเขาเป็นเชิงถาม
“จำได้ว่าตอนออกจากจวนแม่ทัพ สินเจ้าสาวของเจ้ามีหลายพันตำลึง” ด้านหลังยังมีสระบัวอีกครึ่งหมู่ ทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้ ทำไมนางจึงตกต่ำได้ถึงขั้นนี้ในช่วงเวลาเพียงห้าปี
สี่เชวี่ยที่ปูผ้านวมเสร็จแล้วตามมาได้ยินเข้าพอดี เอ่ยแทรกขึ้นว่า “เป็นเพราะคุณหนู…” พอเอ่ยปากก็ถูกเจินสือเหนียงถลึงตาใส่ สี่เชวี่ยทำปากอูดถอยหลบไปด้านข้างอย่างขัดใจ
สายตาเลื่อนจากใบหน้าของสี่เชวี่ยไปยังใบหน้าของเจินสือเหนียง เสิ่นจงชิ่งเข้าใจทันที รู้สึกว่าตนเองเอ่ยถามคำถามอันโง่งมออกไป
ร่างกายที่ป่วยเป็นโรคของนางเหมือนหลุมไร้ก้น มีทรัพย์สินมากแค่ไหนก็ไม่พอใช้! คิดถึงตรงนี้ หัวใจเขาก็พลันหดเกร็งโดยไร้สาเหตุ
เห็นส่วนลึกในตาเขาฉายอารมณ์แปลกๆ เจินสือเหนียงกะพริบตามองดูอีกครั้ง ที่แท้นางตาฝาดไป นางมองสบดวงตาที่เย็นชาเหมือนยามแรกพบ เนื่องจากเขายังมองมา นางจึงตอบเสียงเรียบ “เงินพวกนั้นไม่ถึงปีข้าก็ผลาญหมดแล้ว” นี่ไม่นับเป็นคำโกหก ย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงปี นางก็คลอดเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และตกเลือด เงินพวกนั้นถูกใช้ไปจนเหลือไม่มาก
เสิ่นจงชิ่งหน้าขรึมลงทันใด ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างบึ้งตึง
ด้วยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนไป สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียงอย่างตะลึงงัน บอกตามตรง นางกลัวไอสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเสิ่นจงชิ่งเวลาเขาโมโหเป็นที่สุด
เจินสือเหนียงเดินตามไปที่ประตู “น้ำร้อนต้มเสร็จแล้ว ห้องอาบน้ำเดินเลี้ยวไปตรงห้องครัว”
ที่นี่เป็นบ้านเขา ห้องน้ำอยู่ที่ใดเขาตระหนักดีกว่าใคร เสิ่นจงชิ่งก้าวสวบๆ จากไปโดยไม่หันกลับมา
“คุณหนูไม่ตามไปปรนนิบัติหรือเจ้าคะ” สี่เชวี่ยกระซิบเตือนคุณหนูเสียงค่อย จำได้ว่าตอนอยู่จวนจ้วงหยวน ใครๆ ต่างแย่งกันเข้าไปปรนนิบัตินายท่าน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่จะได้ใกล้ชิดเสิ่นจงชิ่ง
เจินสือเหนียงไม่รู้ถึงความคิดของสี่เชวี่ย นางส่ายหน้า ตอบอย่างไม่แน่ใจ “เขาไม่ได้สั่ง คงไม่ต้องกระมัง” แม้จะพอเข้าใจ แต่ความจริงแล้วเจินสือเหนียงไม่ได้รู้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลใหญ่ในสมัยโบราณทั้งหมด นางมองเขาเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยท่าทางเหมือนไม่ต้องการให้ใครปรนนิบัติแล้วถึงวางใจ
หันไปปิดประตูให้แน่นสนิทและดึงสี่เชวี่ยไปที่ริมเตียงเตา ถามเสียงค่อยว่า “เหวินเกอ อู่เกออยู่บ้านเจ้ามิใช่หรือ ทำไมถึงให้หรงเซิงไปที่นั่นเล่า”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หน้าตาเหมือนเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกับเสิ่นจงชิ่ง หากหรงเซิงเห็นเข้าต้องไม่คิดเป็นอื่นแน่
“เหวินเกอ อู่เกอไม่ยอมเจ้าค่ะ ร้องจะตามบ่าวกลับมาด้วย บอกว่าไม่ได้ฟังนิทานแล้วนอนไม่หลับ บ่าวรับปากว่าจะมาดูแลแขกแล้วค่อยกลับไปรับพวกเขา พวกเขาถึงได้ยอม” สี่เชวี่ยชี้ไปที่หลังบ้าน “ป่านนี้ชิวจวี๋คงพาพวกเขาไปที่หลังบ้านแล้ว” หลังสระบัวมีประตูเล็กที่เชื่อมกับบ้านของสี่เชวี่ย
“ข้าว่าแล้วเชียว” เจินสือเหนียงเข้าใจโดยพลัน “อยู่ดีๆ เจ้าจะให้หรงเซิงไปที่บ้านทำไม โชคดีที่ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจว่าจะให้หรงเซิงพักที่เรือนด้านหลัง เลยสั่งให้ชิวจวี๋ไปก่อไฟเอาไว้ก่อน”
เรือนด้านหลังมีห้องสี่ห้อง สองห้องใช้ทำเออเจียว หนึ่งห้องเป็นห้องครัว อีกหนึ่งห้องเดิมทีเป็นห้องของชิวจวี๋ พอแม่นมจากไป ชิวจวี๋ย้ายมาที่เรือนด้านหน้า ห้องนั้นจึงว่างมาตลอด
สี่เชวี่ยคิดอะไรได้ บอกเสียงค่อยว่า “เมื่อกี้ตอนท่านแม่ทัพเดินเล่นอยู่ริมสระบัว เหวินเกอ อู่เกอแอบไปดูเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงตกใจ “พวกเขาพูดอะไรหรือเปล่า” เด็กสองคนนี้หัวไว หากเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งหน้าตาเหมือนพวกเขาเปี๊ยบ ไม่แน่อาจคิดเชื่อมโยงอะไรได้
“อิจฉาแทบตายเจ้าค่ะ!” สี่เชวี่ยยิ้มส่ายหน้า “ขนาดบ่าวขู่ว่าเขาเป็นแม่ทัพที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น พวกเขาก็ไม่กลัว เอาแต่บอกว่าโตขึ้นจะเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบนี้!” เสิ่นจงชิ่งหน้าตาหล่อเหลาคมคาย แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นไม่น่าเข้าใกล้ออกมา อาจเพราะเป็นผู้นำของกองทัพ ยามเขาไม่ยิ้มจึงดูน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ เหมือนเมื่อครู่นี้พอเขาหน้าบึ้งสี่เชวี่ยก็ตัวสั่นเทิ้มแล้ว
“เย็นชาขนาดนั้นยังมีคนอยากจะเอาอย่างอีก มีพ่อแบบไหนย่อมมีลูกแบบนั้นจริงๆ” ได้ยินเด็กสองคนไม่มีท่าทีรังเกียจเสิ่นจงชิ่งแม้แต่น้อย เจินสือเหนียงอดรู้สึกหวงเด็กทั้งสองไม่ได้
สี่เชวี่ยขำพรืด “เหวินเกอ อู่เกอชอบท่านแม่ทัพย่อมเป็นเรื่องที่ดี”
“ดีอะไรกัน” เจินสือเหนียงค้อนควัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เจ้ากับชิวจวี๋นอนที่นี่แล้วกัน ชิวจวี๋ไม่เคยปรนนิบัติใคร ถ้าเขาตื่นมากลางดึกแล้วเรียกหาคน มีเจ้าอยู่จะดีกว่า”
“บ่าวบอกฉางเหอแล้วเจ้าค่ะว่าคืนนี้จะค้างที่นี่”
คุยกันอีกสักพัก ได้ยินเสิ่นจงชิ่งเสร็จธุระเดินเข้าเรือนตะวันออกแล้ว เจินสือเหนียงจึงเดินออกมาเงียบๆ
ชิวจวี๋ใช้ก้อนหินเล่นลากเส้นขีดช่องอยู่กับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เห็นเจินสือเหนียงหอบผ้านวมเข้ามาก็รีบลุกขึ้นมารับ “มิน่าวันนี้บ่าวเห็นท่านแม่ทัพแล้วถึงรู้สึกคุ้นตา ที่แท้เขาเป็น…” ยังพูดไม่จบก็ถูกเจินสือเหนียงขัด
นางคลี่ยิ้มมองเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ “เหวินเกอ อู่เกอเล่นอะไรอยู่หรือ”
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เด็กทั้งสองไม่ตระหนักถึงคำพูดที่ชิวจวี๋เกือบจะหลุดปากออกมาเมื่อครู่ พอเห็นเจินสือเหนียงก็กระโจนเข้าใส่ทันที “พวกเราเล่นฆ่าวัวกันอยู่! ข้าเพิ่งฆ่าพี่ชายตายไป!” เจี่ยนอู่แย่งตอบ
เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดเหลวไหลของเด็ก ก่อนจะแก้ไขให้ว่า “เจ้าฆ่า ‘วัว’ ของพี่ชายตายต่างหาก”
เล่นฆ่าวัวคือการวาดตัวอักษร ‘ชวี (区)’ เพื่อใช้แทนกระดานหมาก จากนั้นวาดวงกลมเป็นบ่อน้ำไว้ตรงกลางระหว่างมุมทั้งสองทางด้านขวาของตัว ‘ชวี’ ตอนเดินหมากจะข้าม ‘บ่อน้ำ’ นี้ไม่ได้เด็ดขาด สองฝ่ายถือหินสองก้อนใช้แทน ‘วัว’
กระดานหมากมีทั้งหมดห้าตำแหน่ง เฉพาะตัวหมากก็กินพื้นที่ไปสี่ตำแหน่งแล้ว ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึงขยับตัวหมากได้ตาละหนึ่งตำแหน่งเท่านั้นโดยต้องให้อยู่บนจุดตัด ฟังดูเหมือนง่าย แต่เล่นเข้าจริงๆ ต้องใช้สมองมาก เล่นฆ่าวัวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อกินหมากของอีกฝ่าย แต่จะชนะด้วยการ ‘ปิดเส้นทาง’ ของอีกฝ่าย สองฝ่ายผลัดกันเดิน เมื่อใดที่ฝ่ายหนึ่งถูกหมากของอีกฝ่ายปิดทางจนเดินต่อไม่ได้ ฝ่ายที่หมดหนทางย่อมเป็นผู้แพ้
นี่เป็นการละเล่นที่เจินสือเหนียงเคยเล่นเมื่อชาติก่อน รวมถึงหมากห้าเม็ดด้วย แม้จะง่าย แต่มีส่วนช่วยพัฒนาเชาวน์ปัญญาของเด็ก ดังนั้นเวลาว่างนางมักจะเล่นกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่เสมอ
ได้ยินเจินสือเหนียงถาม เจี่ยนอู่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เจี่ยนเหวินพลางตะโกนเสียงดัง “ข้าชนะหกตา!”
“ข้าชนะสี่ตา!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้
เล่นกันไปตั้งสิบตา ดูท่าเด็กสองคนจะรอนางนานมากแล้ว แต่กลับไม่ได้ร้องจะไปเรือนด้านหน้า ลำบากพวกเขาแล้วจริงๆ เจินสือเหนียงขยี้หัวลูกทั้งสองคนด้วยความรักใคร่เอ็นดู “พวกเจ้าเก่งจริงๆ!” นางเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมไม่เชื่อฟังแม่ รออยู่ที่บ้านอาสี่เชวี่ยล่ะ”
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หัวเราะเสียงใส “พวกเราอยากฟังท่านแม่เล่านิทานเรื่องซุนหงอคงปราบปีศาจกระดูกขาว! ไม่รู้พระถังซำจั๋งจะถูกต้มกินหรือเปล่า”
ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่มีทั้งคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ภาพยนตร์ และเกมต่างๆ สมัยโบราณแทบไม่มีสิ่งบันเทิงเลย ค่ำคืนยาวนาน เวลานอนไม่หลับเจินสือเหนียงมักจะเล่านิทานให้พวกเขาฟัง นิทานกล่อมเด็กเรื่องสั้นๆ ในความทรงจำเล่าไปหลายหนแล้ว หมู่นี้จึงเริ่มเล่าเรื่องไซอิ๋วที่ยาวขึ้น เล่าวันละนิด ส่วนที่จำไม่ได้ก็แต่งขึ้นใหม่ เด็กสองคนฟังแล้วติดงอมแงม
“อยากรู้จริงๆ หรือว่าพระถังซำจั๋งถูกต้มกินหรือเปล่า” เจินสือเหนียงยิ้มถาม
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พยักหน้าแรงๆ
“เช่นนั้นมาตกลงกันก่อนว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าต้องไปซ่อนตัวที่บ้านอาสี่เชวี่ยแต่เช้า” เจินสือเหนียงถือโอกาสกำชับทั้งสอง
“ท่านแม่วางใจ พวกเราตกลงกับอาเขยไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเขาจะมารับพวกเราที่ประตูหลัง” เจินสือเหนียงไม่เคยขู่ใคร วันนี้นางพูดอย่างขึงขังจริงจังขนาดนี้ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงกลัวว่าจะต้องแยกจากท่านแม่
“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้าและหันไปบอกชิวจวี๋ที่ปูฟูกเรียบร้อยแล้ว “เจ้ากลับไปเถอะ”
“เดี๋ยวบ่าวคอยดูแลเหวินเกอ อู่เกอล้างหน้าแปรงฟันก่อนเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “สี่เชวี่ยเปิดประตูรอเจ้าอยู่”
ชิวจวี๋รับคำ นางบอกลาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และหันหลังเดินไปเรือนด้านหน้า
พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เด็กทั้งสองถอดเสื้อผ้าและมุดเข้าไปในผ้านวมแล้ว เจินสือเหนียงกำลังจะเล่านิทานต่อจากเมื่อวาน เจี่ยนเหวินนึกอะไรได้จึงถามว่า “ท่านแม่ คนคนนั้นเป็นใคร ทำไมต้องพาพวกเราไปด้วย”
“อาสี่เชวี่ยบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา” เจี่ยนอู่กะพริบตาปริบๆ “เป็นเรื่องจริงหรือ” เขายืดอก “เขาหน้าตาเหมือนข้า อีกหน่อยข้าต้องน่าเกรงขามแบบนี้แน่!” สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋กลัวกลิ่นอายคุกคามที่แผ่ออกมาจากตัวเขา แต่เจี่ยนอู่กลับเลื่อมใสเป็นพิเศษ
แค่ก เจ้าต่างหากที่หน้าตาเหมือนเขา เจินสือเหนียงสำลักอย่างแรง
“ท่านแม่!” เจี่ยนอู่หน้าแดงทันใด
“ใช่ อีกหน่อยอู่เกอต้องสง่าผ่าเผยกว่าเขาแน่” เจินสือเหนียงยิ้มพูดเมื่อสงบอารมณ์ได้แล้ว “อืม…เมื่อวานเล่าถึงไหนแล้วนะ”
“เล่าถึง…” เจี่ยนอู่กำลังจะพูด แต่ถูกเจี่ยนเหวินขัดขึ้นก่อน
“ท่านแม่ เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาบ้านเรา”
“เอ่อ…” เดิมทีคิดจะกลบเกลื่อนไม่พูดถึง นึกไม่ถึงว่าเจี่ยนเหวินจะยังไม่ลืม เจินสือเหนียงชะงักเล็กน้อย “เขาเป็น…เอ่อ…” นางขบคิดและตอบว่า “ลูกชายของท่านย่าของพวกเจ้า” นางตอบอ้อมๆ แบบนี้ไม่นับเป็นการโกหกเด็ก “เป็นญาติของเราเอง ย่อมต้องมาพักที่บ้านเรา” เจินสือเหนียงกระหยิ่มใจในไหวพริบของตนเอง
เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อึ้งไป
“ลูกชายของท่านย่า?” สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา
“ข้ารู้แล้ว เป็นท่านลุง!” เจี่ยนเหวินคิดได้ก่อน รีบกระโดดผลุงขึ้นมาจากผ้านวม
“เป็นท่านอาต่างหาก!” เจี่ยนอู่ไม่ยอมแพ้ ดึงเขาและแย้งว่า “เขาหนุ่มกว่าพ่อของโก่วจืออีก แถมยังหน้าตาดีขนาดนั้น จะเป็นท่านลุงได้อย่างไร” ท่านแม่เคยบอกว่าลุงคือพี่ชายของพ่อ ย่อมต้องแก่และอัปลักษณ์สิ
“เป็นท่านลุง!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้ “เขาเป็นถึงแม่ทัพ จะเป็นท่านอาได้อย่างไร” อาคือน้องชายของพ่อ เด็กแบบนั้นจะเป็นแม่ทัพใหญ่ได้หรือ
“เป็นท่านอา!”
“เป็นท่านลุง!”
ชั่วพริบตาเด็กสองคนก็ตีกันในผ้านวม
เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างจนใจ ปั้นหน้าดุถามว่า “พวกเจ้ายังอยากฟังเรื่องซุนหงอคงปราบปีศาจกระดูกขาวอยู่หรือไม่”
“อยาก!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อหันมาเห็นท่านแม่หน้าบึ้งไม่พูดจา ทั้งสองก็รีบนอนลงแต่โดยดีและจ้องนางตาปริบๆ
“ว่ากันว่าซุนหงอคงแปลงกายเป็นเทพคางคกทองไปร่วมงานเลี้ยงที่ถ้ำคลื่นจันทร์…” เห็นพวกเขาหยุดทะเลาะกันแล้ว เจินสือเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ปรับตะเกียงให้มืดลงพลางเล่านิทานต่อจากเมื่อวาน
เสิ่นจงชิ่งหลับสนิทตลอดคืน พอลืมตาฟ้าก็สว่างแล้ว มองกาน้ำหยดยามเหม่าสี่เค่อแล้ว เขาผุดลุกขึ้นทันที ส่ายหน้ายิ้มพูดกับตนเอง “ไม่ได้นอนเตียงเตาร้อนๆ มานาน วันนี้ตื่นสายเสียได้” นำทัพอยู่หลายปี เขาติดนิสัยตื่นนอนยามเหม่า
“ท่านแม่ทัพตื่นแล้วหรือขอรับ” หรงเซิงยกน้ำอ่างหนึ่งเข้ามา
“พวกนางล่ะ” เห็นข้างนอกเงียบสนิท เสิ่นจงชิ่งจึงถามขึ้น
“ชิวจวี๋ขึ้นเขาแต่เช้า สี่เชวี่ยกับนายหญิงใหญ่เก็บผักอยู่หลังบ้านขอรับ” หรงเซิงวางอ่างน้ำลง ถอดรองเท้าและปีนขึ้นไปบนเตียงเตา รูดผ้าม่านและเปิดหน้าต่าง ก้มหน้าร้องอุทาน “ท่านแม่ทัพห่มผ้านวมผืนนี้ตลอดทั้งคืนเลยหรือขอรับ” เขาใช้มือลูบดู แข็งมาก หรงเซิงเงยหน้ามองผู้เป็นนายอย่างเหลือเชื่อ
เสิ่นจงชิ่งไม่ตอบอะไร หันมองไปที่หลังบ้าน
นอกหน้าต่างเป็นต้นอิงเถาเตี้ยๆ ทั้งแถบ ตอนนี้ปลายฤดูใบไม้ร่วง อิงเถาร่วงโรยหมดแล้ว เหลือเพียงลำต้นเหี่ยวแห้งส่ายไหวไปมาท่ามกลางแสงยามเช้า ในความทรงจำของเขา หน้าต่างด้านหลังกว้างโล่ง มองผ่านหน้าต่างนี้ไปตอนเช้าจะเห็นห้องหับในเรือนด้านหลังเรียงเป็นแถบ ทั้งยังเห็นสระบัวที่อยู่ข้างหลังได้เลือนราง บัดนี้สายตากลับแย่ลง ทัศนวิสัยไม่กว้างไกลเหมือนก่อน
เสิ่นจงชิ่งทอดถอนใจและนึกเสียดาย สวมรองเท้าและลงพื้น หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ได้ยินเสียงพูดคุยจากหน้าบ้านจึงเปิดหน้าต่างมองออกไป ใบหน้าบึ้งตึงทันใด
เขาเห็นเจินสือเหนียงยืนอยู่หน้าประตูพูดคุยกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง น้ำเสียงที่เจือความเบิกบานนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!
“กวางตัวใหญ่ตั้งครึ่งตัวคงมีราคาหลายร้อยอีแปะ จะเอามาให้ข้าเปล่าๆ ได้อย่างไร” นางช่วยจางจื้อนำกวางครึ่งตัวที่แบกอยู่วางลงบนชั้นไม้ ปากปฏิเสธไม่หยุด “ข้าเก็บขาหลังไว้ข้างเดียวก็พอ ที่เหลือพี่จางเอาไปขายที่ตลาดเถอะ ช่วงนี้มีพ่อค้ามารับซื้อของป่าพอดี หากโชคดีพี่จางอาจขายได้ราคาสูง” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงหันหลังจะเข้าไปหยิบมีดในบ้าน
“ต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน แม่นางเจี่ยนอย่าได้เกรงใจเลย!” นางถูกจางจื้อขวางไว้ “ข้าไม่ได้ล่าสัตว์เป็นอาชีพ ตัวนี้ก็บังเอิญเจอตอนไปเก็บของป่า ท่านแม่บอกว่าเนื้อกวางช่วยให้ม้ามกับกระเพาะอบอุ่น ดีต่อร่างกายของแม่นางเจี่ยนที่สุด” เขาถูมือเก้อๆ “แม่นางเจี่ยนเก็บไว้กินเถอะ ที่บ้านข้ายังมีอีกครึ่งตัว”
จางจื้อเป็นเพื่อนบ้านของเจินสือเหนียง ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาแค่สองคน ป้าจางอายุสี่สิบกว่า เนื่องจากเป็นโรคหอบหืดมานาน ทุกปีพอถึงหน้าหนาวจะหายใจไม่ออก ไม่มีแรงแม้แต่จะทำกับข้าว ดูแล้วจึงเหมือนยายแก่อายุห้าหกสิบ
เจินสือเหนียงเห็นแล้วมิอาจนิ่งดูดาย จึงคั่วไส้เดือนดินให้เหลืองและบดเป็นผง ให้นางชงดื่มกับน้ำเชื่อม แรกเริ่มป้าจางไม่เชื่อ โรคนี้ของนางหาหมอมาแล้วไม่รู้เท่าไร กินยาไปมากมาย แต่กลับไม่หายเสียที แล้วยาผงที่จะเรียกว่ายาก็ไม่ใช่ห่อนี้จะใช้ได้ผลได้อย่างไร
ทว่าเห็นเจินสือเหนียงท่าทางจริงใจ คิดดูแล้วกินลงไปถึงอย่างไรก็ไม่ตาย จึงลองกินดูสองสามห่อ คิดไม่ถึงว่าจะหายสนิท
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป้าจางจะซาบซึ้งแค่ไหน ประกอบกับเจินสือเหนียงเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีน้ำใจ ปกติอยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร เห็นบ้านนางมีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ใช้ชีวิตยากลำบาก ป้าจางจึงมักจะส่งจางจื้อมาช่วยทำงานหนักๆ ดูแลนางเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง มีของดีอะไรก็ไม่ลืมให้จางจื้อเอามาให้ ปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ข้ารู้ว่าที่บ้านพี่จางมี ข้าให้ท่านเอาไปขายที่ตลาดต่างหาก ไม่ได้ให้ท่านเอากลับไปกิน” เจินสือเหนียงระบายยิ้ม “อากาศร้อนเกินไป เก็บเนื้อไม่ได้ ข้ากินไม่ได้ก็เสียของเปล่าๆ”
ตระกูลจางเองก็เลี้ยงชีพโดยมีที่นาเพียงน้อยนิด ชีวิตของทุกคนล้วนลำบากไม่ต่างกัน
“ท่านแม่บอกว่าหากเจ้ากินไม่หมดก็เอาไปทำเนื้อตากแห้งหรือจะหมักเก็บไว้ก็ได้” จางจื้อเป็นคนซื่อ พูดจาไม่เก่งนัก เห็นเจินสือเหนียงไม่ยอมรับก็ร้อนใจจนหน้าแดง ยื่นแขนออกไปขวางนางไม่ให้เข้าไปหยิบมีดในบ้าน “ท่านแม่บอกว่ากินเนื้อกวางบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด”
ครั้นเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้ เจินสือเหนียงถอนหายใจ คิดในใจว่า ท่านป้าก็หวังดี หากข้าดึงดันไม่รับจะเสียน้ำใจนาง ช่างเถอะ ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเก็บสะสมเสบียง พรุ่งนี้เอาเออเจียวไปให้นางเป็นการแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน คิดดังนี้จึงยิ้มพยักหน้า “ได้ ข้ารับไว้แล้วกัน พี่จางเข้าไปดื่ม…” พอเอ่ยปากก็นึกได้ว่าเสิ่นจงชิ่งยังนอนอยู่ในห้อง น้ำเสียงพลันชะงัก
แม่ม่ายมักตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน หากให้เขาเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งนอนอยู่ในห้องนางคงไม่ดี!
แล้วจะทำอย่างไร
นางร้อนใจจนเหงื่อซึมทั่วตัว ลืมสนิทว่านางไม่ใช่แม่ม่าย คนที่อยู่ในห้องเป็นพ่อแท้ๆ ของลูกนาง เป็นสามีอย่างถูกต้องของนางเอง ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด
ระหว่างที่ลำบากใจ ชิวจวี๋ลากฟืนมัดหนึ่งเดินเข้ามา จางจื้อเห็นก็รีบเข้าไปรับและช่วยนำไปเก็บบนแท่นเก็บฟืนทางทิศตะวันตก
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!” ชิวจวี๋เหงื่อแตกเต็มตัว ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าพลางฉีกยิ้มให้จางจื้อ “ขอบคุณท่านลุงจาง!”
ด้วยไม่อยากเสียเงินซื้อ ฟืนในบ้านจึงอาศัยสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ขึ้นเขาไปตัด ตอนนี้สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ เกรงว่าฤดูหนาวฟืนจะไม่พอใช้ ชิวจวี๋จึงตัดฟืนในส่วนของนางมาด้วย ตอนลงจากเขายังแบกไหว ภายหลังแบกไม่ไหวจึงต้องลากมา คนเดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังกลับมีฝุ่นฟุ้งตลบเหมือนลากสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาด้วย
เห็นหัวหูนางเต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งใบหน้ายังถูกแขนเสื้อเช็ดจนเป็นคราบ ดูเหมือนแมวลายตัวหนึ่ง เจินสือเหนียงหัวเราะออกมาและลูบหลังนาง “อีกหน่อยอย่าขนเยอะขนาดนี้ ระวังจะเสียสุขภาพ รีบเข้าไปล้างตัวในบ้านเถอะ นั่งพักประเดี๋ยวก็กินข้าวได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋ขานรับอย่างร่าเริงและก้าวเข้าไปในบ้าน
“อย่าให้นางไปแบกฟืนอีกเลย ร่างกายของเด็กจะเสียหมด” มองเงาร่างแบบบางของชิวจวี๋แล้ว จางจื้อรู้สึกสงสาร “รอไว้ข้าจัดการที่นาเสร็จเมื่อไร ข้าช่วยขนไม่กี่วันก็พอให้พวกเจ้าใช้ได้ตลอดหน้าหนาวแล้ว”
เจินสือเหนียงถอนหายใจ “ปีนี้รบกวนพี่จางมากเหลือเกิน พี่จางจะเก็บเกี่ยวเมื่อไรบอกข้านะ ข้าจะให้ชิวจวี๋ไปช่วย” ติดค้างผู้อื่นมากมาย แรงงานที่จะหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้กลับมีเพียงชิวจวี๋เท่านั้น
นางกับสี่เชวี่ย คนหนึ่งร่างกายอ่อนแอ คนหนึ่งตั้งครรภ์ ล้วนทำงานหนักไม่ได้
“ถึงเวลาให้นางช่วยเฝ้าที่นาให้ข้าสองวันก็พอ” จางจื้อกำลังหนักใจที่ไม่มีคนเฝ้านา งานเก็บแปลงฟื้นฟูดินทำคนเดียวไม่ได้ ฟังแล้วจึงพยักหน้า เห็นว่าสายมากแล้วจึงเอ่ยลา “แม่นางเจี่ยนทำงานเถอะ ข้าขอตัวก่อน ท่านแม่รอกินข้าวเช้ากับข้าอยู่”
“วันนี้ข้าทำขนมเปี๊ยะไส้ผักชีล้อม พี่จางเอาไปให้ท่านป้าลองชิมดูสิ ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องทำอาหาร” พูดถึงกินข้าว เจินสือเหนียงคิดถึงขนมเปี๊ยะที่เพิ่งทำเสร็จและหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน
เจินสือเหนียงทำอาหารอร่อย ได้กินของที่นางทำเหมือนได้ฉลองปีใหม่ เห็นนางหยิบขนมเปี๊ยะออกมาหลายชิ้น จางจื้อฉีกยิ้มดีอกดีใจ
หลังส่งจางจื้อกลับไป นางก็คิดว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต้องกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจเมื่อได้กินเนื้อเป็นแน่ เจินสือเหนียงจึงอารมณ์ดียิ่ง นางคลอเพลงเบาๆ หันกลับไปแล้วอดตกใจไม่ได้ที่เห็นเสิ่นจงชิ่งยืนหน้าถมึงทึงอยู่ข้างหลัง
ทำไมคนผู้นี้ถึงเดินไม่มีเสียงเลย ไม่รู้หรือว่าอาจทำให้คนตกใจตายได้
ในใจบ่นว่า แต่เจินสือเหนียงไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า นางทำทีปิดประตูใหญ่และย่อกายคารวะเขา “ท่านแม่ทัพตื่นแล้วหรือ” จะให้เพื่อนบ้านเห็นไม่ได้เด็ดขาดว่ามีผู้ชายตัวโตยืนอยู่ในลานบ้านนางตั้งแต่เช้าตรู่
เห็นรอยยิ้มนางหายวับไปทันทีที่เห็นหน้าเขา ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งยิ่งบึ้งตึงกว่าเดิม
ด้วยชินกับนิสัยเงียบขรึมไม่พูดจาของเขา เห็นเขาไม่พูด เจินสือเหนียงจึงไม่ได้คิดมาก นางเดินอ้อมเขาเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพล้างหน้าหรือยัง อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เองก็คงหิวนานแล้ว ในเมื่อเสิ่นจงชิ่งตื่นแล้ว นางรีบผัดผักดีกว่า
เดินไปไม่กี่ก้าว คิดถึงเนื้อกวางที่จางจื้อเอามาให้ เจินสือเหนียงจึงเดินย้อนกลับไปที่ชั้นไม้ ใช้นิ้วจิ้มกวางครึ่งตัวนั้นพลางครุ่นคิดว่าจะเพิ่มกับข้าวมื้อเช้าดีหรือไม่
เวลาที่เสิ่นจงชิ่งโกรธจัดน้อยคนนักที่จะสุขุมได้เช่นนี้ เขาค่อยๆ หันไปมองนาง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
คนที่รู้นิสัยเขาย่อมรู้ว่า…ตอนนี้เขากำลังโมโห
น่าเสียดายที่ตั้งแต่เจอเขา เจินสือเหนียงก็ไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวหรือสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ชายที่ใบหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งคนนี้ นางพลิกเนื้อกวางกลับมาพลางคิดว่าจะหั่นเนื้อส่วนไหนออกมาดี จะตุ๋นน้ำแดงหรือจะผัดด้วยไฟแรงดี
เนื้อกวางเป็นเนื้อล้วน ไม่มีมัน เหมาะเอาไปทำขนมเปี๊ยะทอดใส่ไส้ที่สุด แต่เช้านี้ทำไม่ทันแล้ว ตอนบ่ายรอให้ผู้ชายปากร้ายคนนั้นกลับไปก่อน นางจะทำขนมเปี๊ยะทอดให้ทุกคนกินให้หายอยาก กำลังคิดเพลินจึงไม่ทันระวังเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ที่เข้ามาบดบังทัศนวิสัยของนาง
“เจ้าเปลี่ยนแซ่ตั้งแต่เมื่อไร”
เสียงไม่ดังนัก แต่กลับเย็นเยียบประดุจน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง ทำเอาเจินสือเหนียงสั่นสะท้าน
เปลี่ยนแซ่? นางเปลี่ยนแซ่ตั้งแต่เมื่อไร เจินสือเหนียงงุนงง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เมื่อครู่เขาเรียกเจ้าว่าแม่นางเจี่ยน!” น้ำเสียงเจือแววฉุนเฉียวที่เก็บกลั้นไว้ไม่อยู่
เจินสือเหนียงฟังแล้วอุทานในใจ สวรรค์ เขาได้ยินได้อย่างไร!
แม้ในเมืองอู๋ถงจะไม่ใช่นางคนเดียวที่แซ่เจี่ยน อีกทั้งทุกครั้งที่ออกไปตรวจโรคนางจะปิดบังใบหน้า แต่ด้วยความที่เป็นวัวสันหลังหวะ เห็นเสิ่นจงชิ่งรู้เรื่องที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยแซ่เจี่ยน หัวใจของนางก็อดเต้นตึกตักอย่างประหม่าไม่ได้
กระนั้นใบหน้ากลับฉายแววตระหนักได้ “อ้อ ท่านแม่ทัพหมายถึงเรื่องนี้หรือ” นางร้องอ๋ออย่างไม่ใส่ใจและเปลี่ยนเรื่อง “หลายปีนี้ท่านแม่ทัพสร้างคุณความชอบใหญ่หลวง ชื่อเสียงเลื่องระบือไปไกลขึ้นทุกที ข้าภรรยาเกรงว่าหากผู้อื่นรู้ว่าภรรยาของท่านแม่ทัพใช้ชีวิตแร้นแค้นเช่นนี้จะเสียเกียรติท่านแม่ทัพ ดังนั้น…” นางมองเขาอย่างเปิดเผย “ข้าภรรยาจึงบอกกับคนนอกว่าข้ามาเช่าบ้านหลังนี้และแซ่เจี่ยน” ช้าเร็วก็ต้องตกลงหย่าขาด นางทำแบบนี้ก็เพื่อส่งเสริมเขา
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่รู้ว่านางพูดถูกและเรียกได้ว่าเป็นห่วงชื่อเสียงของเขา เสิ่นจงชิ่งกลับหงุดหงิด จู่ๆ ก็จับคางนางไว้ “ทั้งที่มีสามีแล้ว เป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว กลับให้บ่าวเรียกเจ้าว่าคุณหนู ให้คนอื่นเรียกเจ้าว่าแม่นาง” นัยน์ตาคมทอประกายเสียดสีเหน็บแนม “ทำไม เจ้าคิดจะแต่งงานใหม่หรือ”
ไม่รู้เหตุใด พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ใจเขาพลันว้าวุ่น มือที่บีบคางนางออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากไม่เพราะไม่มีหนังสือหย่า ข้าแต่งงานใหม่ไปนานแล้ว!
ในใจบ่นว่า แต่เจินสือเหนียงกลับไม่กล้าเถียง นางอดทนกับความเจ็บ มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว เป็นเพราะข้าภรรยาฐานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรจะเป็นภรรยาแม่ทัพ ถึงสั่งให้สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เปลี่ยนคำเรียกขาน” นางหยุดครู่หนึ่ง “ส่วนคนนอกจะเรียกอย่างไร ข้าภรรยามิอาจบงการได้”
ไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ ฟังน้ำเสียงนางแล้ว นางรู้สึกไม่คู่ควรเสียที่ไหน! น้ำเสียงและท่าทีเฉยชาของนางทำให้เขาหน้าบึ้งกว่าเดิม พูดออกไปโดยไม่คิดว่า “พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชายแต่เช้า เจ้ายังมีความละอายแก่ใจอยู่บ้างหรือไม่ แม่เจ้าไม่ได้สอนหรือไรว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน!”
ผู้หญิงของเขาจะไปสนิทสนมกับผู้ชายอื่นแบบนั้นได้อย่างไร! หากไม่เคยข้องเกี่ยวกับเขาก็แล้วไปเถอะ ตกลงหย่าขาดแล้วเขาปล่อยนางไปได้ ให้นางไปแต่งกับคนอื่นและสร้างหายนะให้คนอื่นต่อไป แต่ในเมื่อเคยมีความสัมพันธ์ทางกายด้วยกันแล้ว นางมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นคนของเขาเสิ่นจงชิ่ง ตายก็เป็นผีของเขาเสิ่นจงชิ่งเช่นกัน แม้จะตกลงหย่าขาด นางก็ไม่มีสิทธิ์ข้องแวะกับชายอื่น มิอาจแต่งงานใหม่!
เจินสือเหนียงไม่รู้ความคิดเผด็จการในใจเขา นางรู้สึกเพียงคางถูกเขาบีบจนเจ็บ ในใจอดโมโหไม่ได้ “ท่านแม่ทัพโปรดปล่อยมือด้วย ท่านทำแบบนี้ข้าภรรยาพูดไม่ได้!”
เสิ่นจงชิ่งรู้สึกว่านางเอ่ยวาจาอย่างยากลำบากจึงคลายมือออก เห็นคางของนางถูกบีบจนเขียวช้ำแล้วอดตกใจไม่ได้ แววตาเย็นชาฉายความสับสน นางไม่รู้จักเจ็บหรือ ไฉนจึงไม่อ้อนวอนเขาตั้งนานแล้ว
เจินสือเหนียงข่มใจไม่ยกมือขึ้นลูบคางที่เหมือนจะหลุดออกมาได้นั้น นางถอยไปก้าวหนึ่ง อยู่ให้ห่างจากเขา “เมื่อครู่พี่จางเอาเนื้อกวางมาให้ ข้าภรรยาให้ความสนิทสนมกับเขาตามมารยาทเท่านั้น ท่านแม่ทัพถือกำเนิดในตระกูลจ้วงหยวน น่าจะรู้ว่าการได้รับมาและตอบแทนไปเป็นธรรมเนียมมารยาท ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทนคือเสียมารยาท” ครั้นตระหนักว่าน้ำเสียงของตนเจืออารมณ์โกรธ นางจึงหยุดพูดและพยายามปรับเสียงให้ราบเรียบ “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้อง ข้าภรรยาเป็นสตรี ย่อมสมควรอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสม ไม่ทำตัวน่าละอาย วางตัวสงบสำรวมและรักษาความบริสุทธิ์สูงส่งไว้ ใช่ว่าข้าภรรยาไม่อยากทำเช่นนี้! ข้าภรรยาอยากจะสูงส่ง อยากใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ไม่ใส่ใจเรื่องต่างๆ แต่ข้าภรรยาเป็นปุถุชนคนหนึ่ง วันใดไม่กินข้าวย่อมรู้สึกหิว ไม่ดื่มน้ำย่อมรู้สึกกระหาย ไม่สวมเสื้อผ้าย่อมรู้สึกหนาว ถูกรังแกย่อมรู้สึกเจ็บ…” นางมองเขาด้วยสายตาตำหนิและย้อนถาม “ท่านแม่ทัพคิดว่าหากข้าภรรยาไม่คบค้าสมาคมผู้ใด ฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือพวกนั้นจะร่วงลงมาจากท้องฟ้าได้เองหรือ”
น้ำเสียงและท่วงทำนองน่าประทับใจของนางทำเอาเสิ่นจงชิ่งพูดอะไรไม่ออก
นางพูดถูก ห้าปีมานี้เขาไม่เคยถามไถ่ไยดีนาง บ้านหลังนี้มีแต่ผู้หญิงสามคน จะให้พวกนางไม่คบหาสมาคมกับผู้ชายได้อย่างไร ย่อมมิอาจห้ามนางไม่ให้ขอร้องใคร ใช้ชีวิตอย่างอดอยากได้
เขาเองก็รู้ว่าตนเองเข้มงวดและวู่วามเกินไป แต่เสิ่นจงชิ่งก็หงุดหงิดใจเหมือนกัน ตอนออกจากจวนจ้วงหยวน นางเอาทรัพย์สินไปมากมาย ใครจะรู้ว่าภายหลังชีวิตนางจะลำบากยากแค้นเช่นนี้ หาไม่ผู้หญิงของท่านแม่ทัพอย่างเขาจะต้องไปพึ่งผู้ชายคนอื่นด้วยหรือ! อีกทั้งยังเป็นผู้ชายดิบเถื่อนเช่นนั้น
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าปากเก่งถึงเพียงนี้!” ความน่าเกรงขามของเสิ่นจงชิ่งลดลงไปหลายส่วน แต่น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกร้าวเยียบเย็น “ถึงอย่างไรในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว อยู่ย่อมเป็นคนตระกูลเสิ่น ตายไปก็เป็นผีตระกูลเสิ่น” น้ำเสียงเข้มงวดเฉียบขาด “อีกหน่อยห้ามเจ้าพูดคุยกับผู้ชายอื่นแบบนี้อีก!” ยิ้มหน้าระรื่นราวกับไม่เคยเห็นผู้ชายอย่างนั้นแหละ เห็นแล้วน่าหงุดหงิดนัก
คำพูดนี้เผด็จการยิ่ง! เจินสือเหนียงแค่นเสียงในใจ ทว่าใบหน้ากลับระบายยิ้ม “แล้วหากท่านแม่ทัพเป็นฝ่ายหย่าข้าเล่า” คำถามนี้อ้อมค้อม แต่นางเชื่อว่าเขาเข้าใจ
นี่คือสมัยโบราณ หากเขาไม่คิดหย่านางและเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิต คำตำหนินี้ย่อมไม่เกินกว่าเหตุ แต่เขาคิดจะหย่านางแต่แรกอยู่แล้ว! เขากับนางกำลังจะแยกทางกัน ถึงเวลาที่เขาควรปล่อยนางแล้ว เขาควรหลับตาข้างลืมตาข้าง นางก็จะรู้กาลเทศะไม่สวมเขาให้เขาระหว่างที่เขายังอยู่ในตำแหน่ง เขามีอนุตั้งห้าคน แต่นางยังไม่ทันจะให้ท่าใครด้วยซ้ำ จะว่าไปนางต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เป็นฝ่ายหย่านาง? คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะถามเช่นนี้ เขาผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งว่า “เจ้ารู้อยู่ว่าการแต่งงานของเราเป็นสมรสพระราชทานของอดีตฮ่องเต้ ข้าเป็นฝ่ายหย่าเจ้าไม่ได้!” เขาเปลี่ยนคำพูด “ต่อให้เจ้าถูกหย่า ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้ามองผู้ชายคนอื่น!” น้ำเสียงเฉียบขาดไม่เปิดช่องให้นางปฏิเสธ
นี่มันอะไรกัน?! นางรู้แต่ว่าสามีตนเองปากจัด ไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้ ตนเองไม่เอาแล้วยังไม่ยอมให้คนอื่นได้ไป คำพูดเขาทำให้นางตะลึงงันยิ่งนัก
เสิ่นจงชิ่งก้าวยาวๆ จากไป
นานทีเดียวเจินสือเหนียงจึงได้สติ นางวิ่งตามไปที่หน้าประตูบ้าน ไหนเลยจะเห็นเงาของเสิ่นจงชิ่งอีก
“สังคมโบราณเฮงซวย!” เจินสือเหนียงถีบบานประตูแรงๆ หนึ่งที
หลังสงบสติอารมณ์และฉุกคิดได้ว่าเขามีอำนาจมหาศาล ความหม่นหมองพลันปกคลุมจิตใจนาง ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว เชื่อว่าหากนางแต่งงานใหม่ นางต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่ เว้นเสียแต่สามีในอนาคตของนางจะมีอำนาจมากกว่าเขา
แต่ผู้หญิงที่ถูกสามีทิ้งและมีลูกติดสองคนอย่างนางจะหาสามีใหม่ที่มีอำนาจมากกว่าเขาได้อย่างไร
ต่อให้หาได้ นางจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนคนนั้นจะเป็นคนดี จะแข็งแกร่งกว่าเขา ดีต่อนางและดีต่อเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ อีกทั้งเบื้องหลังไม่มีผู้หญิงคนอื่น
เงื่อนไขการหาสามีของนางไม่สูง นางตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ถ้าเพื่อนๆ รู้ว่าเกณฑ์การหาสามีของนางต่ำขนาดนี้จะต้องหัวเราะเยาะนางว่าอยากได้สามีจนตัวสั่น วางแผนลดล้างสต็อกตนเองแน่
แต่เงื่อนไขนี้พอมาอยู่ในสมัยโบราณกลับเป็นการเรียกร้องมากเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายุคสมัยใดก็เหมือนกัน ผู้ชายดีๆ ล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว
คิดถึงข้อนี้ หัวใจก็บังเกิดความสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามา ก่อนเจินสือเหนียงจะส่ายหน้าและหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านไป